วลีวิไล
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
 
สิงหาคม 2548
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
28 สิงหาคม 2548
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add วลีวิไล's blog to your web]
Links
 

 

ย่ำแดนโสมในวันที่อากาศหนาว...จับขั้วหัวใจ



นับเป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ได้ไปเกาหลีใต้ ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนไปในฐานะนักข่าวที่ได้รับเชิญไปดูงานด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของแดวู มีเทสต์รถด้วยแต่ตอนนั้นขับไม่เป็น (ฮา) เลยได้แต่ดูเขาขับ และทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยการเป็นคนสัมภาษณ์ ส่วนเวลาที่เหลือก็...เที่ยวตามฟอร์ม แฮ่ม!

มาคราวนี้ไปในฐานะคุณครูไปดูงานด้านการศึกษา แต่เดี๋ยวลองอ่านดูละกันนะกั๊บว่ามันได้เนื้อได้หนังกับการดูงานมากน้อยแค่ไหน อิอิ

ครูเดินทางช่วงวันที่ 11-16 มีนาคม 2548 วันที่ 11 ไม่นับเพราะว่าเป็นตอนกลางคืนอยู่บนเครื่องบิน ดังนั้นก็จะมีเวลาอยู่ที่เกาหลี 5 วันเต็มๆ ครับผม

ไปดูงานคราวนี้เป็นคณะใหญ่มากกกกกกกก ย้ำว่าใหญ่มากเพราะว่าไปทั้งหมด 37 คน เรียกว่าถ้าเครื่องบินตกผู้บริหารจะหายไปครึ่งมหาวิทยาลัย (ฮา) และผู้บริหารคณะนิเทศศาสตร์แทบไม่เหลือเลย (ฮากว่า) เมื่อไปกันก๊วนใหญ่เราก็ใช้บริการบริษัททัวร์ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน รีเจนซี่แทรเวลแอนด์เอดูเคชั่น เจ้าเก่า ซึ่งมีเจ้าของคนเดียวกับเจ้าของมหาวิทยาลัยนั่นเอง ทัวร์ลีดเดอร์ของเราน่ารักมากอัธยาศัยดี ทำให้การเดินทางคราวนี้ค่อนข้างเป็นกันเอง (กับคนนำทาง) แต่เนื่องจากไปกันเยอะจาก 4 หน่วยงานในมหาวิทยาลัย ย่อมต้องมีกลุ่มเล็กในกลุ่มใหญ่เป็นธรรมดา กลุ่มของครูมี 4 คน เป็นก๊วนผู้มีอายุน้อยที่สุดในทริปนี้แต่ว่าซ่าที่สุด เอิ๊กๆๆ

ครั้งนี้เราบินไปกับสายการบิน ASIANA ซึ่งเป็นสายการบินเกาหลี ออกเดินทางประมาณ 5 ทุ่ม วันที่ 11 มีนาคม ใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมงฮับ ไปถึงสนามบินอินชอนเกือบ 6 โมงเช้าวันเสาร์ที่ 12 มีนาคม (เวลาต่างกัน 2 ชั่วโมง) อุณหภูมิสุดยอดมาก ลบ 7 องศาเซลเซียสครับ งือ....ห น า ว ม า ก





วันแรก

โปรแกรมวันแรกเนื่องจากเป็นวันเสาร์ก็เลยเริ่มต้นด้วยการเที่ยว อิอิ ใครนะช่างเลือกวัน... หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าที่สนามบินแล้วก็เดินทางเข้าเมือง (สนามบินนานาชาติของเกาหลีใต้ ชื่อว่า อินชอน อยู่นอกเมืองออกมาครับ เขาถมทะเลสร้างสนามบินเหมือนสนามบินเช็คแล็บค็อกของฮ่องกงเนื่องจากว่าในตัวเมืองโซล ไม่มีที่จะขยายแล้ว มีแต่ตึก ตึก และตึก อย่างแท้จริงละจ้า)

การเข้าเมืองเกาหลีใต้ค่อนข้างเข้มงวดที่ด่านตรวจ เขาจะสุ่มสัมภาษณ์คนที่เป็นต่างชาติ ในคณะของครูก็มีคนโดนเรียกสัมภาษณ์ พอบอกว่ามาดูงานมหาวิทยาลัยที่นี่ เขาก็ถามต่อว่ามหาวิทยาลัยอะไรบ้าง ดูกี่วัน มากันกี่คน งานนี้ละจ้ะ ยาวเลย ซักฟอกกันกว่าครึ่งชั่วโมง ขนาดคนตอบเป็น ผศ.ดร.นะเนี่ย เขาใส่ไม่ยั้งเลย แต่ในที่สุดก็รอดมาได้ในขณะที่คนอื่นไปนั่งรอกันจนเมื่อย เอิ๊กส์

หลังผ่านด่านมหาโหดมาแล้ว เราก็ได้พบกับไกด์ท้องถิ่น ชื่อน้องบอย เขาก็ชี้แจงว่าการเข้มงวดนี่เป็นเพราะว่ามีคนแอบเข้าเมืองมาเป็นโรบินฮู้ดมากขึ้นทำให้ทางการเกาหลีเข้มงวดมากขึ้น เมื่อไม่กี่วันก่อนที่คณะของเราจะไปถึงก็มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของเขาถูกสั่งจำคุกเพราะปล่อยให้มีคนหนีเข้ามาในประเทศ แป่วววววว จะไปรู้ได้ไงฟระว่าไอ้หมอนี่มันเข้ามาแล้วจะไม่ยอมกลับ น้องบอยบอกว่าเป็นหน้าที่ที่เขาต้องสกรีนคนไม่งั้นก็จะโดนลงโทษ อันความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นกับคณะของเราด้วยประการฉะนี้แล

