ปฎิรูป-ถอยอย่างไรไม่ให้ล้ม*** WHITESPACE.CO.LTD

whitespace
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




เมื่อไม่มีสิ่งใดจริง จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
.....อ่านเรื่องพุทธบารมี
.....ลีลาสมเด็จพุฒาจารย์โต
.....ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น

Google..
.....................พ่อของแผ่นดิน...
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
23 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add whitespace's blog to your web]
Links
 

 
เป็นหมอมือเปล่า ด้วยพลังกายทิพย์



เ ป็ น ห ม อ มื อ เ ป ล่ า . . . . ด้ ว ย พ ลั ง ก า ย ทิ พ ย์
อวกาศสีขาว / 23 มิ.ย. 50


. . . . ไ ม่ ว่ า ผู้ ใ ช้ พ ลั ง ส ม า ธิ จิ ต จะมีจุดมุ่งหมายอะไรก็ตามต่อผู้ถูกพลังจิตนั้น การส่งกระแสจิตหรือใช้พลังจิตออกมา นอกจากจะส่งผ่านทางคลื่นความคิด ผู้ใช้พลังจิตยังสามารถส่งผ่านพลังนั้นออกมาทางดวงตา ตาที่สาม(กลางหน้าผากระหว่างคิ้ว) ฝ่ามือและปลายนิ้ว

โดยทั่วไป ทุกคนล้วนมีพลังทางจิต และสามารถกระตุ้นพลังจิตนั้นขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นด้วยความรักความชัง หรือแรงอธิษฐาน ฯลฯ เพราะจิตเรานั้นมีพลังมาก เพียงแต่ผู้ไม่ได้ฝึกฝนจะเรียกใช้พลังจิตตามต้องการไม่ได้ง่ายๆ การใช้พลังจิตด้วยความรักความเมตตานั้นเป็นเรื่องดีงาม นอกจากจะคิดถึงกัน สวดมนต์ให้กัน เป็นห่วงกัน มนุษย์ยังสามารถส่งคลื่นพลังนั้นออกมาทางมือได้อย่างเป็นรูปธรรม เราจะรู้สึกถึงกระแสคลื่นที่ปล่อยออกมาตามฝ่ามือและปลายนิ้ว ทั้งที่เป็นปราณจากภายในตัวและพลังคอสมิครอบตัวที่มือสัมผัสได้ นำมาใช้ประโยชน์ได้

การถ่ายทอดพลังเพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ก็สามารถใช้เพียงมือเปล่าธรรมดาๆ การรักษาโรคภัยผ่านทางมือนั้นมีมาแต่โบราณกาล โดยอาศัยคลื่นพลังที่ส่งมาจิตใจที่ดีงาม บางคนไม่ทราบว่าตัวเองมีพลังจิตผ่านมาทางมือ แต่ก็ช่วยบีบนวดให้ผู้ป่วย ความคิดที่จะให้ผู้ป่วยหายหรือดีขึ้นนี่เองที่เป็นพลังจิตอย่างหนึ่ง หรือการใช้ร่างกายตัวเองรับคลื่นพลังจากแหล่งอื่นส่งผ่านออกทางมือเพื่อบำบัดรักษาคนป่วย สัมผัสผู้ป่วยด้วยการบีบมือหรือส่งสายตา และภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษาให้ผู้ป่วยปลอดภัยอยู่ภายในใจ

เราถูกรักษาด้วยมือเปล่ามาตั้งแต่เกิด เริ่มจากแม่รักษาให้ลูก การกอดสัมผัสเค้นคลึงเพื่อให้ลูกน้อยได้รับความสบายตัว ได้ความอบอุ่นทางจิตใจ แม้นแต่รักษาโรคบางอย่างให้ลูกน้อยได้ด้วยกระแสแห่งความรัก การตบก้นเด็ก การปลอบสัมผัสตัวเมื่อเด็กร้องไห้ หรือสวดมนต์วิงวอนให้ลูกน้อยสุขภาพดี หายจากสิ่งที่ทำให้เด็กร้องไห้

