ตำนานไซซี บทที่ 4 : ก่อนการสัประยุทธ์



ดึกสงัด 

แสงไฟจากคบไฟส่องสว่างอยู่ตามทางเดิน ลมราตรีกรีดประกายไฟให้ไหวระยับราวกับหญิงสาวกำลังร่ายรำอย่างครื้นเครง บรรยากาศภายในอัครสถานกลับวังเวงเศร้าสร้อย ประตูและหน้าต่างทุกบานปิดสนิท ลมราตรีไม่อาจพัดมาสร้างความหฤหรรษ์หรือกระทั่งรำคาญใจ โคมไฟภายในหมู่ตึกทอแสงนวลตา ทว่าดูไปยิ่งริบหรี่ยิ่งเดียวดาย

ที่จริงผู้คนพากันมารายล้อมห้องชั้นในสุดของหอเยว่หลาง บ้างมีหยดน้ำคลอตา บ้างเปรอะเปื้อนดวงหน้าจนต้องยกชายเสื้อขึ้นมาเช็ดออก บ้างชะเง้อชะแง้แลหาว่าเมื่อใดจะถึงคราที่ตนถูกเรียกเข้าไปบ้าง

“โกวเจี้ยน”

บุรุษหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่ง ด้านหลังอารักขาไว้ด้วยองครักษ์แปดคน เขาผู้นี้คือเยว่อ๋องหยุ่นฉางผู้ใกล้วางวาย อาศัยกำลังวังชาเฮือกสุดท้ายเอ่ยนามรัชทายาทสืบสายโลหิตเพียงเบาๆ มหาดเล็กที่รอฟังคำสั่งอยู่ก็รีบปราดออกมาถ่ายทอดคำสั่งที่หน้าห้อง

“ไต้อ๋องขอพบรัชทายาทโกวเจี้ยนพ่ะย่ะค่ะ”

“รับคำบัญชา”

โกวเจี้ยนรุดเข้าไปภายใน หลายวันผ่านพ้นที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมดูอาการ มาวันนี้เห็นสภาพพระบิดาแล้วใจหาย ใบหน้าของเยว่อ๋องซีดเซียวไร้สีเลือด ร่างกายผ่ายผอมอ่อนแรง แต่ยังฝืนกายประทับตัวตรงพลางกล่าว

“มาใกล้ๆ ให้บิดาเจ้าดูหน้าชัดๆซิ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

โกวเจี้ยนโน้มตัวเข้าไปหาผู้เป็นบิดา หยุ่นฉางเยว่อ๋องยกมือขึ้นประทับไว้บนบ่า สำรวจบนใบหน้าบุตรชาย โกวเจี้ยนสืบทอดลักษณะโครงสร้างทั้งใบหน้าและรูปกายคล้ายกับตนในวัยหนุ่มฉกรรจ์ยิ่งนัก แต่โกวเจี้ยนยังมีอุปนิสัยที่ผิดแปลกแตกต่างอยู่บางเรื่องบางประการ ข้อนี้หยุ่นฉางเฝ้าเก็บงำไว้ในใจ ได้แต่บอกกล่าวเรื่องราวสำคัญ

“โตขึ้นมาก โตพอจะเป็นเยว่อ๋องได้แล้ว ต่อไป เจ้าต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้ดี เข้าใจไหม”

โกวเจี้ยนถูกสายตาของหยุ่นฉางสำรวจมองจึงนึกครั่นคร้ามอยู่เป็นกำลัง เมื่อฟังคำ “เยว่อ๋อง” ยิ่งรับรู้ถึงหน้าที่อันยิ่งใหญ่ล้นพ้นประมาณ แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้าง แต่ได้ฟังแล้วกลับขวัญหนีดีฝ่อ ได้แต่โขกศีรษะลงกับพื้นพลางกล่าว

“คำสั่งพระบิดาหนักแน่นกว่าขุนเขา โกวเจี้ยนไม่กล้ารับไว้ ได้แต่ขอให้เสด็จพ่อหายประชวรโดยไว แล้วกลับมาปกครองไพร่ฟ้าไปอีกนับหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ”

“เพ้อเจ้อร่ำไร พ่อเจ้ากำลังจะตาย บ้านเมืองกำลังจะมีภัย ยังไม่มีสำนึกฮึกเหิมขึ้นมาครองราชย์อีก”

เยว่อ๋องหยุ่นฉางตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่น้ำเสียงหาได้กระด้างก้าวร้าวไม่ โกวเจี้ยนยิ่งฟังยิ่งน้ำตาคลอตา  ก้มหน้ากัดฟันฝืนใจไม่ให้หลั่งน้ำตาออกมา

