Bloggang.com : weblog for you and your gang
ปฎิรูป-ถอยอย่างไรไม่ให้ล้ม
***
WHITESPACE.CO.LTD
whitespace
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [
?
]
เมื่อไม่มีสิ่งใดจริง จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
.....อ่านเรื่องพุทธบารมี
.....ลีลาสมเด็จพุฒาจารย์โต
.....ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น
Google..
.....................พ่อของแผ่นดิน...
Group Blog
บ่นเป็นเรื่องกับอวกาศสีขาว
*if *U* lonesome
ห้องรับแขก
ไปทำเกษตรกันเต๊อะ
.. ธรรมะที่ไม่ควรมองข้าม
...รักษาจิตฟื้นพลังชีวิต
.. ลู ก แ ก้ ว .. ลู ก หิ น ..
O_o* พูดคุยทักทาย *o_O
เรื่องสั้นเรื่อยเปื่อย
เรื่องสั้นรักระหว่างหญิง
เรื่องชุด เทวดาประจำกาย
เรื่องชุด Without Love-Scene
นิยาย The PraYer
<<
มิถุนายน 2550
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
23 มิถุนายน 2550
เป็นหมอมือเปล่า ด้วยพลังกายทิพย์
All Blogs
มรรคแห่งการภาวนา โพธิปักขิยธรรม 37
นิพพานธาตุ นามธรรมที่ไม่มีอารมณ์
ธรรมกาย พุทธภาวะแห่งนิพพาน
นิพพานที่ไหน
ธรรมกาย สภาวธรรมของกายผู้ดับขันธ์ห้า(พระอรหันต์)
เหตุแห่งความจริงสองประการ
กรรมในการล่วงเกินพระอริยะเถระ
มรรควิถีของพระอริยะ
ชั่วโมงเดียวก็บรรลุธรรมได้
พระอริยะเป็นอย่างไร.. พระอรหันต์เป็นอย่างไร.. ??
ปัจจุบันเป็นเวลาต้องคำนึงถึงที่สุด
มาถอดกายทิพย์กันดีกว่า
เป็นหมอมือเปล่า ด้วยพลังกายทิพย์
= พ ลั ง ก า ย ทิ พ ย์ =
การส่งจิตออกนอกตัวเป็นอย่างไร
อย่างไร จึงชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม
มโนภาพจริง ..รับรู้ด้วยภาพภายในใจหรือภาพในผนังตา..
ไม่ต้องมีฌาน ก็มีปาฏิหาริย์รู้ใจคนได้
ฤทธิ์ทางใจ เหตุใดแพ้อุปาทาน
. . . กำลังสมาธิในการบรรลุธรรม
* * * การทรงฌาน
นิมิตที่ต้องการให้เกิดในสมาธิ และนิมิตที่เกิดเองขณะมีสมาธิ
กสิณและนิมิตยอดนิยม
นิมิตภาพพระ พุทธานุภาพสุดหยั่งคาด
ว่าด้วยกสิณ 10 และนิมิตต่างๆ
ศรัทธา ปัญญา จริตผลต่อการฝึกฝนสมาธิ
ตอนจบกันสักที เรื่องเหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสมโภชน์รัชมังคลาภิเษก
เหรียญที่ระลึก เนื่องในวาระพระราชพิธีสมโภชรัชมังคลาภิเษก
โศกนาฏกรรม พระนางเรือล่ม
โอม มหา.. พญาครุฑา
พลานุภาพแห่งคำว่า "พอเพียง"
แสงสีของดวงจิต (aura)
ทดสอบพลังออร่าของตัวเอง
ออร่า บอกโรคภัย
Friends' blogs
suparatta
อัญชา
กาแฟสอง
วลีวิไล
สีน้ำฟ้า
สายลมอิสระ
Johann sebastian Bach
เจ้าชายไร้เงา
