ปฎิรูป-ถอยอย่างไรไม่ให้ล้ม*** WHITESPACE.CO.LTD

whitespace
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




เมื่อไม่มีสิ่งใดจริง จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
.....อ่านเรื่องพุทธบารมี
.....ลีลาสมเด็จพุฒาจารย์โต
.....ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น

Google..
.....................พ่อของแผ่นดิน...
Group Blog
 
<<
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
19 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add whitespace's blog to your web]
Links
 

 
ฤทธิ์ทางใจ เหตุใดแพ้อุปาทาน




ฤทธิ์ทางใจ เหตุใดแพ้อุปาทาน
อวกาศสีขาว / 14 เม.ย. 50


ข น า ด ค น เ ร า ที่ ร่ า ง ก า ย ส ม บู ร ณ์ แ ข็ ง แ ร ง มีความสามารถในการเห็นได้เท่าๆ กัน ได้ยินไม่ต่างกัน แต่การรับรู้ยังแตกต่างกันมาก แม้นกระทั่งในเรื่องๆ เดียวกัน ยังกลับมีมุมมองหรือทัศนคติแตกต่างกันไป จะตัดสินว่าใครเห็นถูกกว่ากันหรือคิดถูกกว่ากันนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้ประสบการณ์และปัญญาพิจารณาเอา

แล้วจะประสาอะไร กับคนที่มีความสามารถในการเห็นการได้ยินที่ไม่เท่ากัน ร่างกายทุพพลภาพหรือไม่สมบูรณ์เหมือนกัน

ยิ่งในคนที่เราคิดว่า มีความสามารถมากกว่าคนทั่วๆ ไปในการรับรู้-สัมผัสสิ่งเหนือโลก ยิ่งอาจคาดเดายาก ว่าสิ่งที่เขาเห็นหรือรับรู้นั้น เขารับรู้ได้เที่ยงตรงขนาดไหน ทั้งยังด้วยทัศนคติหรือปัญญาต่อการรับรู้ของเขาอีก ว่าเขาคิดเห็นต่อสิ่งที่เขาพบเห็นนั่นเป็นอย่างไร ถูกต้องขนาดไหน เพราะการที่เราไม่ได้พบเองเห็นเอง จึงต้องใช้วิจารณญาณไม่น้อยว่าจะเชื่อหรือไม่

บ่อยครั้งที่เราไปดูดวงกับหมอดูที่เราเชื่อว่ามีตาทิพย์หูทิพย์ รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้มากกว่าคนธรรมดาๆ แต่หมอดูแต่ละคนกลับทายโชคชะตาของเราไม่ตรงกัน หมอดูคนไหนที่เราจะเชื่อถือดี

สำหรับคนพุทธแล้ว ตามคำสอนของศาสนานั้นไม่ได้ปฏิเสธเรื่องภพชาติ และไม่ปฏิเสธความมีพลังของจิตที่สามารถฝึกฝนกำลังจนมีฤทธานุภาพ ซึ่งเราไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ แต่กลับเห็นว่าเป็นเรื่องปกติของจิตที่ฝึกฝนมา เรื่องอิทธิฤทธิ์นั้น ความจริงไม่ได้มีแต่เพียงในศาสนาพุทธที่มีการกล่าวถึง ศาสนาอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธ แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์ก็ศึกษาและค้นพบความสามารถของจิตที่ฝึกฝนกันได้ จนมีสถาบันสอนเรื่องพลังจิตกันมากมายทั้งในต่างประเทศและไทย

แต่สำหรับคนไทยรับรู้เรื่องฤทธิ์ทางจิตนี้มานานด้วยการทำสมาธิ จิตเมื่อสงบรำงับ ปราศจากการร้อยรัดจากนิวรณ์ทั้งห้า ก็ถือว่าเป็นนิพพานชั่วคราว หากกำหนดได้ต่อเนื่องจนครบรอบขาดจากการปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหาอย่างสิ้นเชิง ย่อมเข้าสู่ฝั่งนิพพานปรมัตถ์โดยชั่วพลิกฝ่ามือขณะที่หลุดจากความคิดนึก แต่ถ้ายังไม่อาจตัดขาดจากกิเลส จิตที่สงบนั้นหากเต็มไปด้วยพลังสมาธิแล้ว ก็สามารถแสดงพลังของตัวเองออกมาได้เกินความสามารถของร่างกายหยาบนี้จะทำได้ เพราะจิตนั้นเป็นคลื่นพลังงานที่มีความสามารถและเป็นตัวรู้ เพียงแต่ถูกกิเลสตัณหาครอบงำไว้ด้วยความหลงไป จึงต้องว่ายวนอยู่ในภพชาติอย่างยาวนานไม่สิ้นสุด

