สร้างหัวหน้างานให้มี ศักยภาพที่สมดุลย์
คนที่มีลุกน้องเป็นหัวหน้างานอีกที หรือ เจ้าของกิจการที่มีลูกน้องเป็นหัวหน้างาน หรือ ผู้บริหารระดับสูงที่มีลูกน้องเป็นผู้บริหารระดับกลาง มักจะมีมุมมองทางด้านการบริหารแตกต่างจาก มุมมองของผู้บริหารระดับกลาง หรือ ผู้บริหารระดับต้น ดังนั้น แนวความคิดของผู้บริหารระดับสูง กับ แนวความคิดของผู้บริหารที่ระดับต่ำลงมาย่อมมีแนวความคิดและมุมมองการจัดการที่แตกต่างกันไป...
ผู้บริหารระดับสูงที่ขึ้นมาจากสายของพระเดช ย่อมอยากให้ลูกน้องนั้นมีพระเดช ดังนั้น ลูกน้องที่มีพระเดชย่อมจะเข้าสายตามากกว่าลูกน้องที่เป็นสายพระคุณ... กลับกัน หากผู้บริหารระดับสูงขึ้นมาจากสายของพระคุณ ย่อมยกย่องการจัดการ และ การบริหารของลูกน้องที่อยู่ในสายพระคุณ ลูกน้องที่ใช้แต่พระเดชก็จะถูกลดค่าในสายตาของผู้บริหารระดับสูงกลุ่มนี้เช่นกัน แต่ผู้บริหารที่เป็นทางสายกลางที่ขึ้นมาแบบใช้ทั้งพระเดชและพระคุณในแต่ละสถานการณ์ จะมองเห็นจุดอ่อนของคนที่เอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่งและจะเข้าใจว่า พวกเขามีแนวทางการบริหารในแนวทางไหน
ศักยภาพที่สมดุลย์ของผู้บริหารอยู่ที่จุดไหน ขึ้นกับมุมมองของผู้บริหารระดับสูงที่ประเมิน ซึ่งผุ้บริหารที่ต่างสายกัน ย่อมมองคนละมุม ถ้าอยากจะฝึกให้เขาอยู่ทางใด ง่ายนิดเดียว ก็ทำกับเขาในลักษณะทางที่คุณต้องการให้เขาเป็น ต้องสั่งหรือบอกให้เขาทำตามอย่างที่คุณทำ แนะนำในสิ่งที่คุณอยากให้เขาทำกับลูกน้องของเขาครับ ทำเช่นนี้หลายๆครั้ง แรกๆเขาอาจจะไม่ชอบขี้หน้าคุณเลยก็ได้ เพราะว่าแนวทางของคุณกับของเขาอาจจะอยู่กันคนละขั้ว แต่เมื่อคุณสั่งหรือบอกให้เขาทำเช่นนี้บ่อยๆ ประเมินศักยภาพของเขาตามที่คุณต้องการ ไม่นานเกินรอ เขาจะเกิดความคุ้นเคย และจะทำอย่างที่คุณสอนครับ... ถ้าเขาไม่เบื่อคุณและไม่ลาออกไปเสียก่อน...
ผู้ฝึกนักบริหารที่แท้จริงที่ทำให้นักบริหารรุ่นใหม่ประสบความสำเร็จ จะสร้างศักยภาพที่สมดุลย์ของผู้บริหาร ให้กับลูกน้องเสมอ ซึ่งจริงๆแล้ว การสร้างศักยภาพที่สมดุลย์ ก็คือสอนให้เขาสามารถใช้พระเดชและพระคุณได้ตามสถานการณ์ ตามเหตุการณ์ทีเกิดขึ้น อย่างเหมาะสม ซึ่งจะต้องแบ่งเหตุการณ์ต่างๆออกมาเป็น 3 แบบ คือ เหตุการณ์ที่ต้องใช้พระเดช เหตุการณ์ที่ต้องใช้พระคุณ และ เหตุการณ์ที่สามารถใช้ได้ทั้งพระเดชและพระคุณ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของเหตุการณ์ได้ดังนี้
เหตุการณ์ที่ต้องใช้พระเดช หากองค์กรเกิดปัญหาที่รุนแรงตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป ส่วนใหญ่แล้ว ต้องใช้พระเดชเข้าควบคุม อย่างเช่น พนักงานขาย ไม่ไปเยี่ยมลูกค้ารายใหญ่จนลูกค้าร้องเรียนกลับมา หรือ ส่งแบบสอบถามความพึงพอใจกลับมาแล้วผลเป็นไปในทางลบ สิ่งเหล่านี้จะทำให้องค์กรอาจจะถึงขั้นสูญเสียลูกค้า สูญเสียรายได้ เพราะความบกพร่องของลูกน้อง ในเหตุการณ์เช่นนี้ ต้องใช้พระเดชกำกับกับคำสั่งที่เด็ดขาด การเข้าไปเยี่ยมลูกค้าพร้อมกับพนักงานขาย เพื่อดูพฤติกรรมของพนักงานขาย แล้วให้เขาได้เข้าไปดูแลลูกค้าเขาเอง และคาดโทษ หรือถึงขั้น หักค่าคอมฯ หักเงินเดือน หากไม่สามารถทำให้ลูกค้าพึงพอใจได้ ลักษณะนี้เป็นการบังคับให้พนักงานขายได้เข้าเยี่ยมลูกค้า และ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าโดยใช้พระเดชเป็นตัวนำ เป็นต้น