เล่านิดนึงว่าน้องบอยที่เป็นไกด์ท้องถิ่นนี่เป็นคนไทยซึ่งไปทำงานไกด์ที่เกาหลี โดย อสท.เกาหลีคัดเลือกไปเพื่อที่จะได้คุยกับนักท่องเที่ยวไทยรู้เรื่อง ไม่งั้นก็ต้องใช้ไกด์ท้องถิ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้ซึ่งหาไม่ได้ง่ายนัก คนเกาหลี 95% ของประเทศพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ คนที่พูดได้ก็เป็นนักการศึกษา นักธุรกิจ นักศึกษาในโปรแกรมอินเตอร์ และอื่นๆ อีกไม่มากนัก น้องบอยก็เลยมีโอกาสเข้าไปทำงานที่นั่น

นอกจากน้องบอยที่จะร่วมคณะกับเราแล้วก็จะมี “มิคกี้” เป็นช่างภาพชาวเกาหลี มาจากบริษัทเดียวกับน้องบอยคือเอเย่นต์ท้องถิ่นที่โน่น คนนี้อัธยาศัยดี แต่ว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ชอบเดินตามกลุ่มครูก็เลยใช้ให้ถือเสื้อถือของซะให้เข็ด ฮา

กลับมาเรื่องการเดินทาง...

ระหว่างทางที่ออกมาจากสนามบิน น้องบอยก็เริ่มเล่าเรื่องราวของเกาหลีให้ชาวคณะรู้จักเป็นพื้นฐานคร่าวๆ ฟังจากไกด์แล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่คนเกาหลีคล้ายคนญี่ปุ่น (แม้ว่าจะเป็นคู่อริกันมายาวนาน) เขาจะไม่ทำงาน 3D คือ Difficult , Dirty and Dangerous (งานที่ยากลำบาก งานที่สกปรก และงานที่เสี่ยงอันตราย) แต่งานที่ทำให้คนเกาหลีมีธุรกิจใหญ่โตระดับโลกอยู่ตอนนี้ก็เป็นงาน 3D เหมือนกัน ได้แก่ Digital , Drug and DNA (อุปกรณ์/เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ ยาซึ่งในที่นี้คือโสมเกาหลี และพืชตัดต่อพันธุกรรม) ดังนั้นงานที่คนไทยไปทำในเกาหลีก็จะมีงานในโรงงานและงานเกษตรเป็นหลักเพื่อทดแทนแรงงานเกาหลีที่ไม่ชอบงานหนัก ตอนนี้แรงงานที่ถูกกฎหมายมีราว 2 พันคน แต่แบบผิดกฎหมายนี่มีมากกว่า 2 หมื่นคนเลยเชียว

อัตราแลกเปลี่ยนเงินไทยกับเกาหลี วันที่ไปนี่ประมาณ 38-40 บาท ต่อ 1,000 วอน รายได้จากการทำงานในเกาหลีเมื่อคิดเป็นเงินไทยค่อนข้างสูง อย่างคนที่ทำงานในฟาร์ม มีหน้าที่เอาข้าวให้ไก่กินเงินเดือนประมาณ 4 หมื่นบาท พวกที่นั่งฟังไกด์ก็ร้องกรี๊ดดดด อาจารย์ผู้หญิงขอลาออกไปเลี้ยงไก่ กริกริ คนที่เป็นเจ้าหน้าที่เปิดประตูยืนหน้าโรงแรมนี่ก็ประมาณเดือนละ 4.5 หมื่น แว้กกก อาจารย์ผู้ชายขอลาออกไปยืนหนาวหน้าโรงแรม เอิ๊กๆๆๆ

ฟังดูแล้วอาจรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก แต่อย่าลืมเรื่องค่าครองชีพ ที่นี่ค่าครองชีพสูงติดอันดับ 3 ของโลก (อันนี้ไกด์บอกนะฮับ ถูกผิดโทษไกด์ลูกเดียว) ของแพงมากๆๆๆๆ ไม่มีแบบถูกๆ เหมือนสมัยที่ครูเคยไปเที่ยวเมื่อ 7 ปีก่อน ตอนนั้นระบบค่าเงินของไทยยังไม่เปลี่ยนจากตะกร้าเงินมาเป็นลอยตัว คิดเป็นเงินไทยแล้วก็รู้สึกว่ามันถูกจริงๆ ตอนนี้ซื้ออะไรต้องเอาเครื่องคิดเลขไปด้วยเดี๋ยวเป็นลมตอนจ่ายตังค์


ไปถึงที่หมายแรกเขาจอดรถปล่อยให้ลงก็ลงไปเดินที่ริมทะเลรู้สึกว่าหนาวมากเพราะว่ามีลมด้วย ลงไปแล้วเขาให้แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิวเป็นสัญญาณว่า “ฉันมาแว้ว” ครูไม่ทันได้เตรียมตัวเลยทนอากาศหนาวไม่ไหว แหะแหะ เลยไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองไว้ ถ่ายมาได้แต่คุณลุงคนในรูปนี่อะฮับ ร้านขายอาหารแบบนี้ใครที่ดูในหนังเกาหลีคงได้เห็น เห็นอยู่ริมถนนแบบนี้เขาติดฮีตเตอร์ด้วยนะจะบอกให้ ไกด์เล่าว่ารายได้ดีมากๆๆๆ เพราะว่าคนนิยมมานั่งรับประทานกินบรรยากาศมากกว่ากินอาหาร โดยเฉพาะตอนกลางคืนของที่ขายในร้านแบบนี้จะแพงมาก คิดเป็นเงินไทยแต่ละมื้อนี้ก็หลายพันบาท บางทีก็เป็นหมื่นเชียวหนา อย่าทำเป็นเล่นไป





หลังจากที่เรากลับขึ้นมาจากริมทะเลหนาวๆ (แถมไม่สวย) ก็เกิดมีคนเอะใจว่า เอ๊ะ มีใครในหมู่พวกเราหายไปไหนหว่า เช็คกันไปมาปรากฏว่ามีอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งหายไป เอิ๊กส์ เกิดอะไรขึ้นคร้าบ หายไปตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย งานนี้ที่กำลังตื่นเต้นกับอากาศหนาว ก็กลายเป็นแตกตื่นกับคนหาย หายที่ไหนไม่หายมาหายที่เกาหลี งานนี้ทั้งไกด์ท้องถิ่น และทัวร์ลีดเดอร์ต่างก็หน้าซีด เพราะว่าลืมนับตั้งแต่ตอนขึ้นรถ ก็โทรศัพท์เช็คกันให้วุ่นวาย สุดท้ายเราก็พบว่าลืมท่านอาจารย์ไว้ที่สนามบิน...นั่นเอง ฮา

