Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
30 เมษายน 2554
 
All Blogs
 

องค์ที่ ๓: บังเอิญ

องค์ที่ ๓: บังเอิญ
     ณ เคาเตอร์พยาบาลประจำชั้นผู้ป่วยในของ ร.พ.จัสมินฯ (สาขาทักษิณ) หมอคมสันกำลังสนทนาผ่านทางสายโทรศัพท์ภายในด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากที่เขาจบบทสนทนากับท่านผู้อำนวยการหมอหนุ่มจึงหันไปสั่งงานหัวหน้าพยาบาลรูปร่างเจ้าเนื้อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
     “คุณดรุณีครับ พรุ่งนี้ประมาณ 9.00 น. จะมีเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติมารับตัวคนไข้ห้อง 522 คุณช่วยอำนวยความสะดวกให้เขาด้วยนะครับ”
     หัวหน้าพยาบาลสาวแก่วางมือจากงานที่ค้างอยู่และเงยหน้าขึ้นมารับคำ
     “ค่ะคุณหมอทำใบเบิกค่ารักษาพยาบาลให้เขาด้วยหรือเปล่าคะ”
     “ไม่ต้องครับ รายนี้เรารับผิดชอบเองทั้งหมดส่งเอกสารที่ว่าไปที่ฝ่ายบัญชีด้วยละกัน ขอบคุณครับ”
     หมอคมสันผละจากเคาเตอร์พยาบาลเดินไปที่ลิฟต์เพื่อเตรียมตัวออกเวร ทันทีที่เขาสลัดความคิดเรื่องงานออกจากสมองได้หมอหนุ่มก็คิดถึงนางในดวงใจของเขาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เขารู้เรื่องที่เธอกำลังจะเดินทางมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้ ความดีใจที่จะได้พบกับหญิงสาวที่ตนรักทำให้หมอคมสันลืมถอดเสื้อกราวด์แขวนไว้ในห้องพักเหมือนเช่นทุกวันเขาถือกระเป๋าเอกสารเดินใจลอยกระหยิ่มยิ้มย่องออกจากห้องไปยังลานจอดรถทั้งอย่างนั้นโดยเฝ้าบอกกับตัวเองในใจไปตลอดทางว่า “คอยดูนะคราวนี้ต้องหาโอกาสทำให้มะลิรับรักเราให้ได้”
     ขณะเดียวกันภายในห้องผู้ป่วยพิเศษเบอร์522 ร่างของคนไข้ในความดูแลของหมอหนุ่มนอนจมอยู่ในที่นอนหนานุ่มบนเตียงพยาบาล แผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขากำลังหลับสนิทจวบจนกระทั่งเสียงจากเครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจที่ดังเป็นจังหวะช้าๆในนาทีก่อนหน้านี้เริ่มส่งเสียงถี่กระชั้นสอดคล้องกับจังหวะการกระเพื่อมขึ้นลงที่ถี่ขึ้นของทรวงอก ตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัดเครื่องวัดความดันโลหิตค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นบ่งบอกว่าสภาวะการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงหัวใจมีสภาพเหมือนนักกรีฑาวิ่งระยะสั้นด้วยความเร็วอย่างเต็มกำลัง ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนชายหนุ่มสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมาเองอย่างกะทันหัน จอร์จนอนนิ่งทบทวนความจำเงียบๆอยู่ในความมืดอากาศเย็นฉ่ำภายในห้องช่วยทำให้เขาสงบสติอารมณ์ได้เร็วขึ้น ความเจ็บแปลบที่บาดแผลกระตุ้นให้เขาหวนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ในความฝันที่แสนเศร้านั้นอีกครั้งอย่างละเอียด
     ในความฝันตอนที่เขาถูกยิงจนหมดสติล้มลงเขาจำความรู้สึกที่หัวกระสุนวิ่งผ่านหน้าอกข้างซ้ายทะลุออกด้านหลังได้เป็นอย่างดี แต่ทำไมเวลานี้เขากลับมีบาดแผลจางๆที่หน้าอกข้างขวาเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจ เขาถามตนเองว่าเหตุการณ์ในช่วงเวลาใดกันแน่ที่เป็นโลกแห่งความจริงเพราะมันก้ำกึ่งกันมากจนแยกไม่ออกและตัวตนในความฝันหรือตัวตนของเขา ณ. ขณะนี้ ใครกันแน่ที่เป็นตัวจริง ความรู้สึกสับสนก่อตัวเป็นว้าวุ่นในจิตใจแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในความรู้สึกของเขามาก มันคือความโศกเศร้าอย่างแสนสาหัสที่ตราตรึงอยู่หัวใจของเขาทั้งสองช่วงเวลาซึ่งมันต้องเป็นผลมาจากการสูญเสียผู้หญิงที่ชื่อมะลิคนนั้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย ม่านหมอกสีจางๆเริ่มก่อตัวมาปกคลุมม่านตาของเขาทีละนิดๆ และมันก็ค่อยๆกลั่นตัวออกมาเป็นหยดน้ำใสใสล้นออกมาจากทำนบที่หางตา ภาพต่างๆในห้องเริ่มพร่าเลือนอีกครั้ง สัมผัสจากหมอนอันใหญ่และหนานุ่มให้ความรู้สึกที่สบายเป็นสัมผัสสุดท้ายที่เขารับรู้ได้ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะเลือนหายไปทีละนิดๆและดิ่งวูบลงสู่ภวังค์แห่งนิทรารมย์โดยไม่ทันได้ตั้งตัว