เมื่อตื่นขึ้นมาหัวใจก็ยังมีรัก
lcelcy
คนตาพิการ
คนเลวที่แสนดี
tu111
วชิรา
puyka
Webmaster - BlogGang
[Add whitespace's blog to your web]
Links
โรงเรียนสัตยาไสของดร.อาจอง
www.sala-sara.net
เดิน :: วิถีแห่งสติ
putushon.blogspot
ฟังเพลงพระราชนิพนธ์
jitwiwat.org/index.htm
ทำอย่างไรเมื่องานเขียนถูกลอก
BlogGang.com
เป็นหมอมือเปล่า ด้วยพลังกายทิพย์
เ ป็ น ห ม อ มื อ เ ป ล่ า . . . . ด้ ว ย พ ลั ง ก า ย ทิ พ ย์
อวกาศสีขาว
/ 23 มิ.ย. 50
. . . . ไ ม่ ว่ า ผู้ ใ ช้ พ ลั ง ส ม า ธิ จิ ต จะมีจุดมุ่งหมายอะไรก็ตามต่อผู้ถูกพลังจิตนั้น การส่งกระแสจิตหรือใช้พลังจิตออกมา นอกจากจะส่งผ่านทางคลื่นความคิด ผู้ใช้พลังจิตยังสามารถส่งผ่านพลังนั้นออกมาทางดวงตา ตาที่สาม(กลางหน้าผากระหว่างคิ้ว) ฝ่ามือและปลายนิ้ว
โดยทั่วไป ทุกคนล้วนมีพลังทางจิต และสามารถกระตุ้นพลังจิตนั้นขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นด้วยความรักความชัง หรือแรงอธิษฐาน ฯลฯ เพราะจิตเรานั้นมีพลังมาก เพียงแต่ผู้ไม่ได้ฝึกฝนจะเรียกใช้พลังจิตตามต้องการไม่ได้ง่ายๆ การใช้พลังจิตด้วยความรักความเมตตานั้นเป็นเรื่องดีงาม นอกจากจะคิดถึงกัน สวดมนต์ให้กัน เป็นห่วงกัน มนุษย์ยังสามารถส่งคลื่นพลังนั้นออกมาทางมือได้อย่างเป็นรูปธรรม เราจะรู้สึกถึงกระแสคลื่นที่ปล่อยออกมาตามฝ่ามือและปลายนิ้ว ทั้งที่เป็นปราณจากภายในตัวและพลังคอสมิครอบตัวที่มือสัมผัสได้ นำมาใช้ประโยชน์ได้
การถ่ายทอดพลังเพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ก็สามารถใช้เพียงมือเปล่าธรรมดาๆ การรักษาโรคภัยผ่านทางมือนั้นมีมาแต่โบราณกาล โดยอาศัยคลื่นพลังที่ส่งมาจิตใจที่ดีงาม บางคนไม่ทราบว่าตัวเองมีพลังจิตผ่านมาทางมือ แต่ก็ช่วยบีบนวดให้ผู้ป่วย ความคิดที่จะให้ผู้ป่วยหายหรือดีขึ้นนี่เองที่เป็นพลังจิตอย่างหนึ่ง หรือการใช้ร่างกายตัวเองรับคลื่นพลังจากแหล่งอื่นส่งผ่านออกทางมือเพื่อบำบัดรักษาคนป่วย สัมผัสผู้ป่วยด้วยการบีบมือหรือส่งสายตา และภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษาให้ผู้ป่วยปลอดภัยอยู่ภายในใจ
เราถูกรักษาด้วยมือเปล่ามาตั้งแต่เกิด เริ่มจากแม่รักษาให้ลูก การกอดสัมผัสเค้นคลึงเพื่อให้ลูกน้อยได้รับความสบายตัว ได้ความอบอุ่นทางจิตใจ แม้นแต่รักษาโรคบางอย่างให้ลูกน้อยได้ด้วยกระแสแห่งความรัก การตบก้นเด็ก การปลอบสัมผัสตัวเมื่อเด็กร้องไห้ หรือสวดมนต์วิงวอนให้ลูกน้อยสุขภาพดี หายจากสิ่งที่ทำให้เด็กร้องไห้
