โอวาทพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ระหว่างที่ท่านอาพาธ
โอวาทท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตระหว่างที่ท่านพระอาจารย์อาพาธ ถอดความมาจาก... เสียงอ่านชีวประวัติพระครูสุทธิธรรมรังสี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)//www.fungdham.com/sound/popup-sou ... jie01.html ท่านพระอาจารย์มั่นป่วยเป็นไข้มาลาเรียในคราวนั้นเราเป็นพระคิลานุปัฏฐากประจำ ท่านพระอาจารย์มั่นไม่ฉันข้าว ๓ วันหนานแดงจึงนิมนต์ท่านไปพักรักษาที่โรงพยาบาลแมคคอมิกส์ในการป่วยครั้งนั้น หมอไม่รับรองในอาการของท่านหมอได้พูดกับ ท่านเจ้าคุณพระราชกวี (ภายหลังดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ - พิมพ์) ว่าการป่วยของพระอาจารย์มั่นครั้งนี้อาจจะไม่รอด เมื่อท่านเจ้าคุณเข้ามาหา ท่านพระอาจารย์มั่นจึงถามว่า หมอว่าอย่างไรท่านเจ้าคุณกราบเรียนว่า การป่วยครั้งนี้ท่านอาจารย์จะไม่รอด อาการหนักมากท่านพระอาจารย์มั่นจึงพูดขึ้นว่า การป่วยครั้งนี้ยังไงก็ยังไม่ตายโดยที่สุดแล้วท่านพระอาจาย์มั่นจึงใช้ธรรมโอสถรักษาท่านพระอาจารย์มั่นพูดว่า เราพยายามรักษาด้วยยามาก็นานแล้ว จะพยายามรักษาด้วยยาธรรมดาต่อไปคงไร้ผลเราควรลองระงับด้วยธรรมโอสถดูบ้าง ถ้าไม่หายก็ให้มันตายครูบาอาจารย์ท่านจึงเจริญกายคตาสติกรรมฐาน เป็นอนุโลมและปฏิโลมเพ่งแผดเผาภายในอยู่เพื่อเป็นวิหารธรรมทั้งกลางวันกลางคืนไม่นานอาพาธก็สงบ จึงปรากฏบาทคาถาขึ้นว่า ฌายี ตปติ อาทิจโจ พิจารณาได้ความว่า ฌานแผดเผาเหมือนดวงอาทิตย์ฉะนั้นในที่สุดอาการของท่านจึงทุเลาลงระหว่างนั้นเป็นสงครามอินโดจีน มีการพรางไฟไปทั่วทั้งจังหวัดในระหว่างที่พระอาจารย์มั่นออกจากโรงพยาบาลไปพักที่ป่าเปอะเราได้แยกเดินทางกลับไปยังวัดร้างป่าแดง บ้านแม่กลอยเพื่อกราบเรียนอาการอาพาธของพระอาจารย์มั่น ให้ พระอาจารย์พรหม ทราบในสมัยนั้นท่านพระอาจารย์พรหมเป็นหัวหน้าสำนักแม่กลอยในตอนกลางคืน พระอาจารย์พรหมจึงประชุมพระเณร ถามในท่ามกลางสงฆ์ว่า ท่านรูปใดจะอาสาไปปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่น เราจึงยกมือขึ้นว่า กระผมจะเป็นผู้อาสาปฏิบัติครูอาจารย์และได้ชักชวนครูบาทองปาน ผู้เป็นสหธรรมิก เราทั้งสองจึงได้เดินเข้ามาที่เชียงใหม่ เข้าไปพักที่วัดเจดีย์หลวง หนานแดงกับหนานพรมเอารถมารับให้ไปพักที่ป่าเปอะ เพื่อไปปฏิบัติพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระอาจารย์มั่นพักฟื้นอยู่เมื่อมาพักได้สัปดาห์กว่าๆ โยมเขียวซึ่งเป็นอุปัฏฐากเก่าแก่ของพระอาจารย์มั่นเอาปัจจัยมาถวาย ๑ บาท พอตกกลางคืนเราก็เข้าไปถวายการรับใช้ท่าน เข้าไปกำปลายเท้า กราบเรียนถวายท่านว่า ขอโอกาสครูบาอาจารย์...จะสมควรหรือไม่ถ้าพรุ่งนี้จะนำปัจจัยที่โยมเขียวถวายมา ๑ บาทไปแลกเปลี่ยนเป็นนม ให้ครูบาอาจารย์ฉันตอนเช้าจะได้มีกำลัง แล้วแต่ครูบาอาจารย์จะพิจารณา กราบเรียนแล้วก็นั่งฟังอยู่ในสมัยนั้นมีแต่นมข้นหวานตรามะลิ ราคากระป๋องละ ๕ สตางค์เท่านั้น ท่านนิ่งไม่ตอบว่ากระไร ท่านคงพิจารณาไม่ว่าการใดก็ตาม ก็ต้องประกอบไปด้วยธรรมเท่านั้น ท่านไม่เห็นแก่ปากแก่ท้องยิ่งไปกว่าธรรม เรื่องเล็กน้อยไปถึงเรื่องใหญ่ต้องประกอบไปด้วยธรรมเท่านั้น ท่านบอกว่า เราเป็นสมณะมาประพฤติธรรม ทุกกิริยาอาการเยื้องย่างบางอย่าง โลกไม่นิยมชมชื่นแต่ถ้าประมวลลงแล้วว่าเป็นธรรม เราก็ต้องดำเนินตามนั้น ธรรมแท้ไม่ได้เอามติที่ประชุมเห็นชอบ แต่เอาใจที่บริสุทธิ์เห็นธรรม คนหมู่มากถ้ากิเลสหนาปัญญาหยาบมีมากเท่าใดก็จะออกกฎอันเป็นไปเพื่อกิเลสพวกพ้องตน ฉะนั้น เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ ปลอดภัยกว่าการเอาตนเป็นใหญ่ ปลอดภัยกว่าการเอาคนหมู่มากเป็นใหญ่ ฯลฯอยู่ปฏิบัติท่านด้วยความเคารพเลื่อมใส แม้ในขณะที่ท่านอาพาธอยู่นั้นสิ่งที่ท่านแสดงออกมีแต่ธรรมะล้วนๆ อันเป็นเครื่องสอนเราผู้ไม่ป่วย ประหนึ่งจะเป็นเครื่องเตือนเราอยู่เสมอว่า โรค ได้แก่ สิ่งที่เสียดแทงความผาสุข แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ โรคทางกายและโรคทางใจสัตว์ทั้งหลายที่ยืนยันว่าตัวเองมีสุขภาพดี ไม่ป่วยไข้ ไม่มีโรคทางกายตลอด ๑ ปี ๒ ปี ถึง ๑๐๐ ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นความปลอดภัยจากโรคทางกายนี้พอที่อาจจะมีได้บ้างแต่สัตว์และมนุษย์ทั้งหลายที่จะยืนยันว่าไม่มีโรคทางใจ ไม่มีกิเลสแม้สักระยะครู่หนึ่งนิดเดียวจะไม่สามารถหาได้และมีได้ในโลกนี้ เว้นแต่เพียงพระพุทธเจ้า พระขีณาสพ พระอรหันต์เท่านั้นจึงจะเว้นโทษ คือ โรคทางใจได้ยิ่งพวกเราเป็นบรรพชิตด้วยแล้ว มีโรคอยู่ ๔ อย่างแทรกซ้อนชอนไชเข้าไปสู่หัวใจพระเณรโดยไม่รู้ตัว(๑) โรคมักมาก เป็นพระมักมากมูมมาม อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเดือดร้อน กระวนกระวายใจ ไม่รู้จักพอด้วยผ้านุ่งผ้าห่ม อาหารการกิน ที่อยู่ที่อาศัย และยารักษาโรคเที่ยวแสวงหาแต่สิ่งเหล่านี้ ไม่รู้จักลดละปล่อยวางไปที่ไหนก็แบกหามสิ่งเหล่านี้ไปด้วยไม่เป็นสมณะที่เบาสบาย เบากายเบาจิต(๒) เมื่อเกิดโรคมักมากแล้ว โรคลามกจกเปรตก็ตามๆ กันมาเหมือนนัดกันไว้ที่ความเลวทราม ต่ำช้า ทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะให้คนมานับถือ เพื่อจะได้ลาภสักการะ มาปรนเปรอความหิวโหยของใจที่ไร้ศีลธรรม(๓) เมื่อจิตใจมันสกปรกลามกเข้าเต็มเปาแล้วย่อมพยายามวิ่งเต้นขวนขวายเพื่อได้มาซึ่งความนับถือ ลาภสักการะ และการสรรเสริญ อย่างไร้ยางอาย หน้าด้านต่อศีลต่อธรรม(๔) พระที่เป็นอย่างนี้มักเข้าไปสู่สกุลที่ร่ำรวย ทำทุกอย่าง ทุกวิถีทางเพื่อให้เขามานับถือมักจะกล่าวธรรมะปลอมๆ อันไพเราะเพราะพริ้งเป็นฉากหน้าซ่อนเร้นความละโมบโลภมากไว้ในเบื้องหลังแสดงตนเป็นประดุจไม่มีความโลภ ทั้งๆ ที่มีความโลภจัด มีขันติ อดทนอดกลั้น เพื่อให้เขามานับถือโรคทั้ง ๔ อย่างที่ผมกล่าวมานี้แหล่ะ ให้พวกท่านระวัง มันร้ายกว่าโรคที่ผมป่วยอยู่เสียอีก ขอให้พวกท่านจงนำไปพิจารณา อย่าป่วยอย่าไข้เฉยๆ โดยไม่เห็นคุณเห็นโทษไม่งั้นจะแก้ไม่ได้ ใช้งานไม่ทัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน พระครูสุทธิธรรมรังสี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท) ดูกระทู้ที่ธรรมจักร //www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=38185Free TextEditor