ตำนานไซซี บทที่ 3 : สองเงา

นหนึ่งงามประดุจรักเร่ฉ่ำน้ำหลังฝน
คนหนึ่งงามดังโบตั๋นชุ่มน้ำค้างยามรุ่งอรุณ
ล้วนแต่หน้าตาสะสวย อรชรอ่อนช้อยทั้งคู่...

                                (ผู้แปลจากตำนานจีน : อดุลย์  รัตนมั่นเกษม)



เงาจากบ่อน้ำ สะท้อนทุกอย่างตามความเป็นจริง กิ่งหลิวปลิวไหวตามแรงลมอยู่ด้านหลังราวกับจะชะเง้อแลตาม การต่อสู้ที่ไร้อาวุธ การตัดสินด้วยการยอมรับของทั้งสองฝ่าย มุมบนของบ่อน้ำสะท้อนเปลวแดดเป็นประกาย มือของเจิ้งตันยังคล้องอยู่กับแขนของไซซี แก้มของสองดรุณีค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นมาและต่างตะลึงลานจนไม่กล้าขยับตัว ภาพของสองนางยิ่งดูยิ่งซึ้งตรึงใจ ดูไปก็คล้ายดอกรักเร่วางประดับเคียงกับดอกโบ๋ตัน ผู้คนผ่านมาพบต่างพลันต้องหยุดมองด้วยความเสน่หา ไซซีเองก็แทบลืมหายใจเมื่อเห็นสองเงาที่ปรากฏอยู่เคียงกันบนผิวน้ำ นางอยากให้ผิวน้ำคงรูปได้นานเท่านาน เพื่อเก็บภาพแห่งความทรงจำติดตัวตลอดไป 

ไซซีคิดได้เพียงเท่านั้นก็พลันได้ยินเสียงถอนหายใจของเจิ้งตัน นางเป็นฝ่ายเบือนหน้าออกไปก่อน

“ข้าจะกลับล่ะ”
เห็นท่าทีทดท้อของอีกฝ่าย ไซซีอดเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ได้ รีบร้องบอก

“ช้าก่อน”

“เจ้ายังมีอะไรอีก”
เจิ้งตันหันมากัดฟันถาม 

“ก็ ตอนก่อนจะมาที่บ่อน้ำ ท่านพูดอะไร แล้วนี่จะมาจากไปเฉยๆ”

“ฮึ ยังจะมาพูดดี เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ ดอกรักเร่บานฉ่ำไหนเลยจะสู้โบตั๋นแรกแย้มได้”

เจิ้งตันกล่าวอย่างผู้แพ้ ความงามของตนถึงจะงามหยาดเยิ้ม ไหนเลยจะเทียบได้กับความงามบริสุทธิ์ผุดผ่องของไซซี อีกทั้งเมื่อตนเป็นผู้ออกปากท้าประลองแล้วยังประสบความปราชัยอย่างย่อยยับ ก็กลับอดสูเกินกว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้นั้น

“ท่านพี่พูดอะไร ข้าไม่ได้ต้องการคำตัดสิน ข้าเพียงต้องการให้ท่านยอมรับเป็นพี่สาวข้า จะได้หรือไม่” 

“หือ พี่สาวเจ้า”

“ใช่ซี ในสายตาของข้า ท่านงดงาม เฉิดฉัน และสง่าผ่าเผย ส่วนข้าไม่มีอะไรเลย ไม่เชื่อลองมาดูเท้าข้าซี เท้าข้าใหญ่เพราะต้องเดินไปซักผ้าทุกวัน ดูเท้าของท่านพี่ก่อน สองข้างรวมกันจะเท่าเท้าข้าข้างหนึ่งไหม”

เจิ้งตันฟังแล้วงงงัน จากนั้นก็พลันหัวเราะร่า

“ดูสิ เจ้าเอาอะไรมาพูด เท้าของเจ่เจ้ไม่ได้ลีบแบนขนาดนั้น จะได้ยืนไม่ติดพื้นกันพอดี”
ไซซียิ้มบ้าง

“ดีจริง พี่เจิ้งตันยอมรับเป็นเจ่เจ้ ม่วยม่วยไซซีขอคารวะ”
ว่าพลางค้อมกายลง เจิ้งตันยิ้มส่ายหน้าอย่างจนปัญญาปฏิเสธ