จิตที่มีพลังมากจะสามารถส่งผ่านอำนาจออกมาทางดวงตา หน้าผาก ฝ่ามือและปลายนิ้ว (เท้าก็คงได้ เคยเห็นหมอโบราณที่เอาเท้าเหยียบไฟแล้วลนน้ำมันมานวดตามตัวให้ชาวบ้าน) ไม่ว่าจะมาจากกำลังจิตตัวเอง หรือแม้แต่ใช้ตัวเองส่งผ่านพลังจากจักรวาลซึ่งอาจจะเป็นครูบาอาจารย์ที่นับถือ เทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือจิตที่มีเตตาสูงส่ง เพื่อมาช่วยผู้อื่นด้วยความศรัทธาและเชื่อมั่น เหล่านั้นเองล้วนมีผลต่อการเพิ่มพลังจิตเราถึงผู้อื่นด้วยทั้งสิ้น
สำหรับคนส่วนใหญ่ที่สนใจเรื่องสุขภาพ มักจะเข้าใจแต่เรื่องร่างกายภายนอก จึงให้ความสำคัญต่ออาหารการกิน การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การอยู่ในสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติที่ดี ซึ่งนี่เป็นเพียงการได้รับพลังชีวิตที่ดีจากภายนอกนอกตัวเท่านั้น แต่สุขภาพคนเราจะแข็งแรงสมบูรณ์จริง ต้องอาศัยปัจจัยทั้งร่างกายและจิตใจที่มีความสมดุล
จิตใจภายในรวมถึงร่างกายภายใน มีการทำงานซับซ้อนมากกว่าที่วงการแพทย์ค้นพบ กายภายในเป็นกายละเอียดหรือที่เรียกกายทิพย์ ที่จริงเป็นคลื่นพลังงานหนึ่งซึ่งแสดงสภาวะจิตและร่างกายนั่นเอง กายทิพย์หรือกายแสงจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพจิตใจและร่างกาย บ่งบอกผลกระทบที่จะเกิดกับกายเนื้อล่วงหน้าได้ด้วย หากกายทิพย์เจิดจ้าสว่างไสว แสดงถึงความแข็งแรงของจิตและร่างกาย ทุกคนมีกายภายในหรือกายทิพย์ซ้อนอยู่ในกายเนื้อ หากจิตวิญญาณหลุดไปจากกายเนื้อก็จะดำรงอยู่ด้วยกายทิพย์นี้ แต่การจะฝึกฝนเพิ่มพลังให้กายทิพย์มีอำนาจอย่างไม่มีประมาณได้หรือไม่ หรือสามารถหลุดออกจากที่คุมขังคือกายเนื้อนี้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ ยิ่งฝึกสมาธิขั้นสูงเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มพลังให้กับกายทิพย์ภายในได้เท่านั้น และยังสามารถนำพลังสมาธิจิตมาช่วยผู้อื่นได้
การเพิ่มพลังให้กายทิพย์นั้น ง่ายๆ ก็คือการฝึกจิตใจให้บริสุทธิ์มีพลังสมาธิระดับสูง รวมถึงการดูแลร่างกายให้แข็งแรงนั่นเอง ส่วนเหตุผลประการแรกในการฝึกฝนพลังกายทิพย์ ก็คือการปฏิบัติเพื่อรักษาสุขภาพของตัวผู้ฝึกเองก่อนเป็นสำคัญ เพราะก่อนจะสามารถนำพลังนั้นไปรักษาบุคคลอื่นเราจะต้องมีพลังที่มากพอ