เหตุการณ์ที่ต้องใช้พระคุณ หากองค์กรกำลังเกิดปัญหาทางด้านบุคคล ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาระดับปานกลางลงไป หรือ ปัญหาเกี่ยวกับคน ปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาเหล่านี้ต้องใช้พระคุณเพื่อทำให้ความร้อนแรงของปัญหาลดน้อยลง หรือ เบาบางลง อย่างเช่น เกิดการประท้วงของพนักงานอันเนื่องจากน้ำมันขึ้นราคา ลักษณะนี้หากใช้พระเดชสั่งงานให้พวกเขาเข้าทำงาน มันไม่ได้ตอบสนองความต้องการของคน แต่กลับสร้างความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น แต่หากใช้พระคุณเป็นตัวนำ เอาหัวหน้างานที่พวกเขาเคารพเข้าไปไกล่เกลี่ย ทำความเข้าใจ เลี้ยงน้ำพวกเขา และ ให้พวกเขาได้แสดงความคิดเห็น พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาให้พวกเขาอย่างจริงจังตามความสามารถ ซึ่งจะทำให้เหตุการณ์หรือปัญหาต่างๆ เบาลง นี่เป็นการใช้พระคุณของนักบริหารเป็นตัวแก้ไขปัญหา...
นอกเหนือจากเหตุการณ์ทั้งสองแล้ว มันก็ขึ้นกับสถานการณ์ว่า จะใช้พระเดชหรือพระคุณ ก็ต้องขึ้นกับความถนัดของผู้บริหารแต่ละคน ซึ่งในเหตุการณ์ปกติ ฝ่ายพระเดช จะพยายามวางตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับลูกน้อง ภาพลักษณ์ที่ออกมาคือ ไม่ว่าเดินไปยังทิศทางใด ก็มีแต่ลูกน้องก้มหน้า เดินย่อตัวผ่าน ทำให้ผู้บริหารฝ่ายนี้ดูเหมือนมีอำนาจเบ็ดเสร็จ เหมือน เสนาธิการทหารตรวจแถวยังไงอย่างนั้น... แต่ในฝ่ายพระคุณ ซึ่งเวลาปกติจะวางตัวเหมือนพี่ เหมือนน้อง มีอะไรมาปรึกษากันได้ ไปไหนไปกัน ลุยไหนลุยกัน แต่ก็เว้นระยะห่างระหว่างกันพอสมควร มีการคุยเล่นหยอกล้อกลับมายังผู้บริหารกลุ่มนี้เสมอๆ บางทีเวลาคุยกันอาจจะพูดคุยแบบ มึงๆ กูๆ กันเลยก็มี... ถามว่าทั้งสองฝ่ายนี้ผิดหรือไม่ ในความคิดของผมพวกเขาไม่ผิดทั้งคู่ มันขึ้นอยู่กับว่า พวกเขาชอบเป็นผู้บริหารแบบไหนมากกว่า... ดังนั้น เหตุการณ์ทั่วไป ความเป็นเนื้อแท้ของผู้บริหารแบบใด จะฉายแววออกมาอย่างเห็นได้ชัด
งานบริหารเป็นศิลป์ และ ศาสตร์ ต้องใช้ให้เป็น และ ใช้ให้ถูกถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด... อย่าทำร้ายนักบริหารใหม่ ด้วยการพยายามทำให้เขาสุดโต่งไปในทางใดครับ เพราะว่า องค์กรที่มีแต่ผู้บริหารสุดโต่งเพียงกลุ่มเดียว จะทำให้องค์กรไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกล ขอให้พิจารณาให้มากกับการฝึกผู้บริหารใหม่นะครับ...
Create Date : 27 ตุลาคม 2548 |
|
4 comments |
Last Update : 27 ตุลาคม 2548 20:46:45 น. |
Counter : 2370 Pageviews. |
|
|
|
อย่าลืมไปเยี่ยม blog นะคะ update ข่าวดีอ่ะค่ะ ขอขอบคุณอีกที