“ก็ได้ วันนี้เราเป็นงี่เจ้-งี่ม่วย(พี่น้องร่วมสาบาน)กัน โดยมีบ่อน้ำนี้เป็นพยาน วันข้างหน้ามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ตกลงไหม”

“ตกลง”

ไซซียิ้มแย้มเบิกบาน เจิ้งตันลอบกริ่งเกรงเสี่ยวม่วยของนางอยู่ในใจ ไซซีมิได้มีดีแต่เพียงหน้าตา แต่ยังมีสติปัญญาและคารมที่ฉลาดเฉลียว กิริยาแช่มช้อยอ่อนหวานก็มิใช่การเสแสร้งแกล้งปั้น  คิดได้เช่นนั้น เจิ้งตันจึงได้แต่ยอมรับสัมพันธไมตรีอันดีไว้ ด้วยไม่รู้จะขัดขืนไปทำไม 

มิตรภาพของสองนางหลังการประลองคล้ายดังพลังวัตรไร้รูปร่าง ไร้ขอบเขต ชาวบ้านต่างหลบอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้โดยไม่กล้าโผล่หน้ามาขัดจังหวะ พลันนั้นคนขายถ่านเหยียบกิ่งไม้หักดัง เป๊าะ ! ไซซีและเจิ้งตันจึงค่อยเฉลียวใจว่ามีคนอยู่บริเวณนั้นด้วย

“เอาล่ะ พวกเราแยกย้าย ทางใครทางมันดีกว่า”

“จ้ะ แล้วพบกันใหม่นะพี่เจิ้งตัน”

“อื้อ ได้เลย น้องไซซี”

เมื่อสองดรุณีแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันแล้ว ชาวบ้านตามสุมทุมพุ่มไม้ค่อยโผล่ออกมามุงดูรอบบ่อ

“ดูสิ ภาพของทั้งสองนางยังประทับตราอยู่บนผิวน้ำอยู่เลย”

ชาวบ้านคนหนึ่งหันมาบอกเพื่อนที่ยังเดินมาไม่ถึง

“โอ... หรือจะเป็นปาฏิหาริย์”

เพื่อนที่เดินมาไม่ถึงนั้นพลันเชื่อเสียก่อนแล้ว

“ปาฏิหาริย์บิดาเจ้า ข้าให้จินตนาการ เจ้านึกออกไหม จินตนาการ”

“ตกลงมารดาเจ้า เรามาจินตนาการกันเถิด”

ชาวบ้านสนทนากันอย่างครื้นเครง ใครเลยจะรู้ว่า หลังจากนั้นอีกนานแสนนาน บ่อน้ำนั้นได้กลายเป็นสถานที่ในตำนาน ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลมารับฟังเรื่องเล่าเมื่อกาลครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้ว ยังมีสองดรุณีมาชะโงกดูเงาในบ่อน้ำ จากนั้น ก็สุดแท้แต่ชาวบ้านจะแต่งเติมกันไปตามประสา...
....
....
....

ทางด้านไซซี เมื่อเดินออกจากหมู่บ้านเหมาเจียปู้ นางยังต้องแวะไปยังริมลำธารที่ตากผ้าทิ้งไว้แต่เช้า เพื่อเก็บผ้าและขนกลับบ้าน

ที่ริมลำธารนั้น นางเห็นบุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่ง อายุรุ่นราวคราวพ่อ บุรุษผู้นี้ไม่ใช่คนในหมู่บ้าน เห็นชัดว่าเป็นคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นภัย  ลักษณะการแต่งกายของเขาก็ไม่ใช่คนอดอยากยากไร้ ราวตากผ้าอยู่ไม่ไกล แต่ต้องเดินผ่านชายผู้นี้เสียก่อน  ไซซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เด็กสาวตัดสินใจเดินเข้าไป ก็เพราะเห็นได้ชัดว่าเขากำลังนั่งตกปลาอยู่

“นั่นท่านทำอะไร”

ชายแปลกหน้าไม่ตอบคำถาม เขาถือคันเบ็ดอยู่หนึ่งคัน นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น ไม่ส่งเสียง ไซซีจึงเดินไปที่ริมฝั่งและชะโงกหน้าไปที่ลำธาร หมู่ปลาได้เห็นหน้าไซซีก็ต่างแหวกว่ายดำดิ่งหายไปจนเกือบหมด

“ทีนี้ท่านก็ไม่มีปลาให้ตกแล้ว ข้าว่า ท่านไปที่ลำธารอื่นดีกว่า”

คนตกปลาเห็นปรากฏการณ์ประหลาดจึงค่อยหันมามอง หนวดดกครึ้มของชายแปลกหน้าทำให้นึกถึงซินแสหรือไม่ก็นักพรตตามป่าตามเขา ท่าทางของบุรุษผู้นี้ดูหิวโหยและอ่อนเพลียเล็กน้อย เด็กสาวเห็นหน้าซินแสชราแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ นางหยิบหมั่นโถในย่ามส่งให้ด้วยความรู้สึกผิด

“เอาอย่างนี้นะ ท่านกินหมั่นโถวของข้าแทนเถอะ”
ซินแสชราเอ่ยขอบใจแล้วรับหมั่นโถไปกัดทีละคำ เขาค่อยๆ ละเลียดกินหมั่นโถจนหมดแล้วค่อยยกคันเบ็ดขึ้นมาวางพาดบนบก คันเบ็ดนั้นไม่มีสายและไม่มีเหยื่อ

“อ้าว ท่านไม่ได้ตกปลาหรอกหรือ”
ซินแสชราส่ายหน้า เขาล้วงเข้าไปในย่ามของตนบ้าง จากนั้นหยิบไข่มุกเม็ดเล็กๆ แต่กลมเกลี้ยงและเนื้อดีไร้ที่ติให้ไซซีเม็ดหนึ่ง

“นี่ค่าหมั่นโถวของเจ้า”
ไซซีเห็นไข่มุกในมือซินแสชราแล้วสะบัดศีรษะไปมาสองหน

“ข้าไม่ได้ขายหมั่นโถว ข้าเพียงอยากให้ท่านเลิกตกปลา บางทีท่านรับทานหมั่นโถวแล้วถูกใจ ท่านพึงนำไข่มุกนี้ไปแลกหมั่นโถวที่ตลาด อาจแลกได้เป็นพันลูก”

วาจาฉะฉานของไซซี รับกับดวงหน้าที่นวลเนียนหมดจด ทำให้ซินแสชราไพล่คิดไปถึงสาวงามในวัง ที่ต่างพริ้มเพราด้วยเครื่องประดับและเครื่องประทินโฉม เด็กสาวตรงหน้าสวยสว่างไร้ไฝฝ้า ปราศจากรอยตำหนิราวกับไข่มุกเม็ดงาม น้ำใจและถ้อยคำยิ่งประเสริฐกว่าหน้าตา นับประสาอะไรกับสาวชาววังทั้งหลายที่ได้พานพบ

เบื้องหน้าชายผู้นี้ถึงกับเคยมีนางสนมในวัง 108 คนมายืนอยู่ตรงหน้า ทั้งหมดมีหน้าตาสะสวยแต่ก็เต็มไปด้วยจริตจก้าน แต่ละคนต่างหัวร่อต่อกระซิกทำทีท่าชม้ายชายตา 

ภาพในอดีตถาโถมเข้ามา ในเวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือนั้น...
...
...
...

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

เสียงสรวลอันดังของอู๋อ๋องเหอหลีดังมาจากแท่นประทับชมการแสดงพิชัยยุทธ ทิ้งให้ซุนวูยืนบัญชาการอยู่ด้านหน้าเหล่านางสนมทั้ง 108 คนแต่เพียงผู้เดียว ฟูชา อูจื่อซี และป๋อผี่ตามมาเข้าเฝ้าถวายบังคมอู๋อ๋องและยืนชมดูอยู่ห่าง ๆ ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ไปช่วยซุนวูบัญชาการทัพ

เหล่านางสนมที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทหารต่างแต่งกายด้วยชุดบุรุษ แต่ละนางถือง้าวเป็นอาวุธ สวมหมวกทรงสูง ใส่เสื้อเกราะ และสวมรองเท้าหนัง ดูแล้วทั้งแข็งแกร่งทั้งอ่อนหวานจนละลานตา แต่ละนางหันไปมา ดูการแต่งกายของเพื่อนบ้าง ของตนบ้างเป็นที่สนุกสนาน เมื่อซุนวูร้องประกาศให้ฟังก็เงียบเสียงอยู่ครู่หนึ่ง 

“ข้าขอแต่งตั้งให้พระสนมเอกทั้งสองนางเป็นนายกองซ้ายขวา ควบคุมความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสองฝั่ง พวกท่านรู้จักซ้าย รู้จักขวา ดีหรือไม่”

“รู้ซี นี่ซ้าย นี่ขวา”

“และนี่ขวา นี่ซ้าย”

พระสนมทั้งหลายโบกมือข้างซ้ายข้างขวาไปมาประหนึ่งกำลังร่ายรำอยู่

“เช่นนั้น เมื่อข้าตีกลอง 1 ครั้ง ให้พวกท่านหันซ้าย แต่เมื่อข้าตีกลอง 2 ครั้ง ให้พวกท่านหันขวา”

คำอธิบายของซุนวูไม่มีใครสนใจฟังอีก นางสนมแต่ละคนได้หันไปหยอกล้อต่อกระซิกกันเรียบร้อยแล้ว

“เมื่อครู่ข้าคงออกคำสั่งไม่ชัด ขอให้พวกท่านฟังใหม่...”

ซุนวูอธิบายการหันซ้ายขวาซ้ำเป็นจำนวนห้าครั้ง และสั่งให้พระสนมเอกซึ่งรับหน้าที่เป็นนายกองหันไปควบคุมพลทหาร ปรากฏว่าพระสนมเอกกลับอิดออด หันไปสั่งนางสนมด้านหลังอย่างขอไปที

“ฮ่า ๆ ๆ ดูย่ำแย่เต็มที อูจื่อซี เจ้าดูสหายของเจ้าสิ กำลังหัวเสียอยู่ต่อหน้าบรรดานางสนมของข้า ดูท่าจะไม่ไหวเสียละมัง”

อู๋อ๋องเหอหลีหันมาหยอกเย้าอูจื่อซี อำมาตย์ข้างพระวรกายเองก็ยืนกระสับกระส่าย รู้สึกถึงบรรยากาศร้าย ๆ กำลังคุกคามตามมา

“ข้าพระองค์เห็นว่า ซุนวูกำลังทำทุกอย่างไปตามขั้นตอนของเขาพ่ะย่ะค่ะ เบื้องต้น แม่ทัพจะต้องทบทวนคำสั่งของตนให้ดีก่อน การถ่ายทอดคำสั่งที่หละหลวม ถือเป็นความผิดของแม่ทัพ ต่อเมื่อการถ่ายทอดคำสั่งครบถ้วนได้ใจความแล้ว พลทหารและนายกองไม่ปฏิบัติ ความผิดก็จะตกแก่นายกองพ่ะย่ะค่ะ”

“ความผิดรึ”

อู๋อ๋องเหอหลีฉุกใจคิดได้ เพียงชั่วแวบที่หันไปตรัสกับอูจื่อซี ซุนวูก็ตวาดดังก้องท้องสนาม

“ทหาร เอาตัวนายกองสองคนนี้ไปตัดหัว !”

อู๋อ๋องเหอหลีตกพระทัยจนผุดลุกจากบัลลังก์ รีบตะโกนข้ามฝั่งไปร้องห้ามซุนวู

“ช้าก่อน ! นายกองสองนางนี้เป็นสนมเอกของข้า ใครก็แตะต้องไม่ได้ !”

“ผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้นายกองสองคนนี้เป็นทหาร ด้วยป้ายอาญาสิทธิ์ที่พระองค์ประทานมา บัดนี้ซุนวูเป็นแม่ทัพ ในสนามรบคำสั่งของแม่ทัพถือเป็นสิทธิ์ขาด ใครก็ขัดขืนมิได้ ! ทหาร ! ลงดาบ !”

ศีรษะของสองสนมเอกกระเด็นขาดเลือดสาดกระจายอยู่ต่อหน้าปะรำพิธี นางสนมที่เหลือต่างยืนแข็งทื่อด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ซุนวูสั่งการให้นางสนมลำดับถัดมาขึ้นมาเป็นนายกองแล้วทบทวนคำสั่งใหม่ จากนั้น เมื่อเสียงกลองดังขึ้นอีกครั้ง พลทหารต่างพากันหันซ้าย หันขวา เดินหน้า ถอยหลัง อย่างพร้อมเพรียงไม่มีแตกแถว

เมื่อเสร็จสิ้นการฝึก ซุนวูตรงเข้าไปถวายบังคมอู๋อ๋องเหอหลีและกราบทูลว่า

“บัดนี้ ข้าพระองค์ได้ฝึกปรือนางสนมจำนวน 106 นายให้เป็นทหารที่มีระเบียบ มีวินัย พร้อมออกศึกอย่างยอมตายถวายชีวิตแก่อู๋อ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

อู๋อ๋องเหอหลียังประทับยืนตัวสั่นเทิ้ม ทรงอาลัยอาวรณ์สนมเอกที่ถูกประหารไปสองนางเสียจนไม่อาจตรัสอะไรออกมาได้

“เมื่อข้าพระองค์ได้ปฏิบัติหน้าที่เสร็จเรียบร้อย ก็ขอคืนป้ายอาญาสิทธ์แก่ฝ่าพระบาท เพื่อให้พระองค์ไปทรงตรวจขบวนทัพด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าพระบาท ซุนวูได้ทำทุกสิ่งลุล่วงแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”

อูจื่อซีต้องเอ่ยกระตุ้น อู๋อ๋องเหอหลีจึงค่อยตรัสเบาๆ

“เอาล่ะ เจ้าทำได้ดี แต่ข้ายังไม่พร้อมจะตรวจทัพในเวลานี้”

“ข้อนี้แสดงให้เห็นได้ว่า อู๋อ๋องมิได้ทรงใส่พระทัยในคำสั่งของพระองค์เองอย่างแท้จริง เช่นนี้ จะปกครองทหาร จะก่อการศึกสงครามที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินได้อย่างไร พ่ะย่ะค่ะ!”

คำปรามาสนั้นทำให้สายพระเนตรของอู๋อ๋องเหอหลีลุกโชนด้วยไฟแห่งมานะ ใต้ฟ้านี้ยังไม่เคยมีใครกล่าวตำหนิพระองค์มาก่อน แต่คำพูดของซุนวูถูกต้องทุกประการ ไต้อ๋องแห่งอู๋ยืนหยัดขึ้นและก้าวเดินออกไป แม้ต้องข้ามศพของสนมเอกที่ถูกสั่งประหารก็จำต้องข้าม 

หลังจากเหตุการณ์นั้น แคว้นอู๋ก็เกรียงไกรขึ้นมาจากการแต่งตั้งให้ซุนวูเป็นแม่ทัพ ผู้ยาตราขบวนรบไปทำศึกที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน พิชิตชัยเหนือแคว้นฉู่ ฉี จิ้น ซ่ง หลู่ ในเวลาต่อมาไม่นานนัก

แต่แม้จะผ่านการเชี่ยวกรำศึกมานานเท่าไร ซุนวูยังจดจำสายพระเนตรเมื่อวันแรกนั้นได้ และยิ่งไม่มีวันลืมสายตาตื่นตระหนกของบรรดานางสนม การซ้อมรบในวันนั้นคงเป็นฝันร้ายของพวกนางไปชั่วชีวิต

มิสู้อยู่กับป่าเขาเช่นนี้ ถึงยากจน ข้นแค้น แต่ก็ไม่ต้องไปเผชิญกับโศกนาฏกรรมอันโหดร้ายเยี่ยงนั้น...
...
...
...

“นี่ ท่านฟังข้าอยู่หรือเปล่า หากไม่ฟังข้าจะไปล่ะนะ”

ไซซีเอ่ยด้วยเสียงที่ดังขึ้น บุรุษตรงหน้าค่อยตื่นจากภวังค์

“เมื่อครู่ข้าบอกว่า ไข่มุกนั่นให้ท่านเก็บไว้ ดูท่าทางท่านยังต้องเดินทางอีกไกล เก็บไว้ใช้จ่ายระหว่างการเดินทางเถิด”

“อ้อ”

“อื้อ เช่นนั้นก็รีบไปซี ข้าจะเก็บผ้า”
เด็กสาวเอ่ยปากไล่ ชายแปลกหน้าลุกขึ้นขยับให้ทาง

“เจ้าชื่ออะไรรึ”
ซุนวูอดเอ่ยปากถามไม่ได้

“นั่นไง วันนี้ท่านเป็นคนที่สองที่ออกปากถามชื่อข้า แต่ท่านมาประชันความงามกับข้ามิได้หรอกนา อย่างไรท่านก็สู้ข้าไม่ได้ เพราะท่านเป็นชาย ข้าเป็นหญิง”

ไซซีพูดพลางเขย่งตัวเก็บผ้า ซุนวูลอบยิ้มเบาๆ เขาไม่ได้รู้สึกถึงความสบายอกสบายใจเช่นนี้มานานนักหนา แต่เมื่อนึกถึงว่า หากสงครามเยว่-อู๋ปะทุขึ้น ผืนแผ่นดินทุกหย่อมหญ้าจะต้องลุกเป็นไฟ เด็กสาวชาวป่าผู้นี้ก็จะต้องได้รับความเดือดร้อนไปด้วยเป็นแน่แท้

“ข้าต้องไปแล้ว”

“ท่านจะไปไหน”

“ไปจากสงคราม”

ชายแปลกหน้าตัดบทและเดินลึกเข้าไปในป่าเขาลำเนาไพร โดยที่ต่างคนต่างไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย ทิ้งให้ไซซีฉงนฉงายอยู่ตามลำพัง

“สงครามคืออะไรกันนะ ต้องโหดร้ายมากแน่ ๆ งั่วกง(คุณตา) ผู้นี้จึงได้หวาดกลัวปานนั้น”

ในเวลาเดียวกัน ไซซีรู้สึกปวดแน่นหน้าอกขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ เหมือนหัวใจกำลังถูกบีบเค้น เด็กสาวเอามือกุมอกและห่อตัวลงจึงค่อยรู้สึกบรรเทา

ไซซีนั่งพักอยู่ที่ริมน้ำครู่หนึ่ง หมู่ปลาก็ว่ายวนกลับมา แท้จริงการจมหายของมัจฉา มาจากการที่หมู่ปลาต่างยำเกรงบารมีของไข่มุกในตัวเด็กสาว พวกมันรีบไปคารวะต่อปลาไนนักพรตที่กำลังบำเพ็ญภาวนา ก่อนจะว่ายวนกลับมาชมความงามของไซซีอีกครั้งหนึ่ง ไซซีไม่รู้ความจริงในข้อนั้น คนอื่นยิ่งไม่รู้ แต่ต่างพากันร่ำลือออกไป ว่าความงามของไซซีทำให้หมู่ปลาพากันจมหายไปเกือบทั้งลำธาร

สายน้ำเย็นฉ่ำ ทำให้เด็กน้อยลืมคำว่าสงครามไปได้ระยะหนึ่ง

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ไซซีก็ได้ตระหนักถึงโศกนาฏกรรมของสงครามที่ว่านั้น ด้วยตนเอง
...
...
..
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

กิ่งหลิวเอนไหว
ปลาไนหลบเร้น
มุกงามเดินเล่น
สงครามกำลังมา





 

Create Date : 28 เมษายน 2556
3 comments
Last Update : 28 เมษายน 2556 9:24:44 น.
Counter : 1310 Pageviews.

 

มาเยี่ยมไซซีที่บล็อคค่า อิอิ

 

โดย: lovereason 28 เมษายน 2556 23:01:28 น.  

 

ตามเข้ามาอ่านไซซีจ้า....

ไม่ยักกะรู้ว่าอ้อเขียนบล๊อคด้วย ไม่งั้นมาอ่านนานแร่ะ

 

โดย: hi hacky 9 พฤษภาคม 2556 17:04:42 น.  

 

^___^

 

โดย: ฟ้าใส IP: 110.164.68.126 10 พฤษภาคม 2556 16:46:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
 
เมษายน 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
28 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.