วิธีล้างบาปของพระพุทธเจ้าคัดลอกจากหนังสือเรื่อง
วิธีการของพระพุทธเจ้า (หัวข้อ วิธีล้างบาปของพระพุทธเจ้า)
นิพนธ์ในเจ้าพระคุณสมเด็จญาณสังวร (สุวฑฺฒนมหาเถระ) พิมพ์น้อมถวายเป็นวิทยาทานโดยมหามงกุฏราชวิทยาลัย
ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ หน้า ๘๐-๘๑
สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ
คราวนั้นอยู่ในฤดูหนาวจัดราว ๘ วัน (ราวกลางเดือน ๓ ตามที่นับอย่างไทย)
มีหิมะตกมาก เวลากลางคืนก็ยิ่งหนาวจัด
พวก
ชฎิล (นักบวชที่เกล้าผมเป็นกระเซิง ซึ่งกลายมาเป็นแบบชฎา) เป็นอันมาก
พากันลงไปในแม่น้ำคยา ดำผุดโผล่ สระสนานเกล้าหรือรดให้เปียก บูชาไฟบ้างก็มี
ด้วยคิดว่า สุทธิ คือ ความบริสุทธิ์มีได้ด้วยการวิธีปฏิบัตินี้
พระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการปฏิบัติของพวกชฎิลเหล่านั้น
ได้ทรงอุทานขึ้นในเวลานั้น ความว่า
ความดี บริสุทธิ์สะอาดมีได้เพราะน้ำหามิได้เพราะชนก็อาบน้ำกันมาก
สัจจะและธัมมะมีในผู้ใด ผู้นั้นเป็นคนสะอาด เป็นพราหมณ์ คือ คนดีพระพุทธอุทานนี้ แสดงว่า
พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับรองการล้างบาปดังที่เชื่อถือกันในพวกชฎิลเพราะคนก็อาบน้ำกันทั้งนั้นก็จะพากันสะอาด บริสุทธิ์ด้วยกันทุกคน
เมื่อนึกดูออกไปอีก สัตว์ที่อยู่ประจำในน้ำ เช่น ปู ปลา ก็จะยิ่งบริสุทธิ์สะอาดกว่าคน
แต่ทรงรับรองความดีบริสุทธิ์สะอาดว่า
อาจมีได้ด้วยการอบรมให้มี สัจจะและธัมมะ ขึ้นในตน
ฉะนั้น เมื่อต้องการความดีบริสุทธิ์สะอาดก็ไม่จำเป็นต้องไปดำผุดดำว่ายในน้ำ
หรือประกอบพิธีกรรมอย่างอื่นเพื่อจะล้างบาป
ให้มีสัจจะ ความจริงและธัมมะ คือ คุณงามความดีอยู่เท่านั้น
ก็จะเป็นคนดี บริสุทธิ์ สะอาดลัทธิล้างบาปต่างๆ หรือลัทธิอุทกสุทธิอย่างชฎิลเป็นสิ่งไร้เหตุผลสิ้นเชิง
จะได้ก็แต่เพียงทำความสะอาดร่างกายเท่านั้น
ส่วนการปฏิบัติให้มีสัจจะและธัมมะเพื่อความบริสุทธิ์สะอาดเป็นการสมเหตุสมผล
ลองคิดดูถึงคนที่ได้ชื่อว่า เป็นคนดี บริสุทธิ์สะอาดทุกคน
จะได้พบว่าเขามีสัจจะและธัมมะตามฐานานุรูปด้วยกันทุกคนแม้พวกชฎิลที่พระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็น
หรือผู้ที่นัีบถือลัทธิวิธีล้างบาปต่างๆ จะได้ชื่อว่าเป็นคนดี บริสุทธิ์สะอาด
ก็เพราะมีสัจจะและธัมมะต่างหากถ้าไร้สัจจะและะัธัมมะเสียแล้วก็จะกลายเป็นคนชั่วเลวทรามคิดคดทรยศได้ต่อทุกๆ คน แม้ต่อศาสดาผู้มีพระคุณของตน
จะประกอบกรรมพิธีล้างบาปสักเท่าไรก็ไม่สำเร็จ
และพวกเดียวกันนั่นแหล่ะเป็นผู้บอกเลิก
ถ้าล้างบาปได้จริงแล้ว
ก็จะต้องล้างบาปของคนไร้สัจจะและํธัมมะดังกล่าวได้
โดยไม่ต้องยกเว้นเลย