“หลังจากข้าตายแล้ว อย่ามัวพะวงกับพิธีการทำศพ เจ้าจงตระเตรียมขุนศึกและไพร่พลไว้รับมือกับการศึกจากเมืองอู๋ ช้าเร็วยังไม่รู้ประมาณ เจ้าจะมัวพิรี้พิไรร่ำไห้ถึงบิดาเจ้าไม่ได้ เข้าใจไหม”

โกวเจี้ยนผงกศีรษะ เงยหน้าขึ้นรับคำ

“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”

เยว่อ๋องหยุ่นฉางทอดถอนหายใจยืดยาว กล้ำกลืนความปวดร้าวของมรณะภัยที่กำลังคุกคาม แต่สำนึกที่ตนเป็นต้นเหตุแห่งสงครามทำให้ต้องรวบรวมกำลังกล่าวสืบต่อ

“อู๋อ๋องเหอหลี ย่อมต้องคิดแค้นเมืองเยว่ของเราอยู่สองส่วน แต่อีกแปดส่วนคืออู๋จื่อซี ที่มีใจอาฆาตมาตั้งแต่ครั้งที่ต้องถอยทัพออกจากเมืองฉู่เพราะทัพเยว่ของพวกเราไปล้อมเมืองอู๋ไว้  คราวก่อนบิดาเจ้าถอนทัพออกมาเพราะเกรงบารมีของอู๋อ๋องเหอหลีและซุนวู แต่ม้าเร็วพึ่งส่งข่าวมาบอกว่าซุนวูขอถอนตัวออกจากแคว้นอู๋ ไม่ขอรบทัพจับศึกใดๆ อีก นี่อาจเป็นความปรานีของฟ้า ไม่ให้เจ้าต้องรับศึกหนักเกินไป"

โกวเจี้ยนเงยหน้ารอฟัง หากแต่เยว่อ๋องหยุ่นฉางบอกกล่าวมากคำเกินไป ได้แต่หยุดยั้งแล้วรวบรวมกำลังภายในขึ้นมาใหม่ก่อนกล่าวต่อ

“แต่เจ้าอย่าพึ่งชะล่าใจ จงส่งคนไปตามตัวเหวินจงและฟ่านหลีมาไว้เป็นกุนซือข้างกายเจ้าโดยไวที่สุด”
หยุดไว้เพียงเท่านั้น โกวเจี้ยนกลั้นใจตาม อาการของหยุ่นฉางยิ่งมายิ่งทรุดหนัก ทว่ายังห่วงอนาคตของรัชทายาทและบ้านเมือง โกวเจี้ยนรู้ว่านี่เป็นคำสั่งเสียสุดท้าย ไม่อาจละทิ้งโอกาสสำคัญ พลั้งปากถาม

“เหวินจงและฟ่านหลี เป็นใครหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เหวินจงเป็นบุตรบุญธรรมของพ่อ เป็นน้องชายต่างสายโลหิตของเจ้าที่บิดาหมายจะให้มาช่วยเจ้าดูแลบ้านเมือง เวลานี้เขาพักอาศัยอยู่กับฟ่านหลี ศิษย์รุ่นที่ห้าของไป่หลีซือ”

“ปะ ไป่หลีซือ ที่ช่วยราชวงศ์มู่แห่งแคว้นฉินรวบรวม 12 แคว้นเข้าไว้ด้วยกันน่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ถูกต้อง จากนั้น เขาทำการสืบทอดพิชัยยุทธจากรุ่นสู่รุ่น ฟ่านหลีเป็นรุ่นที่ห้า สมควรได้ชื่อว่าเป็นขุนศึกและกุนซือที่เกรียงไกรไม่แพ้ซุนวู แต่เมื่อฟ่านหลีไปถวายการรับใช้ให้แคว้นฉู่อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน แคว้นฉู่กลับไม่เคยเห็นคุณค่าของเพชรงามเม็ดนี้ เจ้าจงใช้ความสัมพันธ์ของพ่อกับเหวินจงตามตัวพวกเขามา ทำได้ไหม”

“ได้พะย่ะค่ะ”
โกวเจี้ยนรับคำแล้วโขกศีรษะคำนับ ขณะที่หยุ่นฉางเยว่อ๋องค่อยๆ เอนกายลงแนบกับพนัก

“เจ้าไปเถอะ บิดาอยากพักผ่อน”

