ปฎิรูป-ถอยอย่างไรไม่ให้ล้ม*** WHITESPACE.CO.LTD

whitespace
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




เมื่อไม่มีสิ่งใดจริง จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
.....อ่านเรื่องพุทธบารมี
.....ลีลาสมเด็จพุฒาจารย์โต
.....ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น

Google..
.....................พ่อของแผ่นดิน...
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add whitespace's blog to your web]
Links
 

 
ปัจจุบันเป็นเวลาต้องคำนึงถึงที่สุด



ท่านนัชฮันท์ พระนิกายเซนชาวเวียดนาม


ปัจจุบันเป็นเวลาต้องคำนึงถึงที่สุด
อวกาศสีขาว / 28 ก.ค. 50


. . . . เมื่อได้ยินประโยคว่า “ปัจจุบันเป็นเวลาต้องคำนึงถึงที่สุด” แล้วอาจทำให้คิดไปถึงประโยคอมตะของท่านนัชฮันท์พระเถระชาวเวียดนามผู้นำพุทธมหายานนิกายเซน ที่เป็นชื่อหนังสือโด่งดังไปทั่วโลกคือหนังสือชื่อ “ปัจจุบันเป็นเวลาอันประเสริฐสุด”

มีแต่เวลาปัจจุบันเท่านั้น ที่เป็นความจริง เป็นเวลาที่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงอันสูงสุดได้ หากคนๆ นั้นอยู่กับปัจจุบันขณะได้จริงๆ ไม่พาจิตออกนอกไปถึงอดีตอนาคตหรือคิดคำนึงฟุ้งซ่านไปตามกิเลสตัณหา

ความจริง การมีชีวิตนั้นไม่สามารถอยู่ในอดีตหรืออนาคตได้เลยนอกจากขณะปัจจุบัน ทุกครั้งที่รู้ตัว.. เราก็อยู่กับตัวเองในปัจจุบัน แต่เรากลับไม่ชอบอยู่กับเวลาแห่งปัจจุบัน ทำให้พาจิตพาใจหลีกหนีออกจากเวลาแห่งความจริงนี้ไปตลอด อาจมีเพียงบางขณะเท่านั้นที่จะอยู่กับปัจจุบันได้ ช่วงที่จิตไม่แส่ส่ายไปกับเวลาอื่นด้วยสัญญาความทรงจำ เวลานั้นเองที่จะเห็นว่าจิตปกติแล้วมีความสงบเป็นธรรมดา ไม่มีเราเขา ไม่มีการกระทบทางอารมณ์ มีแต่เห็นกายทำงานตามปกติ มีการรับรู้การหายใจ การเคลื่อนไหว และเกิดปัญญาว่า.. จิตที่ไม่ปรุงไม่คิดนั้นไม่มีตัวตนเกิดขึ้นได้เลย มีแต่รับรู้อาการเคลื่อนไหวไปตามจิตที่สั่งร่างกาย ร่างกายไม่ใช่จิต บางอย่างมีกลไกทำงานเอง บางอย่างทำตามคำสั่ง ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นอยู่ และยังแยกความคิดจำเป็นที่ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นตัวเป็นตนที่ต่างจากความคิดที่เป็นทุกข์เพราะตัวตนได้

มีแต่เวลาปัจจุบันเท่านั้นที่จะทำให้เราเห็นความจริงซึ่งเป็นอยู่ เมื่อเห็นตัวเอง เห็นจิต เห็นความคิด หากไม่ปรุงแต่งทุกข์สุขเพราะพาจิตออกนอก จิตก็จะสงบไม่ดิ้นรน นี่เป็นธรรมชาติเดิมของจิตที่ไม่มีกิเลส แต่ผู้ที่หลงอยู่ในอดีตกับอนาคตด้วยฟุ้งซ่าน มัวแต่เอาจิตออกนอกตัวเสมอ ย่อมไม่เห็นตัวเองในปัจจุบันได้ และไม่สามารถทราบได้ว่า จิตที่คิดเรื่องจำเป็นกับเรื่องไม่จำเป็นนั้นต่างกันอย่างไร