จิตที่มีพลังมากจะสามารถส่งผ่านอำนาจออกมาทางดวงตา หน้าผาก ฝ่ามือและปลายนิ้ว (เท้าก็คงได้ เคยเห็นหมอโบราณที่เอาเท้าเหยียบไฟแล้วลนน้ำมันมานวดตามตัวให้ชาวบ้าน) ไม่ว่าจะมาจากกำลังจิตตัวเอง หรือแม้แต่ใช้ตัวเองส่งผ่านพลังจากจักรวาลซึ่งอาจจะเป็นครูบาอาจารย์ที่นับถือ เทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือจิตที่มีเตตาสูงส่ง เพื่อมาช่วยผู้อื่นด้วยความศรัทธาและเชื่อมั่น เหล่านั้นเองล้วนมีผลต่อการเพิ่มพลังจิตเราถึงผู้อื่นด้วยทั้งสิ้น

สำหรับคนส่วนใหญ่ที่สนใจเรื่องสุขภาพ มักจะเข้าใจแต่เรื่องร่างกายภายนอก จึงให้ความสำคัญต่ออาหารการกิน การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การอยู่ในสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติที่ดี ซึ่งนี่เป็นเพียงการได้รับพลังชีวิตที่ดีจากภายนอกนอกตัวเท่านั้น แต่สุขภาพคนเราจะแข็งแรงสมบูรณ์จริง ต้องอาศัยปัจจัยทั้งร่างกายและจิตใจที่มีความสมดุล

จิตใจภายในรวมถึงร่างกายภายใน มีการทำงานซับซ้อนมากกว่าที่วงการแพทย์ค้นพบ กายภายในเป็นกายละเอียดหรือที่เรียกกายทิพย์ ที่จริงเป็นคลื่นพลังงานหนึ่งซึ่งแสดงสภาวะจิตและร่างกายนั่นเอง กายทิพย์หรือกายแสงจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพจิตใจและร่างกาย บ่งบอกผลกระทบที่จะเกิดกับกายเนื้อล่วงหน้าได้ด้วย หากกายทิพย์เจิดจ้าสว่างไสว แสดงถึงความแข็งแรงของจิตและร่างกาย ทุกคนมีกายภายในหรือกายทิพย์ซ้อนอยู่ในกายเนื้อ หากจิตวิญญาณหลุดไปจากกายเนื้อก็จะดำรงอยู่ด้วยกายทิพย์นี้ แต่การจะฝึกฝนเพิ่มพลังให้กายทิพย์มีอำนาจอย่างไม่มีประมาณได้หรือไม่ หรือสามารถหลุดออกจากที่คุมขังคือกายเนื้อนี้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ ยิ่งฝึกสมาธิขั้นสูงเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มพลังให้กับกายทิพย์ภายในได้เท่านั้น และยังสามารถนำพลังสมาธิจิตมาช่วยผู้อื่นได้

การเพิ่มพลังให้กายทิพย์นั้น ง่ายๆ ก็คือการฝึกจิตใจให้บริสุทธิ์มีพลังสมาธิระดับสูง รวมถึงการดูแลร่างกายให้แข็งแรงนั่นเอง ส่วนเหตุผลประการแรกในการฝึกฝนพลังกายทิพย์ ก็คือการปฏิบัติเพื่อรักษาสุขภาพของตัวผู้ฝึกเองก่อนเป็นสำคัญ เพราะก่อนจะสามารถนำพลังนั้นไปรักษาบุคคลอื่นเราจะต้องมีพลังที่มากพอ


