Bloggang.com : ลูกอบรสเขียด : The King's Speech : ประกาศก้อง จอมราชา , "ใครจะมาช่วยเรา ถ้าหากเรายังไม่ช่วยตัวเอง ??"

The King's Speech : ประกาศก้อง จอมราชา , "ใครจะมาช่วยเรา ถ้าหากเรายังไม่ช่วยตัวเอง ??"

The King's Speech (2010)

[ไม่เปิดเผยเนื้อเรื่องสำคัญ หรือ ไม่สปอยล์]

Rated R for some language

ได้มีโอกาสดูว่าที่หนังออสการ์ตัวเต็่งจ๋าอีกเรื่อง เมื่ออาทิตย์ก่อน ต้องขอบอกเลยว่าขนาดหนังเข้าเเค่ 2 โรงนั้น นั้นคือโรง CTW เเละ Apex เเต่คนก็ยังตามกันมาดูเยอะมาก จนนึกว่านี้หนัง Blockbuster หรอเนี่ย ส่วนหนังเรื่องนี้นั้น หลังจากดูจบหนังจะดีตามที่นักวิจารณ์บอกหรือไม่ ติดตามอ่านเลยครับ

The King's Speech เรื่องราวของพระราชา จอร์จ ที่ 6 หรือในชื่อเรียกเล่นๆว่า เบอร์ตี้ กษัตริย์พระองค์เดียว ที่ทำให้พระราชวังต้องกระสับกระสน เพราะเขานั้น มีอาการ ติดอ่าง เเละ ไม่สามารถพูดในงานต่างๆได้ และ เขานั้นก็ได้หาหมอมาหลายสำนักเเล้วเช่นกัน เเต่ไม่เคยหาย จนเขานั้นเริ่มท้อเเท้ เเละ สิ้นหวัง กับอาการติดอ่างที่น่าจะไม่มีวันหายของเขา จนกระทั่ง พระราชินี Elizabeth นั้นได้เเนะนำให้รู้จักกับหมอบ้านๆอย่าง ไลโอเนล โล๊ก ซึ่งเขานั้นมีวิธีรักษาเเบบเเปลกประหลาดเเตกต่างจากคนอื่น ซึ่งพระองค์ทรงถูกใจเขามาก จนกระทั่งพระราชาจอร์จที่ 5 พ่อของเบอร์ตี้ นั้นได้สิ้นชีวิตลง + พี่ชายอย่าง พระราชาเอ็ดเวริ์ด ก็ได้สละบัลลัง เเละ ไหนเขาจะต้องพูดต่อหน้าประชาชนเพราะเกิดสงครามอีก งานนี้เขาจะหายหรือไม่ติดตามได้ในหนังเรื่องนี้

The King's Speech ผลงานกำกับของ ทอม ฮูเปอร์ หลังจากที่เคยกำกับหนังทีมฟุตบอลอย่าง The Damned United มาเเล้ว คราวนี้นั้นเขาขอหยิบเรื่องจริง (ที่ต้องดัดเเปลงนิดหน่อย) ของพระราชา จอร์จ ที่ 6 เรื่องของการติดอ่างมากำกับ ซึ่งเรื่องนี้นั้นอย่างเเรกที่่ต้องขอชมคงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากนักแสดงชายอย่าง Colin Firth ที่เล่นเป็นพระราชา ติดอ่าง และ เเสดงได้เนียน ทำให้คนดูอย่างเราๆคิดว่า "เห้ย นี้เขาติดอ่างจริงหรือเเสดงหละเนี่ย" หรือเเม้กระทั่ง สีหน้า ท่าทาง ของเขา ที่ภายนอกนั้น เคร่งครึม เเต่ภายในก็ปกคลุมไปด้วย ความกลัว และ ความกล้าหาญ ในเวลาเดียวกัน และที่ต้องขอชมมากกว่า Firth ซะอีกคือ Geoffrey Rush ที่เรื่องนี้เล่นกันได้ กลมกล่อม เข้าขากับ Firth มากๆ + การเเสดงของ Rush นั้น ก็ทำให้หนังนั้น..

การเเสดงของเขาก็สามารถช่วย พยุง หนังในฉากที่ตลก โปกฮา ซึ่งทั้ง ท่าทาง เเละ คำพูด นั้นออกเเนวทะเล้น ตลกๆ และทำให้คนดูขำในที่สุด ในหนังดราม่าอย่างงี้ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งนอกจากการเเสดงที่เป็น จุดขาย ของหนังเรื่องนี้ ผมยังชอบจากการที่หนังเรื่องนี้นั้นได้พูดถึงเรื่องของ "ชนชั้น" ได้อย่าง โจ่งเเจ้ง และ ตรงประเด็น ด้วยคำพูดของ ไลโอเนล ชายผู้ที่อยากให้โลกนั้นไม่มีการเเบ่งชนชั้น ของ พระราชา เเละ ประชาชน ธรรมดา + การสอนธรรมดาๆที่ค่อยๆกัดกินเข้าไปในหัวใจของ กษัตริย์จอร์จ นั้น ก็ทำให้คนดูรู้สึกเช่นเดียวกับ พระราชา เหมือนกัน และในอีกมุมหนึงนั้น ถ้าลองคิดเล่นๆ ถ้า ไลโอเนล ได้ดันไปสอนกษัตริย์คนอื่นที่โหดๆ นี้คงมีหวังได้จบชีวิตตั้งเเต่วันเเรกที่สอนเเหง่เลย ฮ่าๆ (เหตุเพราะเรียกชื่อเล่นกษัตริย์ซึ่งเหมือนดูหมิ่น และ อื่นๆอีกมากมาย)

ส่วนในด้านของนอกจากประเด็น ชนชั้น นั้น ก็ต้องยอมรับว่า การที่หนังเล่นปูพื้น เเบบด้านๆมาในตอนเเรกนั้น ทำได้ดี และ การที่ปูพื้นเเบบนี้แล้วค่อยมาตามเก็บในทีหลัง แบบเก็บทีละเล็กทีละน้อย โดยเฉพาะเรื่องราวรายละเอียดของ ไลโอเนล นั้น ที่ต้องบอกว่า ค่อยๆใส่บทบาทของตัวละครนี้เข้ามาได้ แนบเนียน เเละ ไม่ขัดหูขัดตา หมายความว่า การค่อยๆมาเก็บบทของตัวละครนั้น บางเรื่องจะเก็บเเบบโจ่งเเจ่ง เเต่เรื่องนี้เล่นแบบว่า "ให้คิดเอาเอง" ในฉากนั้นๆซะมากกว่า ส่วนในอีกด้านที่ต้องบอกว่า "เจ๋ง" มากๆนั้นก็คือ 'เพลงประกอบ" ที่ Composed โดย Alexandre Desplat ที่มาในอารมณ์ของ เพลงเเนวอังกฤษในแบบฉบับพระราชวัง ได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะเพลง The King's Speech ที่ต้องขอชื่นชมว่า อารมณ์ของเพลงประกอบนั้น นิ่มนวล เเละ มีอารมณ์ที่อ่อนไหวอย่างรุนแรง

สรุป หนังเรื่องนี้นั้น อาจจะเป็นหนังที่ไม่ได้ออสการ์ก็ได้ (เพราะหลังจากเห็น Social Network ได้เเล้วหวั่นๆ) เเต่ว่าที่ได้เเน่ๆคือ นำชาย อย่างเเน่นอน เเละ ถ้าใครนั้นที่ชอบหนังดราม่า ที่ดูเพลินๆ มีตอนจบที่ทรงพลังอย่างรุนเเรงนั้น หนังเรื่องนี้ ก็ไม่ควรพลาดก่อนที่หนังจะออกจากโรงเลยหละครับทุกท่าน