     ในห้วงแห่งความฝันที่สติบางเบาและยากที่จะบ่งชัดได้ว่ามันใช่หรือมิใช่ความจริง ชายหนุ่มลอยไปตามกระแสลมเหมือนขนนกที่ถูกพัดพาไปเรื่อยๆ...เขารู้สึกตัวว่าตนตื่นขึ้นมาในห้องพักของผู้ป่วยแห่งหนึ่งบนที่นอนหนานุ่มสีขาวสะอาดตามีเตียงพยาบาลเหมือนๆกันจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ติดกันเป็นแถวริมกำแพงทั้งสองด้าน แสงแดดอันอบอุ่นแทงทะลุผ้าม่านสีหม่นเข้ามาจากทางหน้าต่างที่มีอยู่มากมายตามหัวเตียงทั้งสองฟาก ชายหนุ่มกระพริบตาพยายามปรับประสาทการรับภาพอีกครั้งเพื่อที่จะมองสำรวจไปทั่วๆ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งจึงได้เห็นว่าบนเตียงเหล่านั้นมีร่างของคนเจ็บนอนอยู่ประจำทุกๆเตียง ความรู้สึกเจ็บแปลบที่อกซ้ายช่วยกระตุ้นสติของเขาให้ตื่นตัวได้โดยไม่ต้องร้องขอ เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่เกิดจาการสนทนาระหว่างนางพยาบาลกับคนไข้ที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไปสร้างบรรยากาศที่วุ่นวายสับสนจนเขาไม่ทันสังเกตหมอทหารคนหนึ่งซึ่งกำลังถือแฟ้มเอกสารเดินตรงเข้ามาที่เขา
     “สวัสดีครับ ผมชื่อ ด.ร.ทอมสัน เป็นหมอประจำสถานทูตแห่งนี้ คุณสบายดีไหมครับ”
     หมอหนุ่มผมสีทองเอ่ยคำทักทายจอร์จด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน เขาเงยหน้าสบตาและกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะตอบคำกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า
     “ก็ดีครับ แต่รู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่นี่นิดหน่อย”
     ชายหนุ่มเอามือแตะที่ปากแผลบนอกข้างซ้าย เมื่อเขาตั้งสติได้หัวใจจึงสั่งให้เขาถามคำถามที่ตนรู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน
     “คุณหมอครับ ใครเป็นคนช่วยผม เขาเจอร่างของผู้หญิงผมยาวที่อยู่กับผมด้วยไหมครับ”
     สีหน้าของหมอหนุ่มปราศจากความรู้สึกใดๆ เขาส่ายหน้าและตอบคำถามจอร์จด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเห็นใจ
     “คุณถูกทหารที่เข้าไปช่วยคนในค่ายพาขึ้นมาจากแม่น้ำ พวกนั้นส่งคุณมาเพียงลำพัง”
     หมอทอมสันเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังดับแสงลงจนหมองเศร้ารู้สึกสงสารแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ดีไปกว่านี้จึงคิดเบี่ยงเบนความสนใจของเขาจึงพูดขึ้นว่า
     “เราจะส่งคุณกลับไปรักษาตัวที่มาตุภูมิในอีกสองวันหลังจากนี้ ผมหวังว่าการได้กลับบ้านจะช่วยทำให้คุณรู้สึกดีกว่าที่เป็นอยู่นี้นะครับ”
     ในสมองของจอร์จเขาตระหนักดีแก่ใจว่ามาตุภูมิที่หมอหนุ่มพูดถึงไม่เคยมีบ้านให้เขากลับไปอย่างแท้จริงแต่เขาก็ไม่ปรารถนาที่จะอยู่รอวันตาย ณ ดินแดนแห่งนี้อีกต่อไปในเมื่อเขาได้สูญเสียเรือนใจไปตลอดกาลแล้ว การเดินทางไปยังสถานที่อื่นอาจจะดีสำหรับหัวใจกลัดหนองของเขาในยามนี้จอร์จจึงได้แต่พยักหน้ารับคำด้วยความอัดอั้นตันใจและไม่ได้กล่าวคำใดต่อไปอีกเพราะเขากำลังรู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างแล่นมาจุกอยู่ที่อกและเคลื่อนที่ขึ้นไปตีบตันอยู่ในลำคออย่างรวดเร็ว
     หมอทอมสันกล่าวคำอำลาและปลีกตัวจากไปอย่างเงียบๆปล่อยให้เขานอนหลับตาสกัดกั้นอารมณ์อยู่เพียงลำพัง จอร์จรู้สึกตึงเครียดจนสติสัมปชัญญะเริ่มสับสนและกำลังทบทวนภาพเหตุการณ์ในค่ายทหารกลับไปกลับมาราวกับภาพยนตร์ที่เล่นแถบบันทึกภาพย้อนเรื่องราวซ้ำๆจนมันเกิดอาการภาพล้มและค่อยๆเลือนหายไปช้าๆพร้อมกับการรับรู้จากประสาทสัมผัสทั่วตัวของเขา ก่อนที่โสตสัมผัสสุดท้ายจะเงียบงันเขาได้ยินเสียง ปี๊บ...ๆ...ๆ… เบาๆเป็นจังหวะสม่ำเสมอดังมาจากสถานที่ที่ห่างไกลและแล้วโลกรอบตัวของเขาก็ดับวูบลงอีกครั้งราวกับถูกม่านกำมะหยี่สีดำทะมึนเคลื่อนที่เข้ามาปิดทับทุกสรรพสิ่งบนเวทีการแสดง