หลังจากที่หายมึนกับการตามล่าหาสมาชิก เราไปที่อนุสาวรีย์นายพลดักลาส แม็กอาเธอร์ ผู้มีบทบาทอย่างมากในสงครามเกาหลี ก็ลงมาถ่ายรูปกันตามระเบียบ (ทำไมไม่ตามคนอื่นมั่ง ตามแต่ป้าเบียบ อิอิ)


รูปปั้นนายพล


รูปปั้นอีกที แบบย้อนแสง ชอบที่ยอดเสามีเรือใบ เก๋มาก



มุมนี้สวยดีอยู่ใกล้ๆ รูปปั้น แต่ไม่ทราบเขาเขียนว่าอะไร



อาหารกลางวันมื้อแรกเป็นหมูย่างเกาหลี เวลาที่จะย่างนี่เขาจะเอาหมูมาเทเป็นกองๆ แล้วก็เอาหอมหัวใหญ่หั่นตามยาวมาเททับเป็นกองๆ รอให้สุกแล้วค่อยกลับไปกลับมา น้ำของหมูกับหอมใหญ่มันจะออกมารวมกัน หอมหวานอร่อยมากคร้าบ มันจะต่างจากหมูกระทะของไทยอย่างสิ้นเชิง เวลารับประทานเขามีผักสดกับสาหร่ายสดสำหรับเป็นเครื่องเคียง และที่ขาดไม่ได้ทุกมื้อนับแต่มื้อนี้ก็คือ “กิมจิ” สุดยอดความภูมิใจของชาวเกาหลีเขาละจ้า

สำหรับข้าวของเกาหลีเขาก็จะหน้าตาคล้ายข้าวญี่ปุ่น นุ่มและจับกันเป็นก้อน เวลาทานจะใช้ตะเกียบโลหะคู่กับช้อนยาวซึ่งยาวมากๆ ยาวเท่าตะเกียบเลยอ่า เป็นลักษณะเฉพาะของคนเกาหลี ตอนแรกอาจจะเงอะงะเวลาใช้แต่หลายวันเข้าก็ชักจะชิน




อิ่มแล้วก็ไปเที่ยวต่อ ไฮไลต์ของวันแรกคือบลูเฮาส์ (BLUE HOUSE) บ้านประธานาธิบดี และพระราชวังเคียงบ็อก (GYEONGBOKGUNG) ซึ่งใครมาเกาหลีแล้วไม่ได้เข้ามาดูวังนี้คงจะเชยสิ้นดี เนื่องจากทุกโปรแกรมทัวร์ที่มากรุงโซลเขาก็พามาทั้งนั้น (ยกเว้นตอนที่ครูไปเกาหลีครั้งแรก ไม่ได้เข้าวังเพราะหน้าไม่สวยพอ เอ๊ยม่ายช่าย คราวนั้นมีโปรแกรมไปเมืองพูซานกับเกาะอ็อกโปเป็นหลักเลยได้แค่ซื้อของที่โซล) ไกด์ก็เล่าเรื่องสมัยโบราณแบบจริงมั่งมุขมั่ง ช่วงนี้ไม่ค่อยได้จดแล้วครับต้องรีบถ่ายรูปก่อนเดี๋ยวไม่ทัน แหะแหะ งั้นดูรูปละกันเนาะ

บลูเฮ้าส์นี่ถ่ายรูปไม่ทันเพราะว่าเขาไม่ให้เข้าก็ได้แต่นั่งรถวนไปชม ก็มีต้นไม้เยอะมากแต่ว่าช่วงที่ไปนี่เป็นช่วงรอยต่อหน้าหนาวกับใบไม้ผลิ มันก็เลยยังไม่ผลิ (ฮา) มีแต่กิ่งไม้แห้งๆ ก็สวยไปอีกแบบ แบบแห้งๆ

อนุสาวรีย์นกฟีนิกซ์ ซึ่งคนเกาหลีถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตอมตะ เหมือนกับคนเกาหลีที่ไม่ว่าจะเจออุปสรรคปัญหาอย่างไรก็ยังอยู่มาได้จนทุกวันนี้ ซึ่งในช่วงที่อยู่ที่เกาหลีก็พบว่านกฟีนิกซ์นี่ไปโผล่อยู่ตามภาพวาดในสถานที่ต่างๆ รวมทั้งของที่ระลึกของเกาหลีด้วย




ฝั่งตรงข้ามกับอนุสาวรีย์ มีศาลาซึ่งแขวนกลองเอาไว้ให้ประชาชนตีเพื่อร้องทุกข์ต่อกษัตริย์ เหมือนสมัยพ่อขุนรามบ้านเราที่เปิดให้ประชาชนสั่นกระดิ่งหน้าวัง


ประตูวัง



ป้าย (จะบรรยายทำไมเนี่ย)



รูปนี้ไม่ต้องบรรยาย แฮ่..



สระน้ำบริเวณพลับพลากลางน้ำ มุมนี้ดูสดชื่นหน่อย



ท้องพระโรงที่ใช้ว่าราชการ



ตำหนัก...