และถึงแม้บางคนจะมีอภิญญาย้อนกลับไปเห็นตัวเองในอดีตหรือก้าวล่วงไปเห็นเหตุการณ์อนาคตได้จริงก็ตาม หากแต่ตัวตนที่รับรู้เรื่องราวก็ยังเป็นตัวตนในชาติปัจจุบัน การรับรู้อดีตหรืออนาคตเป็นนิมิตขึ้นมา แม้ไม่ใช่เพราะปรุงแต่งหรือวาดฝันอุปาทานไปเอง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความจริงแท้ การเข้าไปรู้แล้วนำมายึดมั่นอุปาทาน แทนจะเกิดปัญญาเห็นแจ้งปลงสังเวชชาติภพอันเป็นทุกข์ ปล่อยวางชาติภพไม่สิ้นสุดอันเป็นไปตามกฎกรรม กลับจะยิ่งเพิ่มความสับสนมากชาติเข้าไปอีก บ้างยึดมั่นเป็นเราเป็นอัตตาซับซ้อนเพิ่มขึ้นมาให้วุ่นวาย เห็นแต่เราเป็นนั่นเป็นนี่ แทนจะเห็นว่าเรานั้นไม่มี เกิดขึ้นและดับไป ไม่มีตัวตน ไม่มีอยู่จริง

เพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่งเคยแสดงความคิดในแง่มุมุหนึ่งว่า พวกชอบอวดอ้างฤทธิ์ หรือพวกมีความงมงายเชื่อตามพวกทรงเจ้าเข้าผีไป นั้นก็เพื่อหลีกหนีความเป็นจริงในปัจจุบัน ยิ่งหากมีใครมาบอกว่าเขาเคยเป็นคนสำคัญในอดีตก็ทำให้จิตใจพองฟู มีความสุขกับความฝันในอดีต เป็นอัตตาให้กอดยึดเพราะความอยากจะมีจะเป็นอย่างหนึ่ง แล้วความจริงในปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร หรือตัวตนในปัจจุบันไม่น่าภูมิใจ การอยากรู้อดีตชาติของตัวเองนั้นเพื่ออะไร เพราะไม่พอใจตัวตนในชาตินี้ หรือเพื่อสร้างความพอใจว่าชาตินี้มีความสามารถไม่ธรรมดา

แน่นอน แม้นใครหลายคนอาจหลงว่าตัวเองเป็นใครต่อใครจริงในชาตินี้ ..ไม่เชื่อโลกหน้ามีจริง ตั้งหน้าตั้งตากอบโกยหาความสุขในชาติปัจจุบัน แต่คนพวกนี้น่าสงสารกว่าพวกที่เชื่อโลกอดีตโลกหน้า หรือคนที่รู้โลกอดีตโลกหน้ากันแน่ที่น่าสงสารกว่า.. หากนั่นเป็นการยึดมั่นเพิ่มทวีคูณเข้าไปอีก

คนที่หลีกหนีชาตินี้ เข้าไปยึดติดว่าตนเป็นใครต่อใครในชาติก่อน .. ภาคภูมิใจในชาติก่อน ไม่ว่าจะเพื่อแสดงความเก่งกาจของตัวเองในชาตินี้ หรือไม่พอใจตัวเองในชาตินี้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเพราะอุปาทานหรือเข้าไปรู้จริงก็ดี จะมีผลต่อชาตินี้อย่างไร?? เพราะความจริงนั้น สามารถค้นพบและประจักษ์แจ้งได้ในปัจจุบันขณะเท่านั้น