     เสียงห้ามล้อรถเก๋งสีขาวคันเล็กกะทัดรัดดังแหวกบรรยากาศยามเช้าในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งชานเมืองกรุงเทพมหานครฯ ชายแก่ผู้มีผมหงอกประปรายนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะในสนามหญ้าหน้าบ้านรู้สึกประหลาดใจจนต้องหันไปมอง จักษุแพทย์มือหนึ่งแห่ง ร.พ.จัสมินเมโมเรียลด้วยวัยที่ล่วงเลยมาจนอายุย่างเข้า 65 ปีถึงแม้ว่าจะกระฉับกระเฉงกว่าคนในวัยเดียวกันแต่ความชราก็เป็นอุปสรรคต่อวิชาชีพที่ต้องรับผิดชอบงานหนักๆจึงทำให้เขาต้องเปลี่ยนสถานภาพจากผู้ทำการรักษาโรคโดยตรงมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของโรงพยาบาลแทน เขาจึงมีเวลาว่างมากพอที่จะดื่มกาแฟแก้มอาหารสมองและรอคอยการกลับมาของลูกสาวสุดที่รักเช่นนี้ได้ทุกวัน ประตูอัลลอยด์ค่อยๆเลื่อนเปิดออกช้าๆด้วยสัญญาณรีโมทคอนโทลที่ถูกส่งออกมาจากที่นั่งคนขับ มันทำให้ ด.ร. พงศธรรู้ทันทีว่าลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านนี้ได้กลับมาจากที่ทำงานแล้ว
     ประตูไฟฟ้าเลื่อนเปิดยังไม่ทันสุดรถคันเล็กก็เคลื่อนที่เข้ามาจอดเทียบในโรงจอดรถประจำบ้านอย่างรวดเร็วหญิงสาวในชุดพยาบาลลงจากรถ เดินตรงดิ่งมายังเก้าอี้สนามด้วยความร้อนรน ด.ร. พงศธรเห็นสีหน้าของลูกสาวหมองเศร้าอย่างที่ไม่เคยปรากฏเช่นนี้มาก่อนก็แปลกใจจนอดที่จะเอ่ยถามเธอทันทีที่เดินมาถึงตัวไม่ได้
     “ เกิดอะไรขึ้นหรือลูกทำไมเจ้าหญิงน้อยของพ่อหน้าเศร้าจังวันนี้”
      มะลิพยายามห้ามน้ำตาที่ไหลซึมออกมาอย่างสุดความสามารถ เธอนั่งลงบนเก้าอี้สนามตัวตรงกันข้ามก่อนจะถามคำถามแทนคำตอบกลับไป
     “คุณพ่อไม่ได้ดูข่าวเมื่อวานตอนเย็นหรือคะ”
     “เปล่าจ๊ะ ทำไมหรือ”
     หมอพงศธรสังเกตเห็นคราบน้ำตาของลูกสาวทำให้เขาเกิดความกังวลใจขึ้นมาจนต้องตั้งใจฟังในสิ่งที่ลูกสาวสุดที่รักพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น
     “เครื่องบินของ จัสมินฯตกที่สงขลาค่ะ...” มะลิหยุดชั่งใจอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่งก่อนที่จะบอกข่าวร้ายแก่ผู้เป็นพ่อ “เออ… คุณลุงทอมสันโดยสารไปกับเครื่องบินลำนั้นด้วยค่ะ”
     เหมือนสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางกระหม่อมของด.ร.พงศธรในวินาทีนั้นการประสบอุบัติเหตุของเพื่อนรักทำให้เขาตกตะลึงจนหลุดคำอุทานดังๆออกมาด้วยน้ำเสียงตระหนก
     “หา… ลูกว่าอะไรนะ ด.ร.ทอมสันไปกับเครื่องที่ตกด้วยหรือ”
