All Blog
|
เดินทางสู่จุดต่ำสุดของโลก ที่ Dead Sea , Israel Dead Sea ดินแดนแห้งแล้งที่น่าตะลึง วันนี้จุดมุ่งหมายของเราคือทะเลสาบเดดซี อันเลื่องลือเรื่องความงามแห่งผิวพรรณ เค้าว่ากันว่าพระนางคลีโอพัตรา งามหงดย้อย หน้าเด้งดึ๋ง เพราะโคลนจากเดดซี ที่นี่เหมาะสำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นเพราะ ทำยังไงก็ไม่มีวันจม......... ม้งน้อยนางนี้รู้สึกตื่นเต้น มากมายเพราะเคยได้ยินแต่คำล่ำลือ ตื่นตั้งแต่เช้ามืด เตรียมสัมภาระ และอาหารระหว่างการเดินทางและกิจกรรมตั้งแคมป์ในคืนนี้ จิ้นไปว่าคืนนี้ต้องไปนอนกลางทะเลทราย คงจะมีอูฐสักตัวหลงทางมาแน่เลย เราเตรียมอาหารไปเยอะพอสมควร และไม่ลืมเตาสำหรับปิ้งๆ ย่างๆ สำหรับบาร์บีคิวมื้อค่ำ ริมทะเลที่ไม่มีสัตว์น้ำสักตัว เราก็เลยต้องเตรียม ข้าวของให้พร้อม เพราะเส้นทางที่เราจะไปมีซูปเปอร์มาร์เก็ตแค่ที่เดียว ก่อนจะดิ่งพสุธาสู่จุดต่ำสุดของโลก คาดการว่าคงเหมือนการขับรถลงเขา แต่อาจจะชันกว่า คาดว่าต้องเมารถแน่นอน เลยขนเอาเชอร์รี่ที่เก็บมาจากสวน เมื่อวานก่อน ลูกพีช องุ่น กะ โชยุญี่ปุ่นกับแต่งกวา กันเมารถและจากที่พี่สาว เล่ามาคร่าว ๆ สงสัยจะหาของกินยาก เอิ๊กๆๆ เราออกเดินทางประมาณ 10 โมงเช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วงโมง ระหว่างทางเราแวะซุปเปอร์มาเก็ตที่สุดท้ายของเส้นทางก่อนลงดอยดำดิ่ง อย่างเดียว ซื้ออาหารแห้งและอาหารแช่แข็งไปทำบาร์บีคิว ขนมปังและโยเกิร์ต จากนั้นเราออกเดินทางสู่ความแห้งแล้งอันไกลโพ้น....แสงแดดเปรี้ยงๆ กับสภาพอากาศด้านนอกคาดกว่าคงเกือบ ๆ 40 องศา คงได้ย่างสด กันล่ะงานนี้ ....เส้นทางเข้าสู่ทะเลเดดซีคดเคี้ยวและสองข้างทางขนาบด้วย ภูเขาดินทราย สภาพไร่ซึ่งต้นหญ้า สีน้ำตาลเห็นแล้วรู้สึกคอแห้งชะมัด และจะเห็นป้ายบอกตลอดทางว่าเราลงมาแล้วกี่เมตรจากระดับน้ำทะเล ถ้าจำไม่ผิดเราจะไปสิ้นสุดที่ระดับความลึก 400 เมตร จากระดับน้ำทะเล และเริ่มร้อนขึ้น เรื่อย ๆ พอเริ่มใกล้ถึง เราจะมองเห็นทะเลไกลลิบๆ จากข้างทาง มองเห็นว่ามีการแบ่งสัดส่วนชัดเจนในการทำสัมปทานของบริษัทผลิต เครื่องสำอางทั้งหลาย และการแบ่งเขตระหว่าง 2 ประเทศคือ อิสราเอลและจอร์แดน สิ่งที่เห็นแบ่งเขตกันอยู่เหมือนแปลงนาบ้านเรา เห็นไกล ๆ สีขาว ๆ ตีกรอบเป็นสี่เหลี่ยม คาดว่าน่าจะเป็นเกลือมากกว่าดิน เมื่อสิ้นสุดเส้นทางการดำดิ่งสู่พื้นโลกในจุดที่ต่ำที่สุดแล้ว ทางด้านซ้ายมือที่แรก ที่เราจะเห็นคือ จุดที่ทำสัมปทาน ตามด้วยย่านโรงแรม 5 ดาว ติดทะเลสาบเดดซี และที่หมายของเราคือ Ein Gedi Spa สปาทะเลเดดซี ลักษณะเหมือน