กล่าวจบแล้วหยุ่นฉางเยว่อ๋องพลันปิดวาจา และปิดตาลง ลมหายใจรวยรินยังกระเพื่อมไหวอยู่ในอก โกวเจี้ยนยืนหยัดกายตรงและเดินออกจากห้องที่มหาดเล็กเปิดประตูนำ 

เมื่อโกวเจี้ยนปรากฏกายออกมา ร่างสูงใหญ่ยืนผงาดอย่างสง่างาม ต้นห้องต่างค้อมตัวลงกล่าวถวายพระพร จากนั้นเชื้อพระวงศ์ พลทหาร และเหล่านางกำนัลต่างสอดเสียงประสาน

“ถวายพระพรเยว่อ๋องโกวเจี้ยน ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ”

เยว่อ๋องโกวเจี้ยนหันมองไปรอบๆ ประสานมือสองข้างยกขึ้นข้างหน้ารับการคารวะจากข้าราชบริพารรอบตัว บัญชาแรกของเยว่อ๋องคนใหม่ คือการรับสั่งให้องครักษ์ที่ปราดเปรียวที่สุดไปตามตัวเหวินจงและฟ่านหลีมาเข้าเฝ้าในเร็ววัน และให้ส่งข่าวไปทั่วแคว้นว่าในระหว่างทาง หากเหวินจงและฟ่านหลีเดินทางผ่านแห่งหนตำบลใด ให้จัดสุราอาหารและที่พักให้อย่างดีที่สุด

“แล้วเรื่องพระอาการของไต้อ๋องหยุ่นฉางเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“ปกปิดไว้ก่อน อย่าได้แพร่งพรายออกไปจนกว่าข้าจะมีคำสั่ง”

พลทหารรับคำบัญชา ประตูห้องของไต้อ๋องหยุ่นฉางถูกปิดพับอย่างปราศจากถ้อยคำพิรี้พิไร เยว่อ๋องโกวเจี้ยนเสด็จออกไปยังที่ประทับโดยไม่หวนกลับมายังห้องนั้นอีก
...
...
...

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

ยามสายของวันที่ 8 นับจากคำบัญชา

สายน้ำไหลเอื่อย คนแจวเรือจ้วงพายไปตามจังหวะแต่เห็นได้ชัดว่าเริ่มอ่อนแรงลง 

องครักษ์ของเยว่อ๋องโกวเจี้ยนออกเดินทางเสาะหาจนพบกับเหวินจงและฟ่านหลี จากนั้นนำมายังแคว้นเยว่โดยทางน้ำ ล่องมาทางแม่น้ำฉางเจียง เมื่อเดินทางใกล้ถึงจุดหมาย ฟ่านหลีออกมายืนอยู่ตรงหัวเรือและเหม่อมองไปยังภูมิทัศน์รอบๆ เห็นทิวเขาจู้หลอมีป่าเบญจพรรณอันอุดมสมบูรณ์ ถึงกับรำพึงรำพันขึ้นมา

“ผลัดเส้นไหมเป็นแพรพรรณ แปรก้อนกรวดเป็นอัญมณี ข้าคงจะมีโอกาสทำสิ่งเหล่านี้ เมื่อได้มาอยู่ที่นี่”

เหวินจงยืนอยู่ข้างๆ อดสะทกสะท้านไม่ได้ สหายผู้ร่วมทางถอนหายใจก่อนกล่าว

“การศึกหนักหนา ภาระเบื้องหน้ายิ่งหนักหน่วงเป็นพันชั่ง ฟ่านหลียังคิดแปรก้อนกรวดเป็นอัญมณีได้ นับว่าเป็นวาสนาที่ท่านนับข้าเป็นสหาย”

ฟ่านหลีเข้าใจความหมายของเหวินจง นับจากสถานการณ์วุ่นวายในแคว้นฉู่ ฟ่านหลีวางตัวคล้ายอากาศธาตุ คล้ายไม่มีตัวตนแต่สืบเสาะค้นหาได้ไม่ยากนัก ชนะศึกไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่ไม่ได้รับการปูนบำเหน็จใดๆ เมื่อถึงคราวศึกใหญ่ก็ไม่ถูกเรียกใช้ แม้เกียรติประวัติไม่ยิ่งใหญ่แต่ชีวิตนับว่าสุขสบายเกินกว่าจะต้องออกมาระหกระเหเร่ร่อน เหวินจงต้องกลับมาช่วยพ่อบุญธรรมข้อนั้นไม่อาจปฏิเสธ หากแต่ฟ่านหลีไม่มีข้อผูกมัดใดๆ นอกจากความเป็นสหายของเหวินจงเท่านั้น ยังสู้อุตส่าห์ตามมา ฟ่านหลีอ่านใจจากถ้อยคำสหายแล้วได้แต่ยิ้มตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย

“วาสนาของข้าต่างหาก มีท่านเป็นสหาย แคว้นเยว่จึงเห็นความสำคัญและเรียกใช้ หากไม่เช่นนั้นฟ่านหลีคงได้แต่จิบสุราเคล้านารีอยู่ที่แคว้นฉู่ ไม่รู้จักออกมาชื่นชมโลกภายนอกว่ากว้างใหญ่เพียงใด”

สดับคำอันเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ เหวินจงรีบรับคำ  

“เช่นนั้นความเป็นสหายของเรานับวันจะต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกร เมืองหลวงแคว้นเยว่อยู่อีกไม่ไกล ท่านควรพักเอาแรงก่อน”

“เชิญเหวินจงตามสบาย ข้าฟ่านหลีมัวแต่ตื่นตาตื่นใจ ใคร่ดื่มด่ำความงามของสายน้ำและขุนเขาให้ชุ่มใจก่อน”

“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ไม่รบกวนท่านล่ะ อ้อ ข้างหน้ามีหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่ง บางทีค่ำนี้เราอาจจะพักค้างที่นี่สักคืนก่อน เผื่อท่านจะพบแพรพรรณหรืออัญมณีงามสักชิ้นหนึ่งกระมัง”

ฟ่านหลียิ้มรับคำหยอกเย้าของเหวินจงที่เดินกลับเข้าไปนั่งในตัวเรือซึ่งมีที่กำบังแดดลมฝน ที่ปลายยอดเขาจู้หลอมีเมฆหม่นและสายลมพัดวนจนกระพือมายังเบื้องล่าง ใบไม้ปลิวไหวคล้ายเป็นสัญญาณว่าลมฝนกำลังมา 

วันนี้คงต้องหยุดยั้งการเดินทางและพักในหมู่บ้านข้างหน้าตามที่เหวินจงว่า ส่วนจะพบแพรพรรณหรืออัญมณีหรือไม่... 

ฟ่านหลียังคิดได้ไม่จบความก็ได้ยินเสียงสะบัดมัดผ้าชอุ่มน้ำดังพรึ่บมาตามลม ละอองน้ำกระจัดกระจายคล้ายเม็ดฝนเป็นแนวราบ ฟ่านหลีเพ่งตามองอีกฝั่งของแม่น้ำที่เต็มไปด้วยโขดหิน ริมฝั่งประดับไว้ด้วยราวตากผ้าเรียงเป็นทิวแถว

ฟ้าหม่น พยับแดดลอดผ่านมากระทบตา หญิงสาวที่กำลังสะบัดผ้าอยู่ริมน้ำกลับพร่าเลือนแล้วเคลื่อนไหวกลายเป็นปักษาสวรรค์ขยับปีกอยู่ริมธารา

ฟ่านหลีกะพริบตาแล้วภาพมายานั้นก็เลือนหายไป 
เรือแจวเคลื่อนคล้อย

ไซซีได้สบตากับฟ่านหลีแล้วต่างฝ่ายต่างยืนนิ่ง และสายน้ำก็นำพาให้เรือจรจากไปโดยไร้คำทายทัก
...
...
...

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

ผ้าดิบย้อมสีริมแม่น้ำ
โบกสะบัดเป็นแพรพรรณ
อัญมณีในดวงตาเจ้า
พริบพราวชวนให้ตะลึงลาน





Create Date : 27 พฤษภาคม 2556
Last Update : 27 พฤษภาคม 2556 20:31:01 น. 3 comments
Counter : 1266 Pageviews.

 
วิ่งผ่านมา อิอิ


โดย: มาโซคิส IP: 124.121.26.233 วันที่: 27 พฤษภาคม 2556 เวลา:20:56:34 น.  

 
ตอนหน้ามาเร็วๆหน่อยนะคะ พี่รุริกะ
เดี๋ยวนุ่นลืม อิอิ

อย่าลืมแผนผังนะคะ ^^



โดย: lovereason วันที่: 27 พฤษภาคม 2556 เวลา:22:59:06 น.  

 
ขอบคุณนะคะสาวๆ


โดย: รุริกะ วันที่: 9 มิถุนายน 2556 เวลา:19:23:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.