การจะใช้พลังกายทิพย์ในการรักษาคนอื่นอย่างมีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการใช้แค่พลังสมาธิของเราช่วยคนอื่นนั้นอาจทำให้เราสูญเสียพลังมากจนเป็นผลร้ายต่อตัวเอง การเพิ่มพลังกายทิพย์หรือพลังจิตของเรา โดยการกระตุ้นพลังชีวิตในตัวหรือปราณให้ตื่นขึ้น รวมถึงการรับพลังจากจักรวาลผ่านร่างกาย นับเป็นการเพิ่มพลังให้ตัวเองแล้วส่งต่อในการรักษาผู้อื่น นอกจากจะไม่ทำให้ตัวเองสูญเสียพลังสมาธิ ซ้ำยังให้ประโยชน์ต่อการเพิ่มพลังสมาธิและกายทิพย์ให้ตัวเองอีกด้วย
เ ป็ น เ รื่ อ ง สํ า คั ญ อ ย่ า ง ยิ่ ง ต่ อ ก า ร ปลุกปราณหรือพลังชีวิต (ชี่หรือกุณฑาลิณี) ในตัวเองขึ้นมา จนสามารถทะลวงจักระทั้งเจ็ดให้ปราณเดินสะดวก และเมื่อจักระ7 บนกระหม่อมเปิดขึ้น จะสามารถเชื่อมต่อการรับพลังจักรวาลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้นอกจากจะสามารถรักษาสุขภาพตัวเองได้แล้ว ยังช่วยรักษาความเจ็บป่วยให้ผู้อื่นได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
กายแสงนั้นมีออร่าถึง 7 ระดับ แต่ละระดับก็เชื่อมซ้อนทับกันโดยมีตำแหน่ง 7 จักร ในร่างกายเป็นจุดเชื่อมโยงจักระหรือศูนย์พลังทั้ง 7 อยู่ภายใน เป็นทางขับเคลื่อนของปราณก่อนกระจายไปทุกอณูในร่างกาย
จักระแต่ละจุดจะมีสีแห่งชีวิต
ควบคุมดูแลอวัยวะภายในร่างกายตามตำแหน่งต่างกัน
จักระ1 มูลลัดดา
- อยู่ตรงฝีเย็บระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนักมีสีแดง ควบคุมอวัยวะ ขา เท้า กระดูก ลำไส้ใหญ่
จักระ2 สวัสดิ์ธนา
- อยู่ตรงก้นกบข้อที่1 มีสีส้ม ควบคุมอวัยวะ มดลูก อวัยวะเพศ กระเพาะปัสสาวะ ระบบไหลเวียนโลหิต
จักระ3 มณีปุระ
- อยู่บนกระดูกสันหนังแนวเดียวกับสะดือมีสีเหลือง ควบคุมอวัยวะ ตับ ม้าม กล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร การผลิตเม็ดเลือด
จักระ4 อนัตตา
- อยู่บนกระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจมีสีเขียว ควบคุมอวัยวะ หัวใจ ปอด แขน มือ
จักระ5 วิสุทธิ์
- อยู่บนกระดูกสันหลังช่วงต้นคอหอยมีสีฟ้า ควบคุมอวัยวะ คอ ไหล่ แขน มือ หู การได้ยิน
จักระ6 อัชนา
- อยู่ระหว่างคิ้วตรงหน้าผากหรือดวงตาที่สามมีสีไพลิน ควบคุมอวัยวะ ดวงตา ความทรงจำ สมรรถภาพชาย/หญิง มดลูก ต่อมลูกหมาก
จักระ7 สหัสรา
- อยู่กลางกระหม่อมมีสีม่วง ควบคุมอวัยวะ Cerebral cortex / Central nervous system ระบบประสาททั้งหมด
บนจักระ7 นั้น จะมีต่อมไพเนียล Pineal อยู่กลางสมอง ควบคุมระบบชีวิตและฮอร์โมน และในต่อมไพเนียลมีส่วนเล็กๆ อยู่ภายในที่เรียกว่าต่อมปิทูอิแทรี่ Pituitary ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของตาที่สามหรือตาทิพย์ที่จักระ6 ซึ่งอยู่กลางหว่างคิ้วที่หน้าผาก การรับพลังจักรวาลด้วยจักระ7 เพื่อเพิ่มพลังกายทิพย์อาจมีอันตรายต่อผู้ที่ยังไม่เปิดจักระ เพราะร่างกายยังไม่ได้ปรับสมดุลเพื่อจะรับพลังงานอันมหาศาลนั้น บางคนอาจฝึกปฏิบัติในการเปิดจักระ7 ได้ด้วยตัวเอง แต่บางคนอาจต้องได้รับการปฏิบัติโดยมีผู้รู้คอยให้ความช่วยเหลือ