การทำสมาธิหยุดคิดปรุงแต่งทางโลก จนจิตแน่วแน่และมีความว่างโปร่งเบาเข้ามาแทน จิตนั้นก็จะมีการรับรู้ได้มากกว่าร่างกายหยาบ เมื่อจิตมีพลังสมาธิมากจนหลุดแยกจากร่างกาย อานุภาพของจิตก็จะสำแดงตัวออกมา ภาวการณ์รับรู้ทางจิตนั้นมีประสิทธิภาพต่อการรู้เห็นที่ซับซ้อนหลายมิติ ต่างจากการรับรู้ของร่างกายทั่วไป เรียกว่ามีวิชชาหรือมีอภิญญา ซึ่งจะต้องทำสมาธิให้ถึงอุปจารสมาธิเฉียดฌาน หรือได้ฌานแล้วถอนจิตออกมารับรู้

เมื่อเราฝึกการใช้ฌานจนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว จะเกิดวิชชาหรืออภิญญาตามกำลังของสมาธิ โลกียฌานนั้นจะขาดแต่อาสวักขยญาณ ซึ่งถือว่าอยู่ในโลกุตรฌาน

* * * วิชชาสาม หมายถึงความรู้ทั้งสาม หรือทรงคุณไว้ทั้งสามประการ ได้แก่
1.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้ระลึกชาติที่แล้วๆ มาได้
2.จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้ว ตายแล้วไปไหน และที่เกิดมานี้ ก่อนเกิดมาจากไหน
3.อาสวักขยญาณ รู้ในการทำอาสวกิเลสให้สิ้นไป

* * * อภิญญาหก อภิญญา แปลว่า ความรู้อย่างยิ่งยวด-อย่างสูง อภิญญาทั้ง 6 ได้แก่
1.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น อยู่ยงคงกระพัน ล่องหนหายตัว ย่นระยะทาง เหาะเหินเดินอากาศ ฯลฯ
2.ทิพพโสต ญาณที่ทำให้มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกลหรือเสียงอมนุษย์ได้
3.เจโตปริยญาณ รู้วาระจิต รู้ความคิดนึกในใจของคนและสัตว์ได้
4.ปุพเพนิวาสานุสติ ระลึกชาติต่างๆ ของคนหรือสัตว์ได้
5.ทิพพจักขุ ตาทิพย์ รู้เห็นภพภูมิอื่น รู้อดีตอนาคต ผลในญาณต่างๆ ที่เป็นบริวารของทิพยจักขุญาณ ดังนี้ *๑.เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์ *๒.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในกาลก่อนได้ *๓.จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ใด และที่มาเกิดแล้วนี้มาจากไหน *๔.อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตได้ *๕.ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันว่าขณะนี้อะไรเป็นอะไรได้ *๖.อนาคตตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในกาลข้างหน้าได้ *๗.ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ บุคคล เทวดา และพรหมได้ว่ากรรมอันใดส่งผลมา เขามีสุขมีทุกข์เพราะผลกรรมอะไรเป็นเหตุ
6.อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป อภิญญาข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

สำหรับผู้เขียนแล้ว เ ค ย ส ง สั ย ห ล า ย อ ย่ า ง เกี่ยวกับเรื่องฤทธิ์ทางจิต สำหรับการแสดงอิทธิวิธี หรือถอดกายทิพย์ หรือได้ยินได้เห็นมิติอื่นๆ แบบจะจะ นั้นไม่มีความสงสัยนัก เพราะมีสภาวะให้เห็นจริงในความเป็นปัจจุบัน พูดง่ายๆ ก็คือ ถอดกายทิพย์ไปพูดคุยกับโอปปาติกะต่างมิตินั้นเสมือนอยู่มิติเดียวกัน หรือมีหูทิพย์ตาทิพย์สัมผัสโอปปาปาติกะในมิติอื่นแบบจริงๆ นั้นยังยืนยันได้ด้วยกายหยาบ ต่างจากการรับรู้ด้วยจิตอยู่บ้าง ที่เป็นการรับรู้โดยสัมผัสกันทางใจเข้าไปรู้ไปเห็น จริงไม่จริงนั้นวัดกันยาก ถ้าเป็นนิมิตเพราะจิตเก็บเรื่องนั้นๆ ไว้ในความจำ หรือจินตนาการไปตามความคิดเชื่อ ก็ยิ่งเป็นของลวง

