Bloggang.com : whitespace : ปฏิวัตินายทุน.. ชะเอิงเอย ..

ปฏิวัตินายทุน.. ชะเอิงเอย ..

ปฏิวัตินายทุน.. ชะเอิงเอย .. / โดย อวกาศสีขาว

พลเอกสนธิ บุญรัตนกลิน ...ท ห า ร ของในหลวงและคนไทย
สำเร็จการศึกษาจาก รร.วัดพระศรีมหาธาตุ กทม., รร.ตท.รุ่นที่ 6, รร.จปร.รุ่นที่ 17

การปฎิวัติการปกครองนั้น
หากทำสำเร็จจะเรียกปฏิวัติหรือรัฐประหาร หากไม่สำเร็จเรียก กบฎ

รั ฐ ป ร ะ ห า ร ถือว่าเป็นวิธีการรุนแรงและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลเดิมไล่คณะรัฐมนตรีออกไปและตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ โดยกลุ่มของคนที่ยึดอำนาจเข้ามาแทนที่หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมแล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

คนไทยมีภาพลบต่อการทำรัฐประหารของจอมเผด็จการครั้งก่อนๆ ที่ต้องการเข้ามายึดอำนาจในการบริหารประเทศ เพราะเราต้องเดินขบวนประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืน โดยต้องแลกด้วยเลือดเนื้อชีวิต ของนักศึกษา ประชาชน คนยาก อ้อ.. !! และนักธุรกิจ คนระดับกลางถึงสูงด้วย เมื่อพฤษภาทมิฬ 17 พฤษภาคม 2535 ที่ผ่านมา

แต่การทำรัฐประหารครั้งล่าสุดในประเทศไทย เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยพล.อ. สนธิ บุญรัตกลิน อาจนับได้ว่าเป็นการพลิกรูปแบบการปฏิวัติ ชนิดที่เมืองไทยอาจกลายเป็นผู้นำการปฏิรูปแนวใหม่ก็ว่าได้ เพราะ คปค. (คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข) ประกาศจุดยืนตลอดเวลาว่าไม่ได้เป็นการเข้ายึดอำนาจเพื่อการครอบครองการบริหารเสียเอง แต่จะจัดหาผู้บริหารประเทศที่เป็นที่ยอมรับของประชาชน

ซึ่ง คปค. ก็ไม่ควรเข้ามามีอำนาจอยู่เบื้องหลัง แต่ควรปล่อยให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ทำงานไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย

... เฮ้อ... และแล้วเมืองไทยก็พ้นจากระบอบทักษิณกันเสียที ...
(แม้นว่าพี่แกจะออกข่าวข้ามทวีปจากประเทศอังกฤษเมื่อ 21 กย. 49 มาว่า หากอยู่ภายใต้สหประชาชาติ เชื่อว่าไทยรักไทยจะได้กลับมาเป็นนายกฯอีก เออ อะนะ ช่างพูดไปได้ จะรอดคุกรึเปล่ายังไม่รู้เลย.. fake ไปคนเดียวละกานนน ..)

ร ะ บ อ บ ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ซึ่งหมายถึงการเปิดให้โอกาสประชาชนตัดสินใจว่าจะให้บุคคลใดหรือกลุ่มพรรคการเมืองใดได้เข้าเป็นผู้บริหารปกครองประเทศ โดยสามารถกำหนดวิธีการเปลี่ยนแปลงหลักการหรือสาระของรัฐธรรมนูญหรือแม้กระทั่งสร้างรัฐธรรมนูญใหม่แทนฉบับเดิม เพื่อการพัฒนาด้านต่างๆ ต่อการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ ฯลฯ ของประชาชนในชาติให้ดียิ่งขึ้น

โดยมีหัวใจหลักอยู่ที่การเลือกตั้ง และประชาชนจะต้องออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเพื่อเฟ้นหาคนดีเข้ามาทำหน้าที่แทนตัวเอง