*การจะใช้พลังกายทิพย์ในการรักษาคนอื่นอย่างมีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการใช้แค่พลังสมาธิของเราช่วยคนอื่นนั้นอาจทำให้เราสูญเสียพลังมากจนเป็นผลร้ายต่อตัวเอง การเพิ่มพลังกายทิพย์หรือพลังจิตของเรา โดยการกระตุ้นพลังชีวิตในตัวหรือปราณให้ตื่นขึ้น รวมถึงการรับพลังจากจักรวาลผ่านร่างกาย นับเป็นการเพิ่มพลังให้ตัวเองแล้วส่งต่อในการรักษาผู้อื่น นอกจากจะไม่ทำให้ตัวเองสูญเสียพลังสมาธิ ซ้ำยังให้ประโยชน์ต่อการเพิ่มพลังสมาธิและกายทิพย์ให้ตัวเองอีกด้วย

เ ป็ น เ รื่ อ ง สํ า คั ญ อ ย่ า ง ยิ่ ง ต่ อ ก า ร ปลุกปราณหรือพลังชีวิต (ชี่หรือกุณฑาลิณี) ในตัวเองขึ้นมา จนสามารถทะลวงจักระทั้งเจ็ดให้ปราณเดินสะดวก และเมื่อจักระ7 บนกระหม่อมเปิดขึ้น จะสามารถเชื่อมต่อการรับพลังจักรวาลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้นอกจากจะสามารถรักษาสุขภาพตัวเองได้แล้ว ยังช่วยรักษาความเจ็บป่วยให้ผู้อื่นได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

กายแสงนั้นมีออร่าถึง 7 ระดับ แต่ละระดับก็เชื่อมซ้อนทับกันโดยมีตำแหน่ง 7 จักร ในร่างกายเป็นจุดเชื่อมโยงจักระหรือศูนย์พลังทั้ง 7 อยู่ภายใน เป็นทางขับเคลื่อนของปราณก่อนกระจายไปทุกอณูในร่างกาย

จักระแต่ละจุดจะมีสีแห่งชีวิต
ควบคุมดูแลอวัยวะภายในร่างกายตามตำแหน่งต่างกัน

จักระ1 มูลลัดดา - อยู่ตรงฝีเย็บระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนักมีสีแดง ควบคุมอวัยวะ ขา เท้า กระดูก ลำไส้ใหญ่
จักระ2 สวัสดิ์ธนา - อยู่ตรงก้นกบข้อที่1 มีสีส้ม ควบคุมอวัยวะ มดลูก อวัยวะเพศ กระเพาะปัสสาวะ ระบบไหลเวียนโลหิต
จักระ3 มณีปุระ - อยู่บนกระดูกสันหนังแนวเดียวกับสะดือมีสีเหลือง ควบคุมอวัยวะ ตับ ม้าม กล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร การผลิตเม็ดเลือด
จักระ4 อนัตตา - อยู่บนกระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจมีสีเขียว ควบคุมอวัยวะ หัวใจ ปอด แขน มือ
จักระ5 วิสุทธิ์ - อยู่บนกระดูกสันหลังช่วงต้นคอหอยมีสีฟ้า ควบคุมอวัยวะ คอ ไหล่ แขน มือ หู การได้ยิน
จักระ6 อัชนา - อยู่ระหว่างคิ้วตรงหน้าผากหรือดวงตาที่สามมีสีไพลิน ควบคุมอวัยวะ ดวงตา ความทรงจำ สมรรถภาพชาย/หญิง มดลูก ต่อมลูกหมาก
จักระ7 สหัสรา - อยู่กลางกระหม่อมมีสีม่วง ควบคุมอวัยวะ Cerebral cortex / Central nervous system ระบบประสาททั้งหมด