การเข้าไปเห็นอดีต หรือรู้ว่าเหตุการณ์ปัจจุบันจะเป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าเป็นการสัมผัสรู้ด้วยจิต แต่ถ้าถามว่าเป็นจริงหรือไม่ คงไม่น่าจะเป็นจริง แม้เรื่องจะเกิดขึ้นจริงตามนิมิตนั้นก็ตาม เพราะอดีตจบไปแล้ว อนาคตหรือปัจจุบันใกล้ๆ ก็ยังไม่เกิดขึ้น แม้เราจะเห็นภาพในอดีตหรือเห็นเหตุการณ์ก่อนล่วงหน้าก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่จริง เป็นเพียงนิมิต ความสามารถของจิตนั้นถือว่าไม่ธรรมดา สามารถรู้เห็นคาดคะเนอย่างเหตุผลเอาว่าจะเกิดอะไรต่อไปหรือเป็นมาอย่างไรก็ได้ อย่างฤทธิ์ก็ได้ คือมาแสดงให้เห็นเป็นนิมิต

ขนาดในความคิดของเรื่องราวเหตุผลทั่วไป ยังต้องการความเป็นกลาง ปราศจากอคติชอบชัง จึงจะได้รับการตัดสินที่เที่ยงธรรม ในฤทธิ์ทางจิตก็ไม่น่าจะต่าง คงต้องการความแจ่มชัดทางจิตอย่างตรงไปตรงมา ดังเช่นญาณต่างๆ ซึ่งเป็นบริวารของทิพพจักขุ ดังนี้ ๑.เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์ *๒.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในกาลก่อนได้ *๓.จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ใด และที่มาเกิดแล้วนี้มาจากไหน *๔.อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตได้ *๕.ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันว่าขณะนี้อะไรเป็นอะไรได้ *๖.อนาคตตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในกาลข้างหน้าได้ *๗.ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ บุคคล เทวดา และพรหมได้ว่ากรรมอันใดส่งผลมา เขามีสุขมีทุกข์เพราะผลกรรมอะไรเป็นเหตุ

การรับรู้ทางจิตที่ใช้จิตล้วนๆ จะมีความแม่นยำขนาดไหน จึงต้องการความคมชัด ความกระจ่างของจิตอย่างเที่ยงตรงด้วย หากไม่ตั้งสติให้ดี จิตมีความขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์หรืออคติเสียแล้วแม้แต่เล็กน้อย ภาพที่เห็น-สิ่งที่คิด อาจเป็นไปด้วยอคติที่หวั่นไหวไปตามอุปาทานนั้น

โลกียฌานหรือโลกียอภิญญานั้นเสื่อมง่าย ดีไม่ดี พวกมีฤทธิ์ทางจิต ถ้าจิตไม่นิ่งและบริสุทธิ์พอ ขาดสติปัญญาในการพิจารณา อาจแพ้คนธรรมดาทั่วไปที่มีแค่เหตุและผลมากกว่าก็เป็นได้




หลวงปู่ดู่เทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุงผู้ได้มโนมยิทธิ
คัดลอกเทปที่หลวงปู่ดู่ที่ท่านเคยเทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุงที่ได้มโนมยิทธิ ซึ่งได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ดู่ ตามคำสั่งหลวงพ่อฤาษีฯ ถอดจากเทปที่บันทึกไว้กลางปี 2530 - โดยคุณ wisdom
________________


หลวงปู่.....เอ้า คณะนี้มาจากไหน (แล้วหลวงปู่ท่านก็เงียบ) อ๋อเด็กฝาก

คณะมโนมยิทธิ.....หลวงพ่อ(ฤาษี) ท่านให้มากราบเจ้าค่ะ หลวงปู่รู้จักไหมเจ้าคะ

หลวงปู่ดู่.....รู้จัก

คณะมโนมิยทธิ.....หลวงปู่เจ้าคะดิฉันฝึกมโนขึ้นไปกราบพระข้างบนดีไหมเจ้าคะ

หลวงปู่ดู่.....การไปกราบพระ พบพระนั้นเป็นของดี ให้หมั่นรักษาองค์พระ(ภาพพระ)เข้าไว้ พระท่านจะสอน ท่านจะบอกวิธีการปฏิบัติ เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติตามด้วยความตั้งใจ เคร่งครัด แต่ถ้าพบพระแล้ว ท่านสอนแล้วไ ม่นำมาประพฤติปฏิบัติ หรือปฏิบัติจนพบพระแล้วไม่สามารถทำให้อารมณ์ชั่วทั้ง ๓ คือ โลภ โกรธ หลง มันเบาบางลง อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ ถือว่าปฏิบัติผิดทาง คนที่มัวแต่เอาสิ่งที่ตนเองได้ (ญาณ) ไปดูนั้นดูนี่ ทำนายทายทัก ไม่นานอุปทานก็เข้าแทนที่ ทีนี้แทนที่มันจะไปสุคติภูมิ มันก็ไปอบายภูมิแทน เหตุจากการแอบอ้าง คำสอนของพระ เพราะอารมณ์อุปาทานนั้นเอง จงระวังไว้ ท่านมหาวีระ ท่านมีบารมีสูง มีข้างบนเป็นกำลังหนุน เป็นอาจารย์ใหญ่สอนคนได้จำนวนมาก ข้าขอโมทนา พวกแกเกิดมาพบพระอรหันต์ที่มีบารมีสูง อย่าให้เสียทีที่ได้พบ เอาสิ่งที่ตนปฏิบัติบัติได้(ญาณ)มาอบรมตนเอง อย่าเที่ยวไปทำนายทายทักชาวบ้าน ข้ออันนั้นเห็นจะไม่ใช่จุดประสงค์ แม้ลูกศิษย์ อยู่ใกล้ข้าแท้ๆ ยังเฝือได้ แล้วถ้าพวกแกยังประมาท ระวังนรกจะกินหัวเอา....