คลับเฮาส์แยกตัวออกมาจากย่านโรงแรมประมาณ 3 กิโล เป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัว สำหรับแช่ตัวตีลังกาในน้องกันอย่างเต็มที่ แต่จะเสียค่าเช่าล็อกเกอร์และค่าประกัน ผ้าเช็ดตัว !? กันคนละ 24 เชคเคน เอ่ แต่เราจะได้คืนหลังจากเอา ผ้าเช็ดตัวมาคืนแล้ว แต่ก็จะโดนหักไป คนละ 3 เชคเคน เป็นค่าบริการ ภายในจะมีสระว่ายน้ำธรรมดาอยู่ด้านนอก ส่วนด้านในจะมีจากุซซี่ขนาดใหญ่ ให้บริการแช่ตัวสำหรับคนที่ไม่อยากไปทนร้อนแช่ในทะเลด้านนอก ส่วนมาก จะมีแต่คนแก่ฝรั่งนักท่องเที่ยวที่เดินลำบาก นั่งแช่กันเพียบ เราสาว ๆ ก็ขออกไป สัมผัสบรรยากาศด้านนอกของจริงกันดีกว่า เมื่อเปลี่ยนชุดเตรียมตัวเรียบร้อย เราเดินออกไปเพื่อรอรถ หรือจะเดินไปก็ได้ แต่ระยะทางจากคลับเฮาส์ไปทะเล ไกลมากกกกก แล้วร้อนตับแตก แดดเปรี้ยง ๆ กับอุนภูมิ 40 องศา เราจึงขอเลือกใช้บริการรถดีกว่า.....ฟรีไม่เสียตังค์แถมไม่ต้องลำบากเดิน อิอิ รถที่ว่าเหมือนเอารถไถดินมาต่อพว่งที่นั่ง ลักษณะเหมือนรถราง มีหลายโบกี้ ยาวๆ ดูไปดูมาเหมือนตัวกิ้งกือ มีหลังคา และโอเพ้นแอร์ กินลมชมวิวตามระยะทางที่จะไปทะเลกันได้เต็มอิ่ม แต่ฝรั่งที่ชอบแดดบางคนก็จะเดินไป ถือเป็นการออกกำลังกายและอาบแดด ไปในตัว...แต่สำหรับคนไทยอย่างเราบ้านเรามีแดดเยอะแยะทั้งปีมากพอแล้ว ขอเลือกวิธีทุ่นแรงและระยะทางดีกว่า อิอิ... พอไปถึงชายหาด จะเลียกว่าชายหาดดีมั้ย เพราะไม่เห็นทรายสักเม็ด ก็สิ่งที่เห็น มีแต่เกลือสีขาวแห้งตกผลึกเต็มพื้นไปหมด แถมเดินเท้าเปล่านี่ร้องโอ๊ยยยย เลยที่เดียวพื้นแข็งมาก บวกกับผลึกคม ๆ ของเกลือ ก็เจ็บอ่ะสิคะเนี่ย มองลงไปในทะเล เห็นฝรั่งนอนลอยตุ๊บป่องกันเป็นแถว น้ำใสแจ๋ว เสียคุณพี่เขยบอกว่า อย่าให้น้ำเขาตานะ แสบจนจำไปตลอดชีวิตเลยล่ะ ยังไม่ทันไร ได้ยินเสียงเด็กฝรั่งร้องไห้เอ๊ะอะ บอกว่าน้ำทะเลเข้าตา เอ่อ...มันชักเริ่มอันตรายซะแล้วนะเนี่ย...เมื่อลงไปในทะเลน้ำที่เห็นใสๆ เห็นพื้นจิงๆแล้วข้นเหมือน ออยล์ที่เราไว้ทาผิว เพราะด้วยเกลือที่มีอยู่ มีความเข้มข้นมากกว่าหมื่นล้านตัน โอ้แม่เจ้า เพราะแบบนี้เองเราถึงไม่จม จิงๆ เกลือในทะเลปกติจะมีอยู่น้อยมากทาเทียบกับที่ทะเลเดดซี แบบนีถึงทำให้ ไม่มีสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตใดสามารถอยู่ได้ แถมรสชาดยังเค็มจนขมปี๋ เพราะน้ำที่สะสมอยู่ในที่แห่งนี้ไหลมาจากที่เดียวคือแม่น้ำจอร์แดน และน้ำฝนที่ตกลงมาในแต่ละปี สะสมอยู่ในนี้และไม่สามรถระบายออกไปได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปิดทุกด้าน และอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดของโลก ทำให้เเร่ธาตุ จากภูเขาดินแถบนั้นไหลลงมาสู่ทะเลเมื่อเวลาฝนตก และสะสมทับถมกันมา เป็นเวลา พัน ๆ ปี ทำให้กลายเป็นสถานที่ ที่สะสมแร่ธาตุมากที่สุดในโลก มีคุณสมบัติมากมายในการรักษาผิวพรรณและเค้าว่ากันว่าทำให้ผิวอ่อนกว่าวัย ด้วยเหตุนี้ พระนางคลีโอพัตราจึงชอบเสด็จมา พอกโคลนจากเดดซีบ่อยครั้ง เมื่อสมัยพระเจ้าเฮโรด เป็นใหญ่ในดินแดนนี้ และยังว่ากันว่าเป็นเคล็ดลับ ความสวยงามของพระนางนั่นเอง.......เลยทำให้เป็นที่โจษจันกันไปทั่วโลก คนที่เป็นโรคผิวหนัง ถ้าได้มาแช่บ่อยๆ ก็จะหายได้ คนแก่เลยมักมาแช่กันที่นี่ ปัจจุบัน รัฐบาลเปิดให้บริษัทเอกชนเข้ามาทำสัมปทานเครื่องสำอาง นำเอาเกลือ น้ำเกลือแร่ และโคลนไปผลิตเป็นเครื่องสำอาง ส่งออกไปทั่วโลก โดยเฉพาะโคลนที่มีคุณสมบัติชั้นเริศในการบำบัดผิว เป็นโคลนที่ดีที่สุดในโลก ต้องมาจากที่นี่เท่านั้น....คราวนี้เราจึงกอบโกยไปเต็มที่ ทั้งพอก ทั้งแช่ ทั้งอาบ เอาให้คุ้มค่าแก่การเดินทางตั้งไกลเพื่อมาสัมผัสของจริง แต่เอาเข้าจริงๆ มันร้อนเกินบรรยาย ลงไปแช่ได้ ไม่ถึง 20 นาที ก็ไม่สามารถทนได้ค่ะเลยขอ กลับไปพอกตัวดีกว่า ทางคลับจะมีบริการที่พอกตัว ให้ต่างหาก ไม่ต้องไปขุดโคลนมาพอก เค้าเตรียมให้เต็มกระบะและที่นั่ง เลือกได้ตามสบาย เห็นฝรั่งบางคนโดดลงไปแช่ทั้งตัวแล้วขึ้นมา โอ้ววว....ง่ายและเร็วดี เราก็เลยทำบ้างฮะฮ่าาาา ไม่ต้องเสียเวลาทา เสร็จแล้วทิ้งไว้จนแห้ง แล้วล้างออก แต่ระหว่างรอให้แห้ง รู้สึกคันยิบ ยิบ แสบนิดหน่อย ตรงผิวที่เป็นแผล เพราะเกลือจะเข้าไปรักษา ผิวที่มีปัญหาได้ดี...พอล้างตัวเสร็จ รู้สึกว่าผิวนุ่ม ๆ และเนียนดี จริงๆ เหมือนคำโฆษณาของเค้าน่านแหละค่ะ ถึงว่าคนดังอย่างป้ามาดอนน่า สวยเช้งเพราะชอบมาที่นี่ นี่เองงงงง หลังจากตากแดด แช่น้ำกันจนคาดว่าถ้าเป็นไก่เราคงสุกได้ที่ จึงต้องไปหาอ็อกซิเจนให้กับร่างกายกันหน่อย เราขับรถขึ้นไปยังหมู่บ้านแถว Ein Gedi ที่นี่เป็นสวนสวยงาม เป็นหมู่บ้านคล้ายๆ หมู่บ้าน 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ ของบ้านเรา ชาวบ้านจะมารวมกลุ่มกัน หารายได้จากการขายสินค้าที่ผลิตเอง แล้วเอามาบริหารภายในหมู่บ้าน แต่มีรายได้นิดหน่อยจากส่วนนี้ แล้วพัฒนาหมูบ้านด้วยการสร้างที่พักให้บริการแก่นักท่องเที่ยว และอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพารัฐบาลเลยสักนิด ด้วยความร่วมมือกัน ของทุกคนในหมู่บ้านนั่นเอง.....