ปัจจุบัน มีบริษัทประกันภัยผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดและมีกรมธรรม์ให้เลือกซื้อกันอย่างมากมาย เพราะฉะนั้น ในบทความนี้ เราจะขอนำเอาบริษัทประกันภัย 2 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อในเรื่องของกรมธรรม์ที่ได้คุณภาพให้ความคุ้มครองจริงและเป็นที่ยอมรับกันมานานในหมู่ของผู้ใช้รถใช้ถนน นั่นก็คือ วิริยะประกันภัย และโตเกียวมารีนประกันภัย

เริ่มจากวิริยะประกันภัย ประกันภัยเจ้านี้ขึ้นชื่อมานาน ในเรื่องของอัตราเบี้ยประกันที่สมเหตุสมผลกับวงเงินประกัน อีกทั้งยังมีการบริการที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับต้น ๆ ของเมืองไทย แถมกรมธรรม์ยังมีความคุ้มครองที่ค่อนข้างครอบคลุม แม้จะเป็นกรมธรรม์ระดับต่ำสุดก็ให้ความคุ้มครองเกือบทุกอย่าง ตัดแค่ไฟไหม้และน้ำท่วมออกไปเท่านั้น ซึ่งวิริยะประกันภัยนี้ จะแบ่งประกันออกได้เป็น 6 แบบ คือ ประกันชั้น 1, ประกันชั้น 2+, ประกันชั้น 2, ประกันชั้น 3+, ประกันชั้น 3 และประกันชั้น 4 ตามลำดับ

ต่อมาคือ โตเกียวมารีนประกันภัย บริษัทนี้ถึงแม้จะไม่ได้ขึ้นชื่อมากเหมือนวิริยะประกันภัย แต่ก็มักจะเป็นประกัน ที่ผู้ขับขี่รถยนต์ใช้เป็นตัวเลือกลำดับแรก ๆ โดยกรมธรรม์ประกันของโตเกียวมารีนประกันภัยจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ประกันชั้น 1 ประกันชั้น 2+ และประกันชั้น 3+ ซึ่งประกันชั้น 2+ และ 3+ ก็ยังมีการแบ่งประเภทออกไปอีกอย่างละ 2 คือ ประกันแบบธรรมดากับประกันเน้นน้ำท่วม

คราวนี้ เราจะมาเปรียบเทียบกันดูว่าวิริยะประกันภัยกับโตเกียวมารีนประกันภัยต่างกันอย่างไร ที่เห็นได้ชัดเลย ก็คือ การจัดประเภทกรมธรรม์ ประกันรถยนต์จากวิริยะจะมีรูปแบบกรมธรรม์ที่หลากหลายกว่าและคุ้มครองทั่วถึงและมากกว่าเมื่อเทียบกับอีกหนึ่งบริษัท ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเอาความคุ้มครองในประกันชั้น 1 ของวิริยะประกันภัยมาเทียบกับประกันชั้น 1 ของโตเกียวมารีนประกันภัย ประกันของวิริยะจะคุ้มครองหมด ทั้งอุบัติเหตุบนท้องถนน ไฟไหม้ น้ำท่วม แต่โตเกียวมารีนจะตัดส่วนการคุ้มครองน้ำท่วมออกไปและเอาออพชั่นนี้ไปเพิ่มในประกันชั้น 2+ กับ 3+ แทน ทำให้ในแง่ของความคุ้มค่าดูเหมือนวิริยะจะให้ความคุ้มค่าอยู่มากพอสมควร

แต่ถ้าพูดถึง อัตราเบี้ยประกันที่ถูกสบายกระเป๋าแล้วละก็ดูเหมือนว่าโตเกียวมารีนจะเฉือนชนะวิริยะไป ด้วยความที่มีการกำหนดวงเงินประกันมาค่อนข้างแน่นอน ในขณะที่ทางวิริยะจะกำหนดประกันชั้น 1 ว่าคุ้มครอง 80% ของราคารถ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเกิดราคารถแพง เบี้ยประกันก็ต้องแพงตามไปด้วย ดังนั้น โตเกียวมารีนประกันภัย จึงน่าจะเหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยได้เจออุบัติเหตุมากเท่าใดนักหรือไม่ก็ผู้ที่ไม่ค่อยได้ใช้รถมากกว่าวิริยะประกันภัย

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริษัท ก็ล้วนแต่มีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกันทั้งสิ้น ไม่มีหรอกว่าบริษัทไหน ดีกว่าบริษัทไหน สิ่งสำคัญที่สุดมันอยู่ตรงที่ ประกันจากบริษัทไหนที่เหมาะกับพฤติกรรมการใช้รถของเราต่างหาก