มีช่วงหนึ่งที่ผู้เขียนติดต่อหาเพื่อนเก่าในอดีต พอฟังน้ำเสียงแล้วก็แปลกใจ เพราะพูดคุยยืดยาดไม่เหมือนเคย การพูดจาวกวนกำกวม บอกว่าสามารถติดต่อกับเทวดาได้ เทวดาชื่อนี้ชื่อนั้น ให้ผู้เขียนไปหาให้ทีว่าเป็นเทวดาชั้นไหน ผู้เขียนฟังชื่อเทวดาที่เพื่อนได้พูดคุยด้วยทางจิตแล้ว ก็รับปากว่าจะลองหาดู ซึ่งก็รู้ผลอยู่แล้วว่าไม่มีทางมี-ไม่มีทางเป็นไปได้ นี่เป็นเหตุเพราะเพื่อนไปฝึกสมาธิตามเพื่อนของตัวเองอีกที พอคนนั้นมีฤทธิ์คนนี้มีฤทธิ์ สามารถติดต่อกับต่างภพต่างมิติ ตัวเองก็คงกลัวจะไม่เหมือนเขา อยากจะเป็นผู้วิเศษตามเขา เลยพลอยมีฤทธิ์อันประหลาดไปด้วยกัน พอผู้เขียนให้สติ จึงกลับมาเป็นธรรมดาได้ดังเดิม

ส่วนเพื่อนอีกสองคน นี่ก็มีฤทธิ์เดชไม่น้อย ระลึกชาติกันเป็นว่าเล่น ว่าเป็นฤาษีชีไพร เป็นทหารหาญยุคกรุงศรีแตกครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองรบเคียงบ่าพระเจ้าตาก แล้วมาเกิดเป็นลูกเสด็จพ่อรัชกาลที่ห้า เบื่อหน่ายโลกจึงมาเป็นนักบวช มีของเก่าติดมาในชาตินี้ อืม.. ฟังแล้วดูจะเป็นไปตามสูตรคุ้นๆ ที่มีอดีตเป็นไปกะเขาได้หมด กับเรื่องยอดฮิตที่จะต้องเป็นกัน สำหรับผู้ที่อยู่ในทางระลึกชาติได้นี้ ถ้าระลึกได้จริง น่าจะรู้ละเอียดมากกว่านี้สักหน่อย ถึงชื่อแซ่ พ่อแม่พี่น้อง ไม่ใช่ลอยๆ คล้ายๆ กันไปหมด

ยังมีอีกหลายบุคคลในวงจรคนมีฤทธิ์มีเดชที่ผู้เขียนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่น้อย พี่คนหนึ่งระลึกชาติเป็นลูกสะใภ้ของพระมหากษัตริย์หญิงผู้ยิ่งใหญ่มากพระองค์หนึ่ง หากเอ่ยพระนามออกไปก็คงรู้จักควีนพระองค์นี้กันดี แล้วพี่คนนี้ก็จำต้องท่องเที่ยวออกไปช่วยทหารที่ตายในศึกสงครามในสถานที่ต่างๆ คือไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลตามสถานต่างๆ ไม่ว่างเว้น ต้องสร้างพระพุทธรูปหน้าตักหนึ่งร้อยนิ้วที่นั่นที่นี่ ถามไปถามมาว่าต้องขนาดนั้นเชียว?? ก็เล่าว่าจะทำให้มีบารมี รวมไปถึงทำให้รวยๆๆ ... มาฮา.. เอาตอนจบนี่เอง

บางคนขนาดรู้อดีตว่าตนยิ่งใหญ่ เป็นผู้คอยจัดการคนชั่วร้ายที่ปองร้ายกับชาติไทย จนนิสัยนั้นติดมาถึงปัจจุบันชาติ แต่กลับไม่เห็นตัวเขาจะจัดการกับคนร้ายได้แต่ประการใด แค่เรื่องง่ายๆ ปัญหาง่ายๆ ยังแก้ไขจนปั่นป่วน โจมตีคนผิดคน ไปกล่าวหาผู้ดีเป็นผู้ร้าย ว่าร้ายเขาไปถึงไหนต่อไหน ทั้งยังอวดศักดาว่าอย่าได้มาตอแยกับคนอย่างเขา เขาไม่ปล่อยคนชั่วลอยนวล ไม่ทราบจะกำจัดคนดีแล้วให้คนร้ายครื้นเครงชวนหัวหรืออย่างไร