การรักษาผู้ป่วยด้วยสองมือเปล่า
หลายคนอาจเคยรวบรวมสมาธิไว้ที่ฝ่ามือแล้วช่วยรักษาคนเจ็บโดยการส่งพลังจากมือไปยังจุดเจ็บป่วยของคนไข้จนรู้สึกพลังสมาธิตัวเองหมดหรือเหนื่อย
แต่การรักษาโดยอาศัยพลังจักรวาลผ่านตัวเราหรือผ่านกายทิพย์เราไปยังผู้ป่วย กลับง่ายดายกว่ามาก เมื่อรับพลังจักรวาลจากจักระ7 เราจะรู้สึกถึงกระแสพลังที่ส่งมามหาศาลสั่นสะเทือนผ่านตัวเราลงมา ให้เราเอามือแตะจักระของผู้ป่วยตามจักระที่ควบคุมอวัยวะที่เจ็บป่วยนั้น เพื่อส่งพลังจักรวาลจากมือเรา (คล้ายกระแสไฟอ่อนๆ) ออกไปทำการรักษา
การรักษาจะรักษาตามเหมาะสมกับโรคที่ผู้ป่วยเป็น โดยใช้มือเปล่าจับไปยังจักระของผู้ป่วยที่ควบคุมอวัยวะที่เจ็บป่วยนั้นอยู่ เช่นเป็นไมเกรน ใช้มือจับจักระ7 และ 6 ของผู้ป่วย ไม่ควรทำเกิน 5 นาทีต่อครั้ง วันละครั้งเท่านั้น รักษาโรคที่เป็นมากก่อน นอกจากโรคร้ายแรงบางโรคที่สามารถทำได้ทุก 6 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นร่างกายผู้ป่วยจะปรับตัวไม่ได้ แต่สามารถบำบัดอาการได้ตลอดเวลาคือรักษาแบบไม่จับจักระนั่นเอง โดยจับจุดที่เจ็บป่วยได้โดยไม่จำกัดเวลา เช่นปวดตา จับจักระ6 แต่ห้ามเกิน 5 นาที เป็นอันขาด หากยังไม่หายปวด ให้เอามือจับที่เบ้าตาแทนจนกว่าจะหายปวดหรือดีขึ้น สามารถจับได้ทุกเวลา
. . . โ ด ย ป ก ติ ร่างกายคนเรานั้นจะพยายามรักษาตัวเองและต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายที่เข้ามาในร่างกายอยู่แล้ว การนอนหลับช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่งจะสำคัญมาก เพราะร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนินออกมาเพื่อซ่อมแซมร่างกาย หากนอนหลังเที่ยงคืนจะทำให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ยาก ร่างกายอ่อนเพลีย เจ็บป่วยได้ง่าย ทุกวันนี้ การดำรงชีวิตของคนเราพลิกผันและฝืนธรรมชาติไปค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยที่หลุดไปจากธรรมชาติ อยู่แต่บนตึก และจมอยู่กับเครื่องปรับอากาศ กินอาหารที่มีแต่ยากันเสีย การทำงานอยู่กับคลื่นความคิดอันสับสน สังคมเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและทำร้ายกันทางการสื่อสาร เทคโนโลยีที่มีคลื่นแสงและเสียงที่ทำลายระบบประสาทของมนุษย์ ทำให้ทั้งจิตและกายของมนุษย์อ่อนแอลงทุกขณะ
การกลับมาใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ มีความคิดที่เป็นบวก ฝึกสมาธิและกระตุ้นปราณในตัว และการรับพลังจักรวาล จะช่วยให้เราพบกับกระแสของความสุขและมีชีวิตที่สงบง่ายขึ้น คนที่ฝึกพลังกายทิพย์จนมีพลังมากพอ ก็จะสามารถส่งพลังนี้ไปช่วยเหลือคนอื่นได้
การปลุกพลังชีวิตหรือปราณ มีหลายวิธี ผู้เขียนฝึกแบบสมาธิเต๋า .. และยังรับพลังจักรวาลได้ไม่สมบูรณ์นัก สุขภาพก็ไม่ค่อยดีเท่ากับเด็กเลี้ยงควายกลางท้องนา เพราะอยู่ห่างธรรมชาติมาก
การฝึกพลังกายทิพย์
ควรออกกำลังกาย-เดินปราณ นั่งสมาธิเพิ่มพลังจักรวาล และทำการรักษาตัวเอง ทุกวัน
สำหรับบุคคลที่สนใจ การฝึกวิชาพลังกายทิพย์ ที่สถาบันพลังกายทิพย์ของคุณย่าเยาวเรศ บุนนาค จะมีการอบรมวิชาพลังกายทิพย์ โดยการฝึกจะแบ่งเป็นสามขั้น
1.ขั้นปฐมจักระ
ช่วยกระตุ้นการเปิดจักระ ช่วยให้ความรู้ในการเปิดจักระทั้งเจ็ด และสอนการนำพลังจักรวาลมาใช้รักษาตัวเองและคนอื่นด้วยมือเปล่า มีหนังสือคู่มือการรักษาโรคด้วยการใช้มือรักษาตามจักระต่างๆ ตามอาการของโรค
2.ขั้นพัฒนาจักระ
เพิ่มความสามารถของพลังกายทิพย์ด้วยการปฏิบัติโยคะ และการอาบน้ำทิพย์
3.ขั้นกายทิพย์
ต้องผ่านการทดสอบจิตใจและความสามารถในการใช้พลังกายทิพย์ขั้นสูง เพื่ออบรมในขั้นสูงต่อไป ผู้ถูกคัดเลือก จะต้องรักษาผู้อื่นโดยห้ามเรียกร้องสิ่งตอบแทน
คุณย่าเยาวเรศ เป็นลูกศิษย์ของท่านดาสิรา นาราดา โดยเป็นศิษย์ของหลวงสุวิชานแพทย์ ให้การอบรมวิชาพลังกายทิพย์เพื่อนำมารักษาตัวเองและผู้อื่น
ต้องการอบรมวิชาพลังกายทิพย์ ติดต่อที่
* เว็บวิชาพลังกายทิพย์ โดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
//www.khunya.in.th/default.asp
* ศึกษาวิชาพลังกายทิพย์ สอนโดยคุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
วิชาพลังกายทิพย์ สอนโดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
* รวบรวมคำถามที่พบบ่อย
//forum.khunya.in.th/forum_posts.asp?TID=629
คนไข้อาจวิงเวียน หน้ามืดเป็นลมหมดสติ
การจับจักระ 7 รักษาโรคติงต๊องส์ในคนไข้ - - "
บทความคราวหน้าเรื่อง....... มาถอดกายทิพย์กันเต๊อะ - -
หากหายไปนาน แสดงว่าขี้เกียจมากกกกก
ไปดูเว็บนี้แก้เซ็งไปก่อน...
กดเลย...ไปดูกัน
Create Date : 23 มิถุนายน 2550
Last Update : 24 มิถุนายน 2550 12:23:28 น.
0 comments
Counter : 13569 Pageviews.
Share
Tweet
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.