     “ค่ะคุณพ่อ...”
     ด.ร. พงศธรตระหนักรู้ทันทีว่าเหตุใดลูกสาวสุดที่รักของตนจึงมีใบหน้าที่เศร้าหมองและน้ำตาปริ่มอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้น ตัวเขาเองก็ตกใจกับข่าวร้ายจนสีหน้าหมองคล้ำลงเช่นกัน เขาเปล่งเสียงที่เหมือนกับสายลมพัดผ่านท่ออากาศที่ตีบตันออกมาถามลูกสาวกลับไปว่า
     “เครื่องตกเพราะอะไรรู้สาเหตุหรือยัง ”
     “ยังไม่มีรายงานค่ะ เจ้าหน้าที่กำลังถอดรหัสสัญญาณในกล่องดำอยู่”
     สีหน้าของด.ร. พงศธรเปลี่ยนเป็นประหวั่นพรั่นพรึงต่ออะไรบางอย่างเพียงวูบหนึ่งจนมะลิไม่ทันได้สังเกต เขาใคร่ครวญเรื่องราวอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะลุกจากเก้าอี้และเดินอ้อมมาหยุดยืนอยู่ข้างๆตัวลูกสาวเพื่อลูบศีรษะเพื่อปลอบโยนอย่างนิ่มนวล น้ำตาของมะลิที่ถูกกักเก็บมาตลอดทั้งคืนจึงรินหลั่งลงมาอาบสองแก้ม เธอสวมกอดรอบเอวบิดาเฉกเช่นทุกครั้งที่รู้สึกเสียใจเหมือนเมื่อวัยเยาว์
     “หนูไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อจะโทรศัพท์ไปหาท่านผู้อำนวยการจาคอฟสกี้เสียหน่อย”
     “ค่ะคุณพ่อ ...เออ หนูขอเป็นคนลงไปรับศพคุณลุงที่หาดใหญ่ได้ไหมคะ เย็นนี้หนูจะโทรไปลางานและจองตั๋วเครื่องบินเดินทางไปที่นั่นพรุ่งนี้เช้าเลย”
     “ได้สิจ๊ะลูก ดีแล้วเป็นธุระให้คุณลุงเขาหน่อยก็แล้วกัน”
     “ขอบคุณค่ะคุณพ่อ คุณแม่อยู่ไหนคะหนูจะไปเล่าให้ท่านฟังเรื่องคุณลุง”
     “แม่อยู่ในห้องหนังสือคงกำลังอ่านกวีนิพนธ์อยู่กระมัง ไปเราเข้าบ้านไปด้วยกันเลย”
     มะลิพยักหน้าและลุกจากเก้าอี้เดินตามบิดากลับเข้าไปในบ้าน เธอขอแยกตัวไปยังห้องหนังสือชั้นสองของบ้านทันทีที่เดินมาถึงบันไดเพราะต้องการเล่าเรื่องคุณลุงทอมสันให้แม่มาลีของเธอฟังด้วยตนเอง ถึงจะกลัวอยู่นิดๆว่าข่าวร้ายจะทำให้มารดาที่มีอารมณ์อ่อนไหวราวกับศิลปินจะตกใจจนขวัญเสียแต่ก็เชื่อว่าจิตใจที่เข้มแข็งจะทำให้ท่านปรับอารมณ์ได้ไม่ยาก
     ด.ร. พงศธรเมื่อแยกจากลูกสาวเขาเดินตรงไปยังโทรศัพท์ในห้องโถงกลางด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด ความตายของเพื่อนสนิทเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดสังเกต เขาจำได้ดีว่าทุกครั้งที่ ด.ร. ทอมสันจะเดินทางไปไหนมาไหนไม่ว่าจะกลับบ้านหรือไปทำธุระจะต้องแวะมาบอกตนก่อนทุกที การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ผิดปรกติจนทำให้เขาอยากจะคุยกับท่าน ผอ.จาคอฟสกี้เพื่อสอบถามข้อข้องใจ