คณะมโนมยิทธิ.....เราจะรู้ได้ยังไงเจ้าคะ ว่าเวลาเราขึ้นไปกราบนั้น เราเห็นจริงๆ

หลวงปู่.....แกลองใช้อารมณ์นั้น(ญาณ) ตรวจสิ่งที่มองไม่เห็น แต่สิ่งนั้นยังมีอยู่ซิ เช่น แกลองตรวจดูว่าในกระเป๋าของเพื่อนที่มาด้วยกันมีเงินอยู่เท่าไหร่ ถ้าแกตอบถูก อารมณ์ที่แกขึ้นไปกราบพระ แกก็เห็นจริง แต่ถ้าแกตอบไม่ถูก พระที่แกเห็นก็ไม่จริง...

คณะมโนมยิทธิ.....เราถามเทวดาเลยได้ไหมเจ้าค่ะ

หลวงปู่.....เอ้า เงินในกระเป๋านี้มันเป็นของหยาบ แกยังมองไม่เห็นเลย นับประสาอะไรกับเทวดา แกจะไปมองเห็นล่ะ กายเทวดาละเอียดกว่ากันเยอะ

คณะมโนมยิทธิ.....ต้องตรวจอารมณ์เช่นนี้ก่อนใช่ไหมค่ะ

หลวงปู่ดู่.....ใช่ ข้าก็ให้ลูกศิษย์ตรวจอารมณ์อย่างนี้ก่อนแล้วค่อยขึ้นไปกราบพระ ถ้าตรวจแล้วไม่ตรงก็ต้องหัดวางอารมณ์ใหม่ ไม่นานก็ตรง คราวต่อไป ไม่ต้องกำหนด เขาจะรู้เลยว่าอะไรซ่อนอยู่ตรงไหน .....(หลวงปู่เงียบสักพัก) (แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า) พระมหาวีระยังสอนให้แกหัดทำเวลาตอนเช้ามืด ให้ลองตรวจว่า เช้าวันนี้จะมีใครมาหาไหม เขาจะมาทำอะไร ใส่เสื้อสีอะไร ใช่ไหมล่ะ

คณะมโนมยิทธิ.....หลวงปู่รู้ได้ยังไงเจ้าคะ

หลวงปู่ดู่.....ก็พระมหาวีระบอกข้า อยู่ข้างๆนี่แหละ บอกว่า..พวกแกมันลิงทะโมน ต้องจับไปมัด เฆี่ยนแล้วสอน (เสียงหลวงปู่หัวเราะ แล้วพูดว่า) ต่อไปให้รีบตั้งใจปฏิบัติ อย่าสนใจคนอื่น สนใจจิตตัวเองให้มากๆ รักษาจิตตนเองให้ดี รักษาองค์พระ(ภาพพระ)ไว้อย่าให้หาย ชำระใจให้ปราศจากความโลภ โกรธ หลง มันก็ถึงเองแหละนิพพาน ไม่ใช่ปากก็บอกจะไปนิพพาน แต่ไม่ชำระโลภ โกรธ หลงให้ขาดไป อธิษฐานยังไงมันก็ไม่ถึงนะแก นิพพานเข้าไม่ได้ด้วยการอธิษฐาน แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติ ซึ่งจุดสำคัญคือการละอารมณ์ โลภ โกรธ หลง ละได้เมื่อไหร่ถึงทันที ละไม่ได้มันจะถึงแค่หัวตะพาน....

คณะมโนมยิทธิ.....สาธุเจ้าค่ะ หลวงปู่

หลวงปู่ดู่.....ให้พร.............................................




Create Date : 19 เมษายน 2550
Last Update : 21 เมษายน 2550 9:04:37 น. 0 comments
Counter : 1637 Pageviews.
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.