นี่ก็ด้วย... หนักเหมือนกาน



กษัตริย์จะนั่งตรงนี้เวลาออกว่าราชการ ถ่ายซูมไกลภาพออกจะเบลอๆ ข้อจำกัดหนึ่งของกล้องดิจิตัล ครับ (โทษกล้องซะงั้น)



ออกจากวังแล้วคุณน้องไกด์พาไปที่ถนนศิลปะ เป็นจุดที่ค่อนข้างดูดีมีระดับ ถนนนี้จะมีแต่ร้านที่ขายงานศิลปะด้านต่างๆ เช่น ภาพวาด งานฝีมือ ของแต่งบ้าน ของเก่า ฯลฯ ราคาค่อนข้างแพงแต่ว่าของที่นำมาขายนี่ค่อนข้างเก๋ มีรสนิยม



ร้านขายภาพเขียน



Bookmark สวยมากๆ



ตุ๊กตาน่ารักมาก แต่ว่าแพงครับ



ร้านขายขนมมีตลอดทั้งถนนด้านซ้ายขวา น่าหม่ำมั่กมาก



เดินจากต้นถนนจนถึงปลายทาง เราก็มาเจอรถที่รอรับอยู่แล้ว พาไปซื้อของที่ตลาดทงแดมุนซึ่งเป็นตลาดขายส่ง ส่วนใหญ่ก็ขายเสื้อผ้า ถุงน่อง รองเท้า กระเป๋า ฯลฯ ประมาณตลาดโบ๊เบ๊บ้านเรา ที่นี่เขารับเงินสดไม่รับบัตรเครดิตเพราะงั้นใครที่จะไปซื้อของก็ต้องแลกเงินวอนไปเยอะๆ จะซื้อของก็ต้องต่อราคาแบบกล้าๆ หน่อยเพราะเขาบอกผ่านเยอะมั่กมาก การต่อราคาก็ง่ายมากเพราะเขาพูดกับเราไม่ค่อยรู้เรื่อง แม่ค้าก็จะใช้เครื่องคิดเลขกดบอกราคา เราอยากได้เท่าไหร่ก็กดราคาที่เราต้องการ แล้วแต่ว่าเขาจะให้หรือไม่ใช้ คนที่นี่จะให้เท่าไหร่เขามีในใจแบบชัดเจนมาก ถ้าไม่ได้นี่เขาจะไม่พูดต่อรองเลย หันหลังกลับไม่สนใจเราอีก (ทั้งที่เขาขายแพงกว่าร้านข้างๆ แบบเห็นๆ แกก็ไม่สน ตูจะขายเท่านี้แหละ เอิ๊กๆๆ)

มีอยู่ร้านนึงเพื่อนครูจะซื้อถุงมือ อาแปะเจ้าของร้านท่าทางเจ้าชู้มาก เดินมาแตะตัวบอกว่าซื้ออะไรคนสวย (ฮา) พอบอกว่าจะซื้อถุงมือ ชี้คู่ที่ต้องการเขาก็บอกว่า 2,000 วอน (80 บาท) เจ๊เราอยากได้ถูกว่านี้ จะต่อเหลือ 3 คู่ 5,000 วอน อาแปะกำลังลังเล ปรากฎว่าเมียอาแปะเดินมาถามว่าซื้ออะไร พอชี้ไปที่สินค้าป้าแกบอก 4,000 วอน แว้กกกกก อะไรฟระ สามีเพิ่งบอก 2,000 อยู่หยกๆ ครูก็เถียงว่าเมื่อกี้บอก 2,000 ป้าหันไปทำตาเขียว เดินเข้าไปส่งเสียงช้งเช้ง (คาดว่าอาแปะโดนเมียด่า กร๊าก) แล้วอาแปะก็เดินหน้ามุ่ยออกมาบอกว่าอันนี้ 4,000 วอน ไอ้ที่ 2,000 น่ะ เป็นอีกอันนึง แกชี้ไปที่ถุงมืออีกแบบที่วางอยู่ใกล้ๆ (ซึ่งพวกเราลงความเห็นว่ามันเป็นถุงมือสำหรับกรรมกร ฮา) สรุปแล้วก็เลยไม่ได้ซื้อเพราะราคาขึ้นตามอุณหภูมิคุณป้า หลังจากที่เดินไปดูจนทั่วในรอบแรกแล้วกลับมา พบว่าร้านอาแปะปิดไปซะแล้วทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาปิด ว่าจะตัดใจมาซื้อถุงมือแสนแพงซะหน่อย สงสัยวันนั้นอาแปะโดนภรรยาอัดน่วมแน่ๆ เจ้าชู้ดีนัก กร๊ากกก

หลังจากเดินไปเดินมากวนประสาทคนขายทั่วทั้งตึกแล้วก็พบว่าได้เสื้อโค้ตมาตัวนึงกับลองจอห์นตัวใหม่ ซึ่งเสื้อกับลองจอห์นที่เอาไปจากเมืองไทยก็หนาอยู่แล้วแต่เกรงว่าจะไม่พอเพราะได้ข่าวว่าวันรุ่งขึ้นอุณหภูมิจะลดต่ำเหลือ ลบ 12 องศา งือๆๆ แค่นึกถึงก็สยองแล้ว

ออกจากตึกขายเสื้อผ้ามาที่ตึกจุดนัดพบก็เห็นว่าคนอื่นๆ เขาก็ได้ของมาไม่กี่อย่าง เนื่องจากเวลาที่ให้เดินนี่แค่ 2 ชั่วโมง (แค่ต่อราคาและทะเลาะกับเจ้าของร้านก็หมดเวลาแล้ว อิอิ)

แล้วเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง แฮ่...ไกด์พาไปทานอาหารเย็น ซึ่งเป็นของดีที่เขาภูมิใจเสนอ “ไก่ตุ๋นโสม” ร้านที่ไปนี่เขาจะขายไก่ตุ๋นโสมอย่างเดียว ฝีมือดีมากๆ ราคาคิดเป็นเงินไทยก็ตัวละ 500 บาทครับ

ดูกันจะจะ...ที่เบลอๆ นั่นคือควันจากไก่นะครับ เสิร์ฟตอนที่ร้อนมากๆ จะได้อร่อย



ไก่ตุ๋นโสมที่ว่านี้ เขาจะเอาไก่อายุ 45 วัน มาทำความสะอาดแล้วยัดไส้ด้วยข้าวเกาหลี โสมอายุ 1 ปี และเม็ดพุทราแห้ง (1 เม็ดพอดิบพอดี ไม่ต้องนับเลย) ตุ๋นจนสุก ในหม้อดิน 1 ตัว 1 หม้อ เวลาเสิร์ฟจะเสิร์ฟทั้งตัว รับประทานกับเส้นสีขาวๆ หน้าตาคล้ายขนมจีนบ้านเราแต่ว่าเหนียวนุ่มแนวๆบะหมี่ เวลาทานนี่เขาจะมีเหล้าโสมให้คนละแก้ว ถ้าจะให้ได้รสชาติก็เอาเหล้าเทลงไปในหม้อด้วย แล้วแต่ว่าชอบมากหรือน้อย ครูก็ใส่หมดแก้วเลย ฮี่ๆๆ

ขออนุญาตหม่ำก่อนน้า...