สุดยอดจิงๆ ค่า หลักจากเสร็จสิ้นภาระกิจ ชมความสวยงามกันเรียบร้อยแล้ว ท้องก็เริ่มเรียกร้อง เราเลยต้องไปที่พัก ตามแผนที่วางไว้คือการไปตั้งแคมป์กันที่ MASADA แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่าพื้นที่เต็มเรียบร้อยแล้ว เราก็เลยต้องไปหาที่ทำบาร์บีคิว กันก่อนจะค่ำ แถวริมหาดย่านโรงแรมกันก่อนที่จะหาที่พักใหม่อากาศก็ยังร้อน อบอ้าวแถม ลมที่หอบมายังเอาไอร้อนมาด้วยอีกต่างหาก เราจึงต้องรีบจัดการ กับกิจกรรมทำอาหารและหม่ำกันให้เรียบร้อยก่อนไปหาที่พัก .......................................... โรงแรมที่พักริมทะเลมีเพียงย่านเดียวและราคาแพงมากมาย เพราะเป็นโรงแรม ระดับ 5 ดาวทั้งหมด คืนนึงก็อยู่ที่หลายหมื่นบาทที่เดียว แต่ก็ยังมีอีก สถานที่นึงที่น่าสนใจ หากไม่ใส่ใจอะไรมากนัก ที่ MASADA จะมีโรงแรมเล็กๆ สำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศ เวลาที่มาเข้าแคมป์ฤดูร้อนที่นี่ เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวขาจร แบบเรา ๆ ได้พักเช่นกันเพียง คืนละ 500 เชคเกน ก็ประมาณ 4,000 บาท สามารถพักได้ 4 คน และตอนเช้าเราสามารถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขา MASADA ได้อีกด้วย เบื้องหลังเข้า MASADA เป็นเมืองโบราณสมัยกษัติย์เฮโรด ลักษณะเป็นป้อมปราการโบราณอยู่บนเขา สามารถเดินเท้าขึ้นไปได้แต่ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ถ้าไม่อยากเดินก็มีบริการกระเช้าลอยฟ้า ใช้เวลา 10 นาที เท่านั้นเอง แต่พอเข้าที่พักทุกคนวางแผนว่า ตอนเช้าเราจะขึ้นไปที่ป้อมปราการกัน จึงรีบนอนพักเอาแรงกันทันที ....คืนนี้ฝันดีที่ MASADA ค่าา [ระยะทางคดเคี้ยว ลงดิ่งสู่จุดต่ำสุดของโลกกับทางที่ค่อนข้างอันตรายสำหรับคนที่ไม่ชินทาง] [ระยะความต่ำที่จุด 200 เมตร จากระดับน้ำทะเล มาได้ครึ่งทางแล้ววว] [ทะเลทรายสีเทา กับหญ้าที่แห้งแล้ง] [เห็นทะเลเดดซีอยู่ ลิบๆ เปนสัญญาณบอกให้รู้ว่าใกล้จะถึงแล้ววว] [ทางไปทะเลเดดซีจากคลับ สามารถเดินไปได้] [สถานีที่รอรถรางรับ-ส่ง] [เมื่อมาถึงสถานี เราก็ต้องเดินลงไปอีกนิดหน่อย ] [ห้องน้ำกลางทะเล นึกถึงเวลาลมพัดแรง ๆ มันจะปลิวมั้ยน้ออ] [เกลือที่ตกผลึกเวลาลมพัดเอาไอเกลือขึ้นมา ก็จะเกาะกันเป็นก้อนแบบนี้] [หาดเกลือ ที่ไม่เห็นเม็ดทราย] [ขยายชัด ๆ เกลือที่เกาะบนพื้นดิน หนามากก ๆ แต่ดูขาวสะอาดทีเดียว] [กระบะโคลน ที่ให้เราสามารถพอกได้ตามสบาย อย่างสนุกสนาน ไม่จำกัด] [ทิวทรรศน์หลังหมูบ้านที่ Ein Gedi ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน] |
Wanryn
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] What ever will be, do what you want to do. and go where you want to go.
Link |