     แสงแดดในยามเช้าแม้จะไม่แรงร้อนเหมือนช่วงอื่นๆของวันแต่ก็เพียงพอที่จะส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาทักทายชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงได้ไม่ยาก การหลับอย่างเต็มตาทำให้จอร์จรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า เขานอนปรับสายตานิ่งๆอยู่บนเตียงเงียบๆและหลับตาลงอีกครั้งเพื่อคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในความฝัน ภาพเรื่องราวต่างๆเหล่านั้นมันสมจริงและต่อเนื่องกันจนเขาแยกไม่ออกว่าตอนไหนเป็นความจริงและตอนไหนเป็นแค่ความฝันถึงอย่างนั้นก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ช่วยแยกความแตกต่างระหว่างตัวตนในความฝันกับตัวเขา ณ เวลานี้ออกจากกันได้มันคือบาดแผลที่หน้าอกข้างขวาใต้ราวนมนี้เพราะในความฝันเขาจำได้ว่าตนถูกยิงที่อกข้างซ้าย
     เมื่อเขาพยายามนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในชีวิตก่อนหน้านี้เขากลับจำเหตุการณ์และเรื่องราวอะไรไม่ได้เลย ในห้วงแห่งความคิดคำนึงชายหนุ่มกำลังเกิดความสับสนพยายามครุ่นคิดอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อลื้อฟื้นความทรงจำในอดีตให้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง ขณะที่เขากำลังใช้สมองเค้นความคิดอย่างสุดความสามารถประตูห้องก็ถูกผลักให้เปิดออกอย่างกะทันหัน จอร์จยังไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเขารู้สึกตัวแล้วจึงจำต้องหยุดคิดและหยุดเคลื่อนไหวแสร้งทำเป็นหลับสนิท
     เสียงที่ดังเข้ามากระทบโสตประสาทในความเงียบบ่งบอกให้ชายหนุ่มรู้ว่ามีคน2 คนกำลังเข็นรถใส่อุปกรณ์ต่างๆเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่ข้างเตียงนอนของตน สัมผัสจากมือของพวกเธอทำให้จอร์จรู้ว่าการทำความสะอาดบาดแผลตามตัวเขาได้เริ่มต้นขึ้นแล้วโดยที่คนทั้งคู่ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า คนไข้คนนี้กำลังแกล้งหลับและแอบฟังพวกเธอสนทนากันอยู่อย่างตั้งใจ
     “แบงก์... มลว่าเขาไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเครื่องบินของ “จัสมินฯ” ตกหรอกว่าไหม”
     พยาบาลสาวผมม้าผู้มีลักยิ้มสวยเก๋ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดร่างกายให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่ใบหน้าและไล่มาตามลำตัวทีละส่วนในขณะที่เพื่อนของเธอกำลังใช้สำลีชุบยาฆ่าเชื้อเช็ดที่บาดแผลไปด้วยพร้อมๆกัน
     “แต่พี่หมอบอกว่าตอน9โมงจะมีเจ้าหน้าที่จากสหรัฐอเมริกามารับตัวเขาไปนะ”
     “เราคิดว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายตามที่สงสัยกันหรอก”
พยาบาลมลรับ พลาสเตอร์ปิดแผลจากเพื่อนมาเปลี่ยนให้เขาอย่างนุ่มนวล ส่วนแบงก์หยิบเข็มฉีดยาที่เตรียมมาส่งให้เพื่อนพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงดูจริงจัง
     “ไม่รู้สิอาจจะเป็นอย่างที่ว่าก็ได้แต่ที่แน่ๆเขาต้องถูกพวกนั้นจับไปทรมานและสอบสวนอย่างหนักเหมือนในหนังแน่ๆ บางทีอาจถูกทำร้ายจนถึงตายก็ได้นะว่าไหม”
     พยาบาลสาวผมม้าที่กำลังฉีดยาให้ชายหนุ่มหน้าซีดลงทันทีและเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนอย่างไม่ตั้งใจจึงไม่ทันสังเกตเห็นอาการกระตุกของท่อนแขนจอร์จเบาๆขณะถูกแทงด้วยเข็มฉีดยา มลมองเห็นสายตาของเพื่อนสาวผู้แสนซุกซนจ้องจับอาการเหมือกำลังจับผิดตนอยู่และพูดแหย่ขึ้นมาอีกว่า
     “นั่นแน่ เกิดเป็นห่วงเขาขึ้นมาแล้วหรือจ๊ะ ทำหน้าตาเครียดเชียว”
     “บ้า...เราแค่สงสารเขานะ แบงก์นี่ไร้สาระใหญ่แล้ว”
     “งั้นทำไมต้องหน้าแดงด้วยละ คิดเปลี่ยนใจจากพี่หมอแล้วหรือยังไง ก็ดีจะได้เลิกช้ำใจซ้ำซากเสียที วันนี้เจ้าของหัวใจเขากำลังจะมาแล้วด้วยนี่”
     พยาบาลมลรู้ตัวทันทีว่าตกหลุมพรางของเพื่อนสาวจอมเซี้ยวเข้าให้เต็มเปาถูกแซวความลับในหัวใจกันต่อหน้าจึงรู้สึกเขินอายแสร้งทำเป็นเก็บอุปกรณ์เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกและเข็นรถกลับไปที่ประตูอย่ารวดเร็วก่อนเอ่ยคำสัพยอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงเง้างอน
     “เราไปละจะไปกินข้าเช้าแล้ว เชิญแบงก์อยู่กับพ่อรูปทองตามลำพังละกัน”
     “เดี๋ยวสิงอนใหญ่แล้วรอเราด้วยสิจ๊ะมล...”
     เมื่อพยาบาลสาวทั้งสองคนออกจากห้องไปแล้วจอร์จจึงลืมตาขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาพยายามลำดับเหตุการณ์ตามที่ได้ยินพวกเธอทั้งคู่สนทนากันซึ่งสิ่งที่เขาได้ฟังมันยิ่งไปช่วยเพิ่มความสับสนให้เขามากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว ชายหนุ่มพยายามยันตัวเองขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก ความวิตกกังวลกำลังเพิ่มดีกรีเป็นความกลัวและหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจเรื่องที่ตนเป็นคนร้ายตามที่ถูกสงสัยหรือไม่แต่ชายหนุ่มก็บอกตัวเองได้ทันทีว่าเขายังไม่พร้อมที่จะถูกใครจับและถูกทรมานจนตายอย่างที่ได้ยิน จอร์จตัดสินใจที่จะหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ทันทีในวินาทีนั้น
     จอร์จใช้สองมือที่ปราศจากเรี่ยวแรงเช่นปรกติถอดสายอุปกรณ์ที่ระโยงระยางตามร่างกายออกอย่างร้อนรน ถัดตัวลงจากเตียงนอนได้ก็เดินลากเท้าตรงไปที่ประตูห้องด้วยกำลังที่มีอยู่เพียงน้อยนิด เขาก้มตัวลงนอนราบไปกับพื้นใช้ใบหูแนบเพื่อฟังเสียงจับสัญญาณการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆในระยะใกล้ทำทุกอย่างราวกับเคยปฏิบัติเช่นนี้อยู่เป็นประจำ เมื่อแน่ใจแล้วว่าปราศจากการเคลื่อนไหวของใครหรืออะไรที่บริเวณทางเดินจึงเปลี่ยนไปให้ความสนใจกับเสียงหวีดหวิวของกระแสลมที่ดังอยู่ไม่ไกลจากประตูบานนี้แทน เขาสัมผัสได้ถึงเสียงแห่งความหวังที่เล็ดลอดมาจากทางด้านขวามือได้อย่างชัดเจน จอร์จผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและก้าวเข้าไปยืนชิดประตูมองผ่านกระจกสี่เหลี่ยมออกไป เขาเห็นทางออกฉุกเฉินที่อยู่ติดกับห้องนี้เต็มสองตารู้สึกดีใจราวกับกำลังวังชาจะเริ่มกลับคืนมาอีกครั้งและเข้าใจทันทีว่าตนต้องทำเช่นไรต่อไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพของตัวเอง
     จอร์จเปิดประตูห้องพักอย่างเงียบและเบามือที่สุดก่อนที่จะผลุบหายเข้าไปในประตูหนีไฟที่อยู่ตรงหน้า ข้างหลังประตูบานนั้นเขาเห็นบันไดปูด้วยหินแกรนิตสีขาวปรากฏอยู่ในแสงสลัวรางของไฟนีออนดวงเล็กๆ ถึงแม้มันจะไม่สว่างมากมายอะไรนักแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขามองเห็นราวบันไดได้ไม่ยาก จอร์จยืนปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะใช้สองมือยึดราวเหล็กไว้เพื่อพยุงตัว ความเย็นขณะที่ฝ่ามือสัมผัสกับเนื้อโลหะแม้ว่ามันจะเย็นปานใดก็ไม่อาจบรรเทาความร้อนรุ่มที่โหมกระพืออยู่ข้างในจิตใจของเขาได้
     ในห้วงแห่งความคิดคำนึงของจอร์จนะตอนนี้ตัวตนของเขาเหมือนถูกแบ่งแยกออกจากกันเป็นสองฝั่งซึ่งมันทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายว่า เหตุการณ์ ณ เวลาไหนเป็นเรื่องจริงและเวลาไหนเป็นแค่ความฝันกันแน่ ความทรงจำที่ดูสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูกกำลังกลั่นตัวออกมาเป็นความหวาดวิตกอย่างต่อเนื่องมันส่งอิทธิพลผลักดันให้สองเท้าของเขาก้าวลงบันไดไปเรื่อยๆจวบจนกระทั่งเท้าของเขาหยั่งลงสู่บันไดขั้นสุดท้ายและพื้นหินแกรนิตระดับผิวดิน เขาเห็นประตูทางออกสู่ห้องโถงกลางปรากฏอยู่ตรงหน้าความปรารถนาในอิสรภาพช่วยฉุดสติของเขาให้กลับคืนมาสู่โลกแห่งความจริง ณ เวลาปัจจุบันนี้อีกครั้งหนึ่ง
     เสียงอื้ออึงนอกประตูทำให้จอร์จเกิดความรู้สึกลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วความกลัวที่ดูเหมือนว่ามันกำลังคืบคลานตามเขาลงมาทุกขณะจิตก็ช่วยผลักไสไล่ส่งให้เขาตัดสินใจก้าวเดินออกไปจากที่ตรงนี้ เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่จอร์จถอนหายใจกระแสพลังที่ปะทุออกมาจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจก็ชักนำให้เขาก้าวออกไปสู่แสงสว่างแห่งความหวังข้างนอกประตูฉุกเฉิน
     จอร์จออกมาจากประตูบานนั้นมาด้วยท่าทางที่บังคับให้ดูปรกติธรรมดาที่สุดและเดินไปตามทางที่พาเขาไปสู่ห้องโถงกลางของตัวอาคารช้าๆ ชายหนุ่มเร่งความเร็วเพื่อเดินผ่านลิฟต์กลางตึกอย่างระมัดระวังเพราะเกรงว่าจะมีใครโผล่ออกมาจากลิฟต์พบตัวเขาเข้าเสียก่อน เขาเดินเนิบๆผ่านห้องโถงใหญ่ที่ถูกแบ่งไว้เป็นสัดเป็นส่วนตามแผนกที่มีการเปิดให้บริการของทางโรงพยาบาล มีทั้งกุมารเวช ทันตกรรม จักษุเวช และอื่น ๆ อีกหลายแผนก มีเก้าอี้บุนวมสวยหรูวางเรียงรายเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบทั้งสองฝั่งโดยมีผู้มาใช้บริการมากมายนั่งรอฟังการขานเรียกชื่อตามลำดับจนแน่นไปหมด ชายหนุ่มมองเห็นประตูกระจกไฟฟ้าขนาดใหญ่ตรงหน้า และบอกได้ทันทีว่ามันต้องเป็นทางออกอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยซึ่งบัดนี้มันอยู่ห่างจากตัวเขาที่กำลังเดินตรงเข้าไปหามันไม่กี่เมตรเท่านั้น
     ลักษณะการเดินของจอร์จด้วยท่าทางไม่ปรกติสะดุดตานางพยาบาลคนหนึ่งซึ่งกำลังเข็นรถอุปกรณ์วัดความดันโลหิตสวนทางมาพอดีแม้เธอจะไม่ได้สนใจอะไรเขาเป็นกรณีพิเศษแต่แค่สายตาที่มองมาก็มากพอที่จะทำให้เกิดความรู้สึกเกร็งและตื่นตระหนกได้ไม่ยาก อีกเพียงไม่เกินสิบก้าวก็จะถึงประตูทางออกอยู่รอมร่อความตื่นเต้นทำให้เขาแสดงสีหน้าผิดสังเกตออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจบุรุษพยาบาลสองนายที่ประจำอยู่ยังประตูหน้าหันกลับมามองเขาพอดี จอร์จพยายามซ่อนความรู้สึกประหม่าไว้อย่างมิดชิดทำทีเป็นไม่สนใจแต่พนักงานทั้งคู่กับรู้สึกผิดสังเกตเขาเสียแล้วและกำลังลุกจากเก้าอี้เพื่อจะเดินเข้ามาหา จังหวะนั้นรถเก๋งซึ่งมีตราสัญลักษณ์การบินไทยก็แล่นเข้ามาจอดเทียบอยู่ที่ลานรับส่งคนหน้าตึกอย่างบังเอิญที่สุดเป็นเหตุให้พนักงานสองคนนั้นจำต้องหันกลับไปปฏิบัติหน้าที่ของตนทันที
     จอร์จรู้ตัวว่าตนผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติมาได้แล้วจึงระบายลมหายใจออกด้วยความโล่งอกสิ่งแรกที่เขาคิดออกในขณะนี้ก็คือ “ต้องผละจากที่ตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด” แต่หญิงสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนที่ก้าวลงมาจากรถกลับสร้างความตกตะลึงให้กับจอร์จยิ่งไปกว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ชนิดที่เทียบกันไม่ติด โครงหน้าที่แสนจะคุ้นตาทำให้เขาจำต้องเปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหันแสงแดดยามสายบริเวณหน้าตึกช่วยทำให้จอร์จจดจำเธอได้อย่างรวดเร็วและลืมทุกสิ่งทุกอย่างทันทีแม้กระทั่งการหายใจ เขาได้แต่ยืนตัวแข็งค้างราวกับกลายเป็นรูปปั้นศิลาจ้องมองร่างของเทพธิดาคนนั้นเดินผ่านประตูกระจกไฟฟ้าตรงเข้ามาหาเขาช้าๆ เค้าหน้าที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นจากระยะห่างที่หดสั้นลงช่วยยืนยันความคิดของเขาอีกครั้งว่าใช่เธอแน่ๆ หัวใจของเขากำลังพองโตและเต้นไม่เป็นสำถึงแม้ความงามของเธอจะถูกแอบซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดแต่มันแจ่มชัดในความรู้สึกของจอร์จราวกับไม่มีอะไรมาบดบังมันได้ เขาถามตนเองในใจดังๆว่า “ในช่วงชีวิตของคนๆหนึ่งอาจพบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆมากมายแต่ความบังเอิญทางใจที่กำลังเกิดขึ้น ณ วินาทีนี้ มันจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตของเขาหรือเปล่า” จอร์จหลุดคำเรียกชื่อเธอออกมาได้แค่เพียงครึ่งคำขณะที่สายตาของเขาจ้องประสานกับดวงตาของเธอซึ่งบังเอิญเงยหน้าขึ้นมาสบกันพอดี
     “มะ...”
     ชายหนุ่มจำต้องหยุดชะงักไปเสียก่อนเพราะน้ำเสียงคุ้นหูที่ดังมาจากทางด้านหลังใกล้เข้ามาทุกที
     “มะลิจ๊ะ เป็นยังไงบ้างเดินทางเหนื่อยไหม”
     หัวใจของจอร์จที่กำลังลอยเข้าไปหาหญิงสาวในวินาทีก่อนหน้านี้หล่นวูบและตกลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก จอร์จหลบตาและเดินเลี่ยงจากจุดนั้นไปยังเก้าอี้บุนวมด้านขวามืออย่างรวดเร็วเขาฉวยได้หนังสือพิมพ์จากโต๊ะรับแขกก็กุลีกุจอยกมันขึ้นมาบดบังใบหน้าของตนเอาไว้จากต้นเสียงที่เดินมาถึงได้ทันเวลาพอดี
     “สวัสดีจ๊ะมล เราไม่เหนื่อยหรอก ขอบใจนะที่ลงมารับ... แบงก์ละทำไมไม่ลงมาด้วยกัน”
     “มีคนไข้ที่ดูแลอยู่หายไปจากห้องนะ แบงก์กำลังช่วยบุรุษพยาบาลตามหาตัวอยู่”
     “หรือจ๊ะ คิดถึงพวกเธอจัง พาเราไปหาแบงก์หน่อยสิ”
     “ได้ ตามมานี่เลยเดี่ยวมะลิต้องเล่าเรื่องของสาขาใหญ่ที่กรุงเทพฯให้พวกเราฟังบ้างนะ... ”
     พยาบาลมลเดินนำหน้าเพื่อนสาวผ่านเก้าอี้ตัวที่จอร์จนั่งอยู่ไปโดยไม่ทันสังเกต เสียงสนทนาค่อยๆเบาลงๆ บ่งบอกว่าเธอทั้งสองคนผละจากบริเวณนั้นไปไกลแล้วจอร์จจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนและเดินย้อนกลับเข้าไปในตัวอาคารด้านในโดยพยายามเลี่ยงกลุ่มคนที่ออกันอยู่ตามทางเดินไปตลอดทาง ชายหนุ่มเลี้ยวซ้ายตรงบริเวณลิฟต์กลางตึกก่อนจะเดินไปตามทางซึ่งมีป้ายแสดงจุดหมายชี้บอกไว้ว่าเป็นห้องอำนวยการรับศพและทางออกด้านข้าง จอร์จก้าวผ่านทางเดินที่ร้างไร้ผู้คนตรงไปยังประตูอย่างรีบเร่งทันทีที่เขาเปิดมันออกก็พบว่าตนยืนอยู่ในบริเวณลานจอดรถของญาติ ที่มารอรับร่างของผู้วายชนม์ด้านข้างตึก มีรถกระบะจอดเรียงรายอยู่หลายคันและในจำนวนนั้นมีอยู่คันหนึ่งติดเครื่องยนต์จอดเทียบอยู่ด้วย ข้างท้ายของรถคันดังกล่าวติดตั้งหลังคาไฟเบอร์สีดำเป็นมันเงากลืนไปกับสีของตัวรถเป็นสีเดียวมีตัวอักษรสีขาวเขียนชื่อต้นสังกัดไว้ที่ด้านข้างตัวรถว่า “วัดมุจลินทราปีวิหาร จ.ปัตตานี” ชายหนุ่มมองจากมุมตึกที่ตนยืนอยู่ไปยังป้อมยามหน้าโรงพยาบาลเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยสองนายกำลังยืนรับบัตรผ่านประตูจากรถที่กำลังแล่นเข้ามาเขารู้ทันทีว่าตนไม่สามารถเดินออกไปดื้อๆไม่ได้อย่างแน่นอนจึงเริ่มใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหาหนทางให้ตัวเองได้รับอิสรภาพอีกครั้ง เสียงแตรรถดังขึ้นมาอย่างกะทันหันจนจอร์จต้องหันไปมองต้นเสียง
     “ไอ้แกละเอ็งเอาบัตรผ่านไปปั๊มตราในตึกให้ข้าที”
     คนในรถตะโกนสั่งเด็กชายที่ยืนอยู่ด้านหลังกระบะพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งออกไปให้
     “เร็วหน่อยเดี๋ยวกลับไปถึงวัดก็เลยเที่ยงกันพอดี”
     “รู้แล้วน่าลุง”
     เด็กผู้ชายผิวสีดำแดงร่างผอมบางละมือจากประตูหลังคาด้านหลังที่ยังปิดไม่เรียบร้อยผลุนผลันวิ่งปร๋ออ้อมไปรับบัตรผ่านจากมือชายแก่ก่อนจะหายเข้าไปในตัวอาคารอย่างรวดเร็ว จอร์จยืนชั่งใจอยู่เพียงเสี่ยววินาทีก็เกิดความคิดบางอย่างสว่างวาบขึ้นมาในหัวสมอง เขาเคลื่อนที่อย่างเงียบและฉับไวที่สุดหายวับไปกับตาทันทีที่ตัดสินใจทำตามแผนที่ตนพึ่งจะคิดออก
     อีกชั่วอึดใจใหญ่ๆเด็กผู้ชายผมสั้นเกรียนก็วิ่งกลับออกมายื่นบัตรผ่านคืนกลับไปให้ชายแก่
     “เอานี่...เรียบร้อยแล้วลุง”
     “เออดีมาก เอ็งรีบไปปิดท้ายรถซะทีสิจะได้กลับกันซะที”
     “ว้า...เกือบลืมเลย”
     เด็กน้อยวิ่งอ้อมไปปิดมันลงตามคำสั่งก่อนที่จะย้อนกลับมานั่งข้างคนขับ รถกระบะสีดำคันดังกล่าวก็ได้เวลาเคลื่อนตัวออกจากที่จอดของมันช้าๆมันแล่นผ่านประตูด้านข้างตึกที่ปราศจากผู้คนตรงดิ่งไปยังประตูทางออกอย่างรวดเร็ว ขณะที่รถแล่นมาหยุดส่งบัตรผ่านคืนให้กับยามที่ป้อมก็สวนทางกับรถเก๋งคันหนึ่งซึ่งมีคนขับรถผิวสีเดียวกับตัวรถขนศพกำลังรับบัตรผ่านประตูเข้าสู่โรงพยาบาลพอดี รถขนศพสีดำเมื่อพ้นจากที่กันทางก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วแข่งกับเวลาที่ถูกกำหนดเส้นตายเอาไว้





 

Create Date : 30 เมษายน 2554
3 comments
Last Update : 7 กันยายน 2554 11:30:05 น.
Counter : 712 Pageviews.

 

พุ่งทะยาน นะจ้ะ บรรทัดรองสุดท้าย

 

โดย: ิbank IP: 49.228.7.202 30 กรกฎาคม 2554 23:19:33 น.  

 

แก้ไขคำผิดแล้ว
ขอบคุณครับนางเอก เป็นนางเอกในดวงใจผมจริงๆ

 

โดย: วาโย (wayoodeb ) 2 สิงหาคม 2554 12:32:00 น.  

 

ช่วงนี้ไม่ว่าง ไม่ค่อยได้อ่านเลย

 

โดย: bank IP: 110.49.227.95 6 สิงหาคม 2554 10:45:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wayoodeb
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




 
      
Friends' blogs
[Add wayoodeb's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.