สำหรับเรื่องโสม เกาหลีเป็นประเทศที่สามารถปลูกโสมแล้วออกมาคุณภาพดี ประเทศอื่นๆ ก็มีญี่ปุ่น จีน รัสเซีย(ที่ไซบีเรีย) อเมริกา แคนาดา เป็นต้น

มีการวิจัยพบว่าโสมเกาหลีที่คุณภาพดีที่สุดในทางยาจะเป็นโสมอายุ 6 ปี มากกว่านี้ธาตุบางอย่างจะเริ่มลดลงหรือเสื่อมไป แต่ถ้าอายุน้อยก็จะร้อนกินแล้วเดี๋ยวธาตุไฟแตกซ่าน เวลาดูว่าโสมมีอายุกี่ปีก็จะดูที่กิ่งมัน ถ้าต้นโสมมี 1 กิ่งก็อายุ 1 ปี ... 2 กิ่ง อายุ 2 ปี ไล่ไปเรื่อยๆ พออายุ 4 ปีโสมจะเริ่มมีดอก อันนี้ก็จะช่วยให้รู้ว่าถูกหลอกหรือเปล่าเวลาที่มีคนมาขายโสม

ที่เกาหลีจะมีการคัดเกรดโสมเป็น 3 ระดับ คือ ระดับเกรดเอ บี และซี โสมเกรดเอเป็นโสมที่รัฐบาลจะการันตีให้ขายเป็นยาได้ ก็อย่างที่เราเห็นส่งออกมาขายต่างประเทศและมีร้านขายโสมของรัฐบาลที่เปิดขายเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งแบบอบน้ำผึ้ง แบบน้ำดำๆ ข้นๆ เอาไว้ชง แล้วก็มีแบบเป็นผงด้วย ราคาค่อนข้างสูง อย่างที่ไปดูนี่เขาขายแพ็คละ 6 กล่อง ราคา 12,000 บาท ทานได้ 6 เดือน มีคนขายเยอะมากรวมทั้งมีคนไทยเป็นพนักงานแนะนำสินค้าสำหรับนักท่องเที่ยวไทยด้วย เสียดายเขาห้ามถ่ายรูปสินค้าในร้านเลยไม่ได้รูปมา เมื่อไม่ให้ถ่ายรูปก็เลยงอน..ไม่ซื้อซะเลย ฮี่ๆๆ อ้างไปโน่น จริงๆ คือไม่ทราบว่าจะทานไปทำไมกลัวอายุยืนเกินไปไม่มีคนเลี้ยงตอนแก่ ฮา

สำหรับโสมเกรดบีก็เอาไปทำเครืองดื่ม เช่น ชาโสม (ซื้อมาจากห้างฮุนได มีหลายแบบมากๆ เอาไปฝากแม่ฮับ) ส่วนเกรดซีเอาไปทำเครื่องสำอาง เช่น พวกโฟมล้างหน้า ขัดหน้า พอกหน้า (อันนี้ซื้อมาจะใช้เองแต่ยังไม่ได้ลองใช้เลย เหอเหอ)

หมดเรื่องโสมจะเล่าอะไรต่อดีหว่าเอาเป็นว่ากลับโรงแรมละกัน พักที่โรงแรม RAMADA SEOUL เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ซึ่งโอเคมากๆ ห้องนอนใหญ่ อุปกรณ์เพียบ มีทีวีให้ดูแต่ว่าฟังไม่รู้เรื่อง เลยดูแต่ CNN ที่ชอบใจมากคือห้องน้ำ หรูหราไฮโซสุดๆ มีดีไซน์เก๋มาก (แล้วทำไมไม่ถ่ายรูปมานะเนี่ย แง่ม)



วันรุ่งขึ้น

ตื่น 7 โมงเช้า นัดออกจากโรงแรม 8 โมงเพื่อไปทานข้าวข้างนอก จากโรงแรมไปร้านอาหารใช้เวลานิดเดียว มื้อนี้เราจะทานกันแบบบุฟเฟ่ต์บนเรือริมแม่น้ำฮัน ได้บรรยากาศสดชื่นและหนาวสมกับที่อุณหภูมิลบ 12 จริงๆ จ้า

ร้านสวยเนอะ



มื้อเช้านี้ก็อร่อยมากๆ ในจานจะเป็นเต้าหู้สดราดน้ำจิ้มอะฮับ (ความตริงมันเป็นน้ำจิ้มหมูแต่ครูไม่รู้เอามาราดเต้าหู้ แหะแหะ) ที่เหลือจะเป็นผัดผักและกิมจิ (อีกแล้วจ้า) ส่วนถ้วยเล็กๆ นั่นเป็นซุปโสมซึ่งอร่อยมากไม่ขมเลย สังเกตช้อนกับตะเกียบจะยาวมาก แต่ละร้านก็จะมีลายสวยงามต่างกันไป ร้านที่ขายไก่ตุ๋นเมื่อคืนลายสวยสุดเลยอ้ะ แต่ที่ครูซื้อมาก็สวยนะครับ แหะแหะ ชมตัวเองซะงั้น เห็นอาหารในจานไม่มากนักแต่ว่าทาน 3 รอบอะครับ เอิ๊กส์




เสร็จจากอาหารเช้าเราออกไปนอกเมือง (จำชื่อเมืองไม่ได้ขออภัยครับ แหะแหะ) ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็ไปถึงที่หมาย เป็นกำแพงเมืองโบราณของเกาหลีซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือซากความยิ่งใหญ่ของเขาอยู่ ดูรูปเลยละกัน เนาะ

เข้าไปถึงก็จะถ่ายรูป ปรากฏว่าจุดที่ยืนอยู่นั่นเป็นสนามที่เขาให้ซ้อมยิงธนู (ที่โล่งตรงขวามือ พื้นสีน้ำตาลเป็นพื้นทราย) เกือบเอาตัวไปเป็นเป้าธนูซะแหล่ว แฮ่




ประตูเมืองครับ...