บนจักระ7 นั้น จะมีต่อมไพเนียล Pineal อยู่กลางสมอง ควบคุมระบบชีวิตและฮอร์โมน และในต่อมไพเนียลมีส่วนเล็กๆ อยู่ภายในที่เรียกว่าต่อมปิทูอิแทรี่ Pituitary ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของตาที่สามหรือตาทิพย์ที่จักระ6 ซึ่งอยู่กลางหว่างคิ้วที่หน้าผาก การรับพลังจักรวาลด้วยจักระ7 เพื่อเพิ่มพลังกายทิพย์อาจมีอันตรายต่อผู้ที่ยังไม่เปิดจักระ เพราะร่างกายยังไม่ได้ปรับสมดุลเพื่อจะรับพลังงานอันมหาศาลนั้น บางคนอาจฝึกปฏิบัติในการเปิดจักระ7 ได้ด้วยตัวเอง แต่บางคนอาจต้องได้รับการปฏิบัติโดยมีผู้รู้คอยให้ความช่วยเหลือ


การรักษาผู้ป่วยด้วยสองมือเปล่า

หลายคนอาจเคยรวบรวมสมาธิไว้ที่ฝ่ามือแล้วช่วยรักษาคนเจ็บโดยการส่งพลังจากมือไปยังจุดเจ็บป่วยของคนไข้จนรู้สึกพลังสมาธิตัวเองหมดหรือเหนื่อย
แต่การรักษาโดยอาศัยพลังจักรวาลผ่านตัวเราหรือผ่านกายทิพย์เราไปยังผู้ป่วย กลับง่ายดายกว่ามาก เมื่อรับพลังจักรวาลจากจักระ7 เราจะรู้สึกถึงกระแสพลังที่ส่งมามหาศาลสั่นสะเทือนผ่านตัวเราลงมา ให้เราเอามือแตะจักระของผู้ป่วยตามจักระที่ควบคุมอวัยวะที่เจ็บป่วยนั้น เพื่อส่งพลังจักรวาลจากมือเรา (คล้ายกระแสไฟอ่อนๆ) ออกไปทำการรักษา

การรักษาจะรักษาตามเหมาะสมกับโรคที่ผู้ป่วยเป็น โดยใช้มือเปล่าจับไปยังจักระของผู้ป่วยที่ควบคุมอวัยวะที่เจ็บป่วยนั้นอยู่ เช่นเป็นไมเกรน ใช้มือจับจักระ7 และ 6 ของผู้ป่วย ไม่ควรทำเกิน 5 นาทีต่อครั้ง วันละครั้งเท่านั้น รักษาโรคที่เป็นมากก่อน นอกจากโรคร้ายแรงบางโรคที่สามารถทำได้ทุก 6 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นร่างกายผู้ป่วยจะปรับตัวไม่ได้ แต่สามารถบำบัดอาการได้ตลอดเวลาคือรักษาแบบไม่จับจักระนั่นเอง โดยจับจุดที่เจ็บป่วยได้โดยไม่จำกัดเวลา เช่นปวดตา จับจักระ6 แต่ห้ามเกิน 5 นาที เป็นอันขาด หากยังไม่หายปวด ให้เอามือจับที่เบ้าตาแทนจนกว่าจะหายปวดหรือดีขึ้น สามารถจับได้ทุกเวลา

. . . โ ด ย ป ก ติ ร่างกายคนเรานั้นจะพยายามรักษาตัวเองและต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายที่เข้ามาในร่างกายอยู่แล้ว การนอนหลับช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่งจะสำคัญมาก เพราะร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนินออกมาเพื่อซ่อมแซมร่างกาย หากนอนหลังเที่ยงคืนจะทำให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ยาก ร่างกายอ่อนเพลีย เจ็บป่วยได้ง่าย ทุกวันนี้ การดำรงชีวิตของคนเราพลิกผันและฝืนธรรมชาติไปค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยที่หลุดไปจากธรรมชาติ อยู่แต่บนตึก และจมอยู่กับเครื่องปรับอากาศ กินอาหารที่มีแต่ยากันเสีย การทำงานอยู่กับคลื่นความคิดอันสับสน สังคมเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและทำร้ายกันทางการสื่อสาร เทคโนโลยีที่มีคลื่นแสงและเสียงที่ทำลายระบบประสาทของมนุษย์ ทำให้ทั้งจิตและกายของมนุษย์อ่อนแอลงทุกขณะ

การกลับมาใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ มีความคิดที่เป็นบวก ฝึกสมาธิและกระตุ้นปราณในตัว และการรับพลังจักรวาล จะช่วยให้เราพบกับกระแสของความสุขและมีชีวิตที่สงบง่ายขึ้น คนที่ฝึกพลังกายทิพย์จนมีพลังมากพอ ก็จะสามารถส่งพลังนี้ไปช่วยเหลือคนอื่นได้

การปลุกพลังชีวิตหรือปราณ มีหลายวิธี ผู้เขียนฝึกแบบสมาธิเต๋า .. และยังรับพลังจักรวาลได้ไม่สมบูรณ์นัก สุขภาพก็ไม่ค่อยดีเท่ากับเด็กเลี้ยงควายกลางท้องนา เพราะอยู่ห่างธรรมชาติมาก

การฝึกพลังกายทิพย์ ควรออกกำลังกาย-เดินปราณ นั่งสมาธิเพิ่มพลังจักรวาล และทำการรักษาตัวเอง ทุกวัน

สำหรับบุคคลที่สนใจ การฝึกวิชาพลังกายทิพย์ ที่สถาบันพลังกายทิพย์ของคุณย่าเยาวเรศ บุนนาค จะมีการอบรมวิชาพลังกายทิพย์ โดยการฝึกจะแบ่งเป็นสามขั้น
1.ขั้นปฐมจักระ ช่วยกระตุ้นการเปิดจักระ ช่วยให้ความรู้ในการเปิดจักระทั้งเจ็ด และสอนการนำพลังจักรวาลมาใช้รักษาตัวเองและคนอื่นด้วยมือเปล่า มีหนังสือคู่มือการรักษาโรคด้วยการใช้มือรักษาตามจักระต่างๆ ตามอาการของโรค
2.ขั้นพัฒนาจักระ เพิ่มความสามารถของพลังกายทิพย์ด้วยการปฏิบัติโยคะ และการอาบน้ำทิพย์
3.ขั้นกายทิพย์ ต้องผ่านการทดสอบจิตใจและความสามารถในการใช้พลังกายทิพย์ขั้นสูง เพื่ออบรมในขั้นสูงต่อไป ผู้ถูกคัดเลือก จะต้องรักษาผู้อื่นโดยห้ามเรียกร้องสิ่งตอบแทน

คุณย่าเยาวเรศ เป็นลูกศิษย์ของท่านดาสิรา นาราดา โดยเป็นศิษย์ของหลวงสุวิชานแพทย์ ให้การอบรมวิชาพลังกายทิพย์เพื่อนำมารักษาตัวเองและผู้อื่น
ต้องการอบรมวิชาพลังกายทิพย์ ติดต่อที่
* เว็บวิชาพลังกายทิพย์ โดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
//www.khunya.in.th/default.asp
* ศึกษาวิชาพลังกายทิพย์ สอนโดยคุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
วิชาพลังกายทิพย์ สอนโดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
* รวบรวมคำถามที่พบบ่อย
//forum.khunya.in.th/forum_posts.asp?TID=629



คนไข้อาจวิงเวียน หน้ามืดเป็นลมหมดสติ


การจับจักระ 7 รักษาโรคติงต๊องส์ในคนไข้ - - "



บทความคราวหน้าเรื่อง....... มาถอดกายทิพย์กันเต๊อะ - - “
หากหายไปนาน แสดงว่าขี้เกียจมากกกกก
ไปดูเว็บนี้แก้เซ็งไปก่อน...กดเลย...ไปดูกัน



Create Date : 23 มิถุนายน 2550
Last Update : 24 มิถุนายน 2550 12:23:28 น. 0 comments
Counter : 13569 Pageviews.
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.