แต่ในภาวะที่ยุคบริโภคกำลังเจริญอย่างรุนแรง จนมีนายทุนเข้ามาแอบอ้างประชาธิปไตยเพื่อสร้างความเจริญของชนในชาติ โดยสร้างประชานิยมต่อประชาชนส่วนใหญ่ของชาติ (ถูกโดยทุจริตในการซื้อเสียงและสร้างภาพแต่ที่จริงมีผลประโยชน์ตัวเองอยู่เบื้องหลัง – ยืมศัทพ์อดีตนายกฯทักษิณมาใช้แบบสลับกันหน่อยนะ พวกศัพท์สีเทาๆ .. ผิดโดยสุจริต ถูกโดยทุจริต หวังว่าคงจะหมดไปจากแผ่นดินเสียที เพราะคนที่ชอบทำให้สีเทากลายเป็นความถูกที่หยวนๆ กันได้ ก็ไม่อยู่แล้ว ท่านพันท้ายนรสิงห์ ก็คงโล่งใจได้แล้วล่ะน้า)

และเมื่อได้เป็นผู้บริหารประเทศ แทนที่จะปราบคอร์รัปชั่นในวงการเมืองอย่างที่สัญญากับประชาชนก่อนเป็น กลับเข้าครอบครองกิจการของรัฐ (สัมปทานเอง) กอยโกยผลประโยชน์เข้าตัวและพวกพ้อง และใช้เก้าอี้นายกเป็นฐานทำธุรกิจข้ามชาติเพราะตนเองสามารถกำหนดความเป็นไปของธุรกิจในชาติได้ (ตัดสินก่อนศาล เราจะซวยไหมเนี่ย..)

... นี่คงจะเป็นบทเรียนให้คนไทยไม่อยากได้นักธุรกิจเข้ามาเป็นนายกฯของประเทศอีก

แม้นว่าการทำรัฐประหารจะไม่มีผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยนัก เพราะที่จริงประชาชนควรสามารถออกมาขับไล่นายกฯ ได้เองตามระบอบประชาธิปไตย แต่ประเทศที่ด้อยพัฒนาอย่างเรา บางทีก็ต้องยอมรับว่า ระบบการศึกษาของเรานั้นยังด้อยคุณภาพ คนส่วนใหญ่ในชาติก็ยังถูกลวงในการสร้างภาพของนักการเมืองหลอกเอาได้ ถูกใช้เป็นเครื่องมือได้ง่าย ทั้งที่เบื้องหลังก็มีจอมบงการวางแผนจัดม็อบเพื่อจะมาให้ชนม็อบ โดยดูอย่างไรก็ดูออกว่าชาวไร่ชาวนาคงไม่ได้ทำเอง อีกทั้งผู้ทำธุรกิจส่วนหนึ่งที่มีผลประโยชน์กับกลุ่มทักษิณก็ลืมมองถึงผลเสียที่จะเกิดต่อประเทศไทย ยังดันทุรังสนับสนุนกันชนิดปิดหูปิดตาต่อชาติ และมองว่าชาติคือความเจริญถ่ายเดียว โดยไม่มองระยะยาวว่าประเทศที่ขาดศีลธรรมจรรยานั้น จะก็ก่อให้เกิดอาชญากรรมและเหตุรุนแรง และโครงสร้างของครอบครัวที่ล่มสลายลงอย่างไร

.. ผ ล พ ว ง ของความสับสน ที่มีได้นายกฯที่หลอกเรื่องเศรษฐกิจและความเจริญมาตลอด.. (เจริญคนเดียวอะดิ) ก่อให้เกิดเป็นความขัดแย้งอย่างรุนแรงในชาติ ระหว่างพวกที่แม้วหลอกไม่ได้ เพราะไม่เห็นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ซ้ำข้าวของยังแพงตามกลไกของเศรษฐกิจโลก ค่าครองชีพขูดเลือดขูดเนื้อจนแทบจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ กับพวกที่แม้วหลอกได้ เพราะเห็นแม้วรวยดี ดารานักร้องก็รวยมาก คนที่ออกทีวี (จะกี่คนกันล่ะ) ก็รวยดีนะ ตัวเองก็กู้เงินได้แบบนิดๆ หน่อยๆ แล้วไม่มีปัญญาใช้คืน แม้วก็กระจายเงิน (เงินภาษีประชาชนอะนะ) มาให้ใช้ด้วย ..แล้ววันนึงเราก็คงรวยหวยบนดินบ้างล่ะน่า...ตอนนี่ก็กู้สองหมื่นไป หายใจได้ทั่วท้อง โอ แม้วช่างมีบุญคุณกับเราจริงๆ..

และสองพวกนี้ .. เจอกันที่ไหนก็อยากจะบีบคอกันเสียที่นั่นทันที โดยไม่มีทีท่าว่าทักษิณจะลาออกหรือเว้นวรรคเพื่อความสงบของคนในชาติแต่อย่างใด

การทำรัฐประหาร ที่รอคอยมานาน (เพราะคงไม่อยากให้เกิด) มันก็เลยต้องเกิดขึ้น

แถลงการณ์โดยพลเอก สนธิ บุญรัตกลิน

คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

ด้วยเป็นที่ปรากฏโดยแน่ชัดว่า การบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ และมีแนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดิน อันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงาน องค์กรอิสระ ถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง แม้หลายภาคส่วนสังคม จะได้พยายามประนีประนอมคลี่คลายสถานการณ์มาโดยต่อเนื่องแล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยุติลงได้

ดังนั้น คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ขอยืนยันว่า ไม่มีเจตนาที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินเสียเอง แต่จะได้คืนอำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขกลับคืนสู่ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อธำรงรักษาไว้ ซึ่งความสงบสุข และความมั่นคงของชาติ รวมทั้งเทิดทูนไว้ ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพยิ่งของปวงชนชาวไทยทุกคน

19 ก.ย. 2549

.....

**เมื่อทักษิณอยากเป็นมาร์กอส เราก็จัดให้

** ประวัติการปฏิวัติ

** “คนแบบไหนนะที่...เอาทักษิณ” ???

สำหรับผมคิดว่า “คนที่ (ยัง) เอาทักษิณ” น่าจะแบ่งได้ 3 พวกใหญ่ๆ คือ

1. คนที่จริงใจใสซื่อเพราะขาดองค์ความรู้ คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นระดับรากหญ้าและคนที่มุ่งแต่ทำมาหากิน โดยไม่ค่อยมีเวลาใส่ใจกับปัญหาบ้านเมืองมากนัก แต่จิตสำนึกของคนกลุ่มนี้จะซึมซับกับมายาภาพของผลงาน “ทักษิณ” เช่น ปราบยาบ้า, ปรามมาเฟีย, กองทุนหมู่บ้าน, 30 บาททุกโรค และสารพัดเอื้ออาทร แม้คนที่ไม่เคยได้รับอานิสงส์ก็ยังคล้อยตามไปด้วยโดยปริยาย เนื่องเพราะอิทธิพลของการสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางสื่อกระแสหลักทั้งทีวี วิทยุ และ นสพ.หัวสี

2. คนที่จำใจเพราะได้รับผลประโยชน์ต่างตอบแทน คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนชั้นกลางถึงสูง ที่ได้รับประโยชน์ต่างตอบแทนจาก “ทักษิณ” และ “ระบอบทักษิณ” ทั้งในระบบราชการและภาคธุรกิจ จริงๆ แล้วคนกลุ่มนี้รู้ข้อเท็จจริงมากทุกอย่าง แต่จำต้องตามแห่แบบ “น้ำท่วมปาก” และ “ตกกะไดพลอยโจน” เพราะทำใจลำบากหากหมดโอกาสตักตวงผลประโยชน์จาก“รัศมีนายทาส”

3. คนที่ทำใจหลอกตัวเองและคนอื่นให้ยอมรับว่า “โกงแต่มีผลงาน ดีกว่าเก่งแต่ปาก” คนกลุ่มนี้ค่อนข้างมีความคิดอ่านทางการเมือง ชอบคุยเขื่องสร้างภาพยกตนเป็นผู้นำความคิดแปลกแยก “เชิงเสียงข้างน้อย” จึงต้องท่องคาถาปลอบใจตนและคนอื่นเสมอว่า “โกงแล้วแบ่ง ดีกว่ากินรวบ” และ “นักการเมืองโกงทุกคน” เป็นต้น แต่มักหลีกเลี่ยงคำถามที่ว่า “ใครคือนักการเมืองที่โกงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย”

โดย ชายขอบความคิด (ip:202...80) เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2549 15:31:52 น.

Create Date : 22 กันยายน 2549

Last Update : 23 กันยายน 2549 17:25:57 น.

0 comments

Counter : 1107 Pageviews.