ขึ้นมาเดินบนกำแพง หนาวกว่าเมื่อวานแต่ทรมานน้อยกว่า เพราะใส่เครื่องกันหนาวกันมาเพียบ



ต้องสวมโค้ตและหมวกตลอดเวลาเพราะลมแรงมาก ข้างในกางเกงยีนใส่ลองจอห์นสองชั้นก็ยังหนาววววววว



ชุดทหารโบราณ ขอถ่ายรูปก็ไม่ว่า น่ารักมาก



จากกำแพงเมืองเก่า ไปดูหมู่บ้านวัฒนธรรม ที่นี่จะเป็นที่ตั้งดั้งเดิมของคนพื้นเมือง แล้วทางการก็เข้ามาดูแลรักษาบ้านบางส่วนที่เป็นของเก่า และสร้างบ้านจำลอง วิถีชีวิตจำลอง ให้นักท่องเที่ยวและชาวเกาหลีได้ศึกษาวัฒนธรรมโบราณ

ในภาพนี้เป็นร้านขายน้ำเต้าเจี้ยวหรืออะไรประมาณนี้ครับ ชิมแล้วมันออกเค็มๆ



หนูน้อยน่ารักมากๆๆๆ น่าจะอายุสักขวบเศษๆ



อีกรูปนะครับ ยิ้มหวานจังเลยลูก



ยืนถ่ายภาพนี้บนสะพาน เป็นเหมือนสวนสนุกอะครับ น้ำบริเวณริมๆ เป็นน้ำแข็งเพราะว่าหนาวมาก



บนกองภูเขาหินนี่ สังเกตตรงเชือก จะมีกระดาษสีขาวๆ ผูกอยู่เต็มไปหมด ชาวเกาหลีจะเขียนคำขอในเรื่องต่างๆ แล้วผูกที่เชือก คนไปเที่ยวก็เลยเขียนมั่ง เพี้ยงงงงงง หายป่วยเร็วๆ



เป็นรูปหน้ากากของคนพื้นเมืองเขาทำกัน ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร พอดีไกด์หายตัว เอิ๊กส์



อุปกรณ์เกี่ยวกับการตำข้าว



วัวเกาหลี ต่างจากวัวไทยตรงไหน? ก็มีขนเยอะมากหนามากเอาไว้ป้องกันความหนาวไง ตอนที่ไปถ่ายรูปนี่พ่อคุณเขาคงหงุดหงิดแล้วหละ มายุ่งกะตรูอยู่ได้ แง่ม



กระท่อมที่น้องวัวอยู่เมื่อกี้



บ้านโบราณ ข้างในจัดแสดงห้องนอน ห้องทานข้าว ฯลฯ จากที่ไกด์เล่าให้ฟัง ก็รู้สึกว่าความเชื่อของคนเกาหลีกับคนญี่ปุ่นคล้ายกันอีกอย่าง คือ เรื่องที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในบ้าน จะทานข้าวก็ต้องให้ผู้ชายทานก่อน เหลือเท่าไหร่ผู้หญิงค่อยทาน ถ้าไม่เหลือผู้หญิงก็อด (อ้าว ได้ไงเนี่ย) ห้องนอนของผู้ชายก็จะอยู่ที่ที่อบอุ่นที่สุด ไล่มาเรื่อยๆ จากลูกชาย ลูกสาว คนที่เป็นภรรยานี่จะนอนที่ที่หนาวที่สุดของบ้าน ฟังแล้วอยากจะบ้าตาย

บ้านจ้ะ



ร้านขายภาพวาดพื้นเมืองเป็นของที่ระลึก



ร้านถ่ายภาพสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากมีรูปตัวเองในชุดประจำชาติเกาหลี



หนูน้อยเกาหลีที่กำลังรอคุณแม่ซื้อบัตรเข้าชมหมู่บ้านวัฒนธรรม พี่ดูเสร็จแล้ว กลับก่อนนะน้อง...



จบจากหมู่บ้านนี้เราก็กลับเข้าเมืองฮับ ไปที่ตลาด อีเตวอน ซึ่งเป็นตลาดขายสินค้า copy เกรดเอของเกาหลี ประมาณว่ามีกระเป๋าและเครื่องหนังต่างๆ ที่ copy จากยี่ห้อดัง ที่ขึ้นชื่อมากๆ ก็จะเป็นหลุยติงต๊อง กับ กุ๊ดจี่ เหมือนไม่มีผิดเพี้ยน ราคาไม่แพง ต่อราคาได้ คนขายพูดไทยชัดแจ๋ว แถมใช้บัตรเครดิตได้ด้วย ร้านที่ขายของพวกนี้จะเป็นร้านใต้ดินคือต้องเดินลงไปในซอกตึกแล้วเข้าไปดูในห้องที่ลึกลับหน่อย เพราะเดี๋ยวตำรวจจะจับ ดังนั้นริมถนนก็จะเป็นเหมือนย่านช้อปปิ้งทั่วๆไปที่ขายเสื้อผ้าทั้งแบรนด์เนมและโนเนม ของที่ระลึก และของรับประทานมากมาย

จากอิเตวอนเราก็ไปทานอาหารค่ำกันที่ร้านอาหารจีน มื้อนี้ลืมเอากล้องลงไปด้วย (มัวแต่หิว) แง้ว ไม่มีรูปมาฝากเลยอ่า แต่ประมาณว่าอาหารอร่อยมาก มีกับข้าว 8 อย่างวางเต็มโต๊ะแต่ว่าไม่มีให้เติมหมดแล้วหมดเลย ระหว่างที่รับประทานอย่างหนุกหนาน เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเขาทานเสร็จกันหมดแล้ว โอ้ พระเจ้าช่วยด้วย เพิ่งทานได้สามชามเองง่า หมดซะแล้ว “ยังไม่อิ่มเลย” อุ๊บ...พูดคำนี้ออกไปคนมองกันทั้งกรุ๊ป แหะแหะ อิ่มก็ได้ (กัดฟันสุดๆ) พี่ทัวร์ลีดเดอร์บอกว่ามีบริการ กาแฟและบะหมี่รอบดึก ครูเป็นคนเดียวที่ออร์เดอร์บะหมี่ แฮ่ ... นับแต่มื้อนั้นมา ครูก็เป็นที่จับตาของคนในทริปว่ามื้อนี้มันจะกินกี่จาน เอิ๊กส์