เพื่อนอีกรายของผู้เขียนบอกว่ารู้จักฆราวาสชายคนหนึ่งเป็นถึงพระอนาคามี ลูกศิษย์ลูกหามาขึ้นมาก ก็อุตส่าห์ยอมให้เพื่อนลากไปหาชายผู้นี้ แกก็ช่างประหลาดนัก พูดแต่เรื่องฤทธิ์ในอดีตว่าตัวแกเข้าไปรู้ไปเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย หยิบยกเอาเรื่องคนนั้นคนนี้ขึ้นมานินทาในเรื่องส่วนตัว ฟังแล้วชวนให้สงสัยว่าจะไปกล่าวโทษคนอื่นมากมายทำไม พระอนาคามีคนนี้แปลกคน แต่กลับได้ผลนะ เพราะดูจะยิ่งเกิดศรัทธาปสาสะในหมู่ลูกศิษย์ทั้งหลาย มีแต่ผู้เขียนเห็นว่านั่นไม่ใช่เรื่องงาม ไม่ใช่ธรรมะ กลับบ้านมาแล้วก็นึกสมเพชตัวเองว่าไปทำอะไรไร้สาระมา ส่วนเพื่อนก็ยังคงไปมาหาสู่ชายคนนั้นอีกเรื่อยๆ แล้วก็เอาเรื่องส่วนตัวแกมาเม้าท์ให้ฟังเป็นระยะ ล่าสุดก็เล่าว่าแกไปได้เสียกับลูกศิษย์หญิงที่มาจากสายวัดธรรมกายประมาณนั้น แบบนี้.. อย่าว่าแต่เรื่องกามที่แกยังตัดไม่ได้ แค่เรื่องตัวตน.. แกจะเข้าใจดีรึยังก็ไม่รู้ ขั้นโสดาบันก็คงยังไปไม่ถึง

มันน่าประหลาด!! ถ้าเราพบคนที่อ้างว่ามีฤทธิ์ระลึกชาติรู้ว่าตนเป็นใครในอดีตหรืออวดอ้างฤทธิ์ด้านอื่นๆ ยิ่งอ้างเรื่องรู้ใจคนอื่นนี่ยิ่งแปลก เพราะแค่ได้ยินได้ฟังเรื่องอะไรก็คิดเข้าใจไปเองว่าเขาคิดเช่นนั้นเช่นนี้ ไม่ได้รู้ว่าเขาคิดจริงอย่างไร เรื่องจิตวิทยาง่ายๆ ยังตีไม่แตก ฟังอะไรก็ไม่เข้าใจถึงแก่น แถมยังโอ้อวดและชอบถากถางเหน็บแนม คนจิตไม่สงบฟุ้งซ่านแบบนี้ จะมีสมาธิเข้าไปรู้ใจคนอื่นได้จริงหรือ หรือน่าจะเป็นฤทธิ์อุปาทานไปเสียมากกว่า เพราะรังแต่จะก่อเรื่องกับคนอื่นไป

ทำไมการพูดเรื่องฤทธิ์แต่เพื่ออวดอัตตาเรียกศรัทธากลับทำขึ้น ด้วยคนส่วนใหญ่พอได้ยินได้ฟังก็ศรัทธากันไป ทำไมคนส่วนใหญ่ไม่สนใจคนที่พูดอะไรธรรมดาๆ ที่เป็นจริง ดูคนที่การกระทำมากกว่าการอวดอ้าง สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ เพราะเรื่องฤทธิ์ทางจิตนี่ ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นเรื่องของเหตุผล ไม่ใช่มาอ้างว่ามีฤทธิ์มีธรรมแต่กลับทำนิสัยตรงข้ามกับสิ่งที่อ้าง เพราะของปลอมกับของจริงนั้นต่างกันมาก

ไม่ว่าใครจะเป็นใหญ่เป็นโตหรือต่ำต้อยก็ดี หลอกตัวเองหรือหลอกให้ใครศรัทธาลุ่มหลง นับถือแต่ภาพมายาในอดีตก็ดี เหล่านี้จะเป็นเหตุให้เขาพลาดปัจจุปันอันเป็นเวลาสำคัญไปหรือไม่ ??

สำหรับผู้มีปัญญา ย่อมมองแต่พฤติกรรมในปัจจุบันนี้เท่านั้น เขาไม่สนใจว่าใครจะชั่วร้ายหรือแสนดีมาแต่ชาติก่อนอย่างไร แต่กลับมองว่าในปัจจุบันนี้ เขาคนนั้นเป็นเช่นใด-อย่างไร กลไกของกาลเวลาอันเป็นมายาก็จะหลอกลวงเขาไม่ได้ แค่เวลาในชาติปัจจุบันก็จบลงยากแล้ว ปล่อยวางได้ยากอยู่แล้ว หากไปพัวพันกับเวลาของอดีตอนาคตให้จบยากลงอีก แบบนี้การรู้อดีตชาติแทนจะเป็นผลดี ทำให้คลายความยึดถือตัวตนอันจอมปลอม กลับจะทำให้ยิ่งยึดมั่นตัวตนมากขึ้นไป

คนมีปัญญาแล้ว จะปล่อยวางทุกชาติลงทันที แม้นแต่ชาตินี้ก็ไม่ยึดมั่น เพียงรับรู้และทำตามหน้าที่ที่เป็นอยู่ นำอดีตมาปรับปรุง เพื่อการรับรู้ปัจจุบันขณะได้มีสติยิ่งขึ้น เพราะร่างกายและจิตใจที่ดำรงอยู่ในชาติปัจจุบันมีผลอยู่จริง ต้องอาศัยอยู่จิรง สามารถเรียนรู้ความจริงได้ด้วยรูปและนามปัจจุบันนี้ว่าแท้แล้วมีสภาพอย่างไร ต่างจากอดีตที่จบไปและอนาคตที่ยังมาไม่ถึง มีแต่ขณะนี้และเดี๋ยวนี้เท่านั้น ที่เราจะต้องตั้งสติให้ดี เพื่อไม่ให้หลงไปกับตัวตน

มนุษย์เรา มีชีวิตอยู่ได้เพราะปัจจุบันเท่านั้นเอง ที่มีอดีตอนาคตก็เพราะกิเลสตัณหาอุปาทาน หากประจักษ์แจ้งความจริงได้เมื่อใด กาลเวลาก็จบลงทันที เพราะไม่มีบุญบาป ไม่มีชาติภพต้องเสวย ไม่มีวิบากกรรมใดต้องเสวย กิเลสตัณหาอุปาทานนั้นจะหมดลงหรือปล่อยวางได้หรือไม่ ..ก็อยู่ที่ปัจจุบัน

ขอจบด้วยธรรมะจาก.. หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต - ...อ้าว!...ก็จิตมันไม่ตาย มันตายแต่ร่างกาย การเวียนว่ายตายเกิดก็มาจากจิตดวงเดียวนี้นั่นแหละ จะว่าไม่เป็นแก่นอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะเป็นภพหน้าชาติหน้า จิตดวงนี้แหละก็ต้องตามพวกเราทั้งหมด ร่างกายจะไปได้ที่ไหนล่ะ เมื่อร่างกายถูกไฟเผาร่างกายก็เหลือแต่กระดูกเป็นเถ้าถ่านไปหมด ดังนั้น จิตดวงเดียวถ้าผู้นั้นยังไม่สิ้นกิเลส มันก็มีบาปมีบุญติดตามไป และบาปบุญนั่นแหละที่จะนำดวงจิตไป และถ้าทุกคนสิ้นหรือหมดจากกิเลสแล้วก็จะไม่มีอะไรนำก็จะเป็นการนิพพานนั่นเอง


..
วันอาทิตย์ที่ 29 ก.ค. 50 .. วันอาสาฬหบูชา
วันจันทร์ที่ 30 ก.ค. 50 ....วันเข้าพรรษา


Create Date : 27 กรกฎาคม 2550
Last Update : 28 กรกฎาคม 2550 14:37:43 น. 0 comments
Counter : 840 Pageviews.
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.