วันต่อมา

หลังจากที่เที่ยวมาสองวันแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเวลาที่จะต้องทำงานกันบ้าง เช้าวันจันทร์เป็นวันที่ต้องตื่น 6 โมงเช้าเพื่อลงมาทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ที่ห้องอาหารของโรงแรม ไม่ออกไปทานข้างนอกเพราะว่าต้องรีบไปมหาวิทยาลัยที่นัดหมายไว้ให้ทัน 10 โมง ซึ่งวันนั้นก็ไปถึงก่อนเวลานิดหน่อย เรียกว่ากำลังดี

มหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ไปดูงานนี่ชื่อว่า SOGANG UNIVERSITY เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแคทอลิกเบส คล้ายๆ เอแบคบ้านเรา ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 4 ของเกาหลี ตั้งอยู่บนภูเขาเวลาขึ้นไปนี่ก็เดินเมื่อยหน่อย คือทุกมหาวิทยาลัยจะเป็นแนวนี้หมดเพราะโซลเป็นเมืองที่อยู่บนเขา




ที่นี่ไอเทคมาก เรียนไม่ทันก็มานั่งดูครูบรรยายย้อนหลังได้




นักศึกษากำลังเขียนป้ายประท้วง เอ๊ย ม่ายช่าย เขียนป้ายเกี่ยวกับกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ แฮ่...



ในส่วนของคณะนิเทศศาสตร์เขาจะเก่งทางด้านวิทยุโทรทัศน์ในระดับปริญญาตรี และภาพยนตร์ ในระดับปริญญาโท อุปกรณ์สุดแสนจะไฮเทคโดยเฉพาะห้องเธียเตอร์ใหญ่มาก แล้วก็เปิดให้บุคคลภายนอกใช้บริการเป็นหลัก ให้นักศึกษาใช้เพื่อการทำกิจกรรมและการฝึกฝน ช่วงที่ไปเยี่ยมชมก็เป็นช่วงที่กำลังจะมีการแสดงของนักร้องดังที่นั่น เอารูปมาฝากครับ

เอ่อ...ไอ้ที่มีริบบิ้นสีชมพูนั่นไม่ใช่หรีดงานศพนะครับ เป็นหรีดต้อนรับ



โปรเฟสเซอร์ท่านนี้ (ซ้าย) สอนภาพยนตร์ในระดับปริญญาโท เป็นผู้กำกับชาวเกาหลีที่มีผลงานระดับฮอลลีวู้ด เท่มากๆ ส่วนคนทางขวาคิดว่าคงคุ้นหน้ากันเนาะ



มหาวิทยาลัยต่อมา เราไปเยือนกันในช่วงบ่ายฮับ ชื่อว่า YONSEI UNIVERSITY เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนเช่นกัน มีดีกรีเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศ ปีนี้ครบรอบ 120 ปี เก่าแก่มาก และสวยมาก


YONSEI UNIVERSITY



ต้นไม้แห้งหมดเลยเพราะเพิ่งผ่านหน้าหนาวมา



ห้องสำหรับนักศึกษาพักผ่อนมีโทรทัศน์ให้ดูทุกช่อง (จะฟังรู้เรื่องมั้ยนั่น)



ตรงนี้ชอบมาก มีของไทยด้วย



ที่ไปคราวนี้เจอนักศึกษาไทยคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้นแหละฮับ เขาเห็นคนในคณะใส่เสื้อมหาวิทยาลัยก็ลุกขึ้นมายกมือไหว้เลย ทักทายสวัสดีเป็นการใหญ่ คิดว่าเขาคงดีใจที่ได้เจอคนไทยด้วยกันในประเทศที่มีคนไทยมาเที่ยวเยอะแต่มาเรียนน้อย หนุ่มน้อยคนนี้จบจาก มช. เอกอังกฤษ (ฝากชมหน่อยเถอะว่าเป็นเด็กที่น่ารักมาก) มาเรียนภาษาเกาหลีเพื่อกลับไปเปิดโรงเรียนสอนภาษา คิดว่าเขามองอนาคตไกลเหมือนกันนิ เดี๋ยวนี้คนไทยชอบภาษาเกาหลีกันเยอะด้วยอิทธิพลของละคร ภาพยนตร์ และล่าสุดก็คือหนังสือเกาหลีที่แปลเป็นไทยขายดีเป็นเท่น้ำเทท่า


จากมหาวิทยาลัยแห่งที่สองที่ได้ดูงานก็ได้เวลาไปทานข้าว ระหว่างทางก็นั่งมองวิวไปเรื่อยๆ แม่น้ำสายสำคัญของโซลก็คือ แม่น้ำฮัน ซึ่งก็มาจากคำว่า “ฮั่น” ซึ่งหมายถึงชาวฮั่นของจีน คนเกาหลีเชื่อว่าเขามีรากมาจากคนจีน ภาษาในสมัยโบราณก็ใช้ภาษาจีน กว่าจะใช้ภาษาของตัวเองอย่างแพร่หลายก็ต้องบังคับกันนานมากๆ

แม่น้ำสายนี้ยาวมาก ไปไหนก็จะต้องเจอ มีสะพานข้ามเฉพาะในกรุงโซล 24 แห่ง และนอกกรุงโซลอีก 2 แห่ง


รูปนี้ถ่ายจากบนรถไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เพราะต้องมองผ่านกระจกอีกที เย็นมากแล้วฮับ (หิวข้าว)



อาหารค่ำมื้อนี้ก็เป็นหมูย่างเกาหลี แต่ว่าเป็นแบบคล้ายๆ เมืองไทยมากกว่าที่ทานตอนแรก ปิ้งกันจนเมื่อยก็มันเยอะมาก อยากทานเท่าไหร่ก็ได้ อิอิ เสร็จเรา






วันต่อมาละก๊า


วันต่อมาไปดูงานที่มหาวิทยาลัยอีก 2 แห่ง เริ่มจากตอนเช้าไปที่ KOREA UNIVERSITY มหาวิทยาลัยอันดับ 2 ของประเทศอายุ 100 ปี เป็นที่ซึ่งครูสนุกกับการฟังบรรยายเป็นพิเศษเนื่องจากว่าเขาเป็นมือโปรทางด้านวารสารศาสตร์ คุยกับเขาไว้คร่าวๆว่าอาจจะไปขอทำโครงการแลกเปลี่ยน ถ้ามีโอกาสจะไปเทคคอร์สสั้นๆ น่าสนใจมากเลย


KOREA UNIVERSITY



เครื่องนี้เป็น ONE STOP SERVICE ใส่เงินเข้าไป 1.5 เหรียญสหรัฐ แล้วขอสิ่งที่ต้องการได้ เช่น ใบลาเพื่อลาป่วยลากิจอะไรก็แล้วแต่ ใบแสดงผลการเรียน ใบตารางสอบ ใบอะไรต่อมิอะไรที่ฝ่ายทะเบียนต้องออกให้ ไม่ต้องเจอใครก็ขอเองได้ ง่ายมากๆ และสะดวกมาก เรียนจบไปตั้งแต่รุ่นแรกอยากได้ใบแสดงผลการเรียนก็ยังมาขอย้อนหลังได้ โอ้..อยากมีแบบนี้บ้างจัง





ห้องนี้เอาไว้เล่นเน็ตและเล่นเกมโดยเฉพาะ สำหรับนักศึกษาใช้เอนเทอร์เทน หรือจะเล่นเพื่อการศึกษาก็ไม่แปลก เพราะทั้ง 3 มหาวิทยาลัยที่ไปดูงานมานี่เขามีหลักสูตรเกี่ยวกับการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเขามองว่ามันจะเป็นอุตสาหกรรมที่นำรายได้เข้าประเทศ




ห้องบรรยายรวม เช็คชื่อโดยการใช้บัตรนักศึกษารูดผ่านเครื่องที่ติดไว้ตรงประตูห้อง




มหาวิทยาลัยแห่งสุดท้ายที่เราไปดูงานกันในช่วงบ่ายคือ SEOUL NATIONAL UNIVERSITY เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐและเป็นหมายเลข 1 ของประเทศ ที่นี่เขามีเวลาให้เราเพียงชั่วโมงเดียวก็เลยไม่ได้ดูในรายละเอียด แต่ว่าได้ฟังบรรยายจากโปรเฟสเซอร์ที่เป็นผู้แทนแล้วอึ้งกับวิสัยทัศน์ เขาไม่ได้หวังแค่ยิ่งใหญ่ในประเทศ แต่มีเป้าหมายจะเป็น 1 ใน 5 ของมหาวิทยาลัยระดับโลก คนที่อยู่ในรูปนี่เป็นอดีตเลขาของโคฟี่ อันนัน และบรูโทส บรูโทส กาลี มาทำหน้าที่ด้านการประสานกับต่างประเทศให้มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ พูดอังกฤษเป็นไฟ


วิทยากร


บรรยากาศในมหาวิทยาลัย ที่เหลือเขาพานั่งรถชมตึกซึ่งใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าจะดูหมด เนื่องจากมหาวิทยาลัยแหงนี้อยู่บนภูเขาทั้งลูก เอิ๊กส์ๆๆๆ แค่นับตึกก็นับไม่หมดแล้วฮับเพราะว่ามีหลายร้อยตึกกันเลยทีเดียว


ใหญ่โตมาก




สำหรับระบบการศึกษาที่ได้ไปสัมผัสมาคิดว่าเขาล้ำหน้าเราไปเยอะมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเทคโนโลยีที่ไปไกล แล้วเขาก็มีแรงสนับสนุนที่ดีมาก ทุกมหาวิทยาลัยที่ไปดูงานไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือรัฐบาล เขาจะได้รับการอุดหนุนจากภาคเอกชนในการมอบทุนก้อนใหญ่ยักษ์มาจัดการด้านต่างๆ อย่างเป็นระบบ ค่ายใหญ่ ๆ อย่าง LG ซัมซุง และอื่นๆ เขาเห็นคุณค่าของการศึกษา ลงทุนกับมหาวิทยาลัยเป็นเงินมหาศาล แล้วเขาก็ได้สถานศึกษาดีๆ ทันสมัย เด็กก็ได้เรียนในที่ดีๆ ซึ่งเมื่อเรียนจบไปแล้ว ส่วนหนึ่งก็ไปทำงานกับบริษัทเหล่านี้ ก็ได้แต่คนเก่งไปทำงาน แน่นอนว่าบริษัทก็ย่อมพัฒนาก้าวหน้าไปอีก เป็นเหมือนวงกลมที่เกื้อหนุนกัน ส่วนบ้านเราไม่มีแบบนี้ มีแต่วงจรอุบาทว์ที่นักการเมืองกับพ่อค้าและข้าราชการเกื้อหนุนกันเอง เฮ้อ คิดแล้วเศร้า


* * * * *



อ้ะ...ผ่านเรื่องเครียดไปก่อน เพราะหมดเวลาดูงานแล้ว เราไปเที่ยวกันต่อดีกว่า ปิดท้ายวันนี้ เราไปกันที่ “เมียงด็อง” เป็นย่านช้อปปิ้งของวัยรุ่น ประมาณเซ็นเตอร์พอยต์บ้านเรานั่นเองครับ ไปถึงประมาณ 4 โมงเย็นมั้ง คนเริ่มเยอะแล้ว


ดูสีสันสดใสของป้ายซะก่อน



ชอบตึกทางซ้ายมือมากๆ เขาวาดรูปไว้บนตึกเลยอ้ะ เก๋ดี




หิว อีกแล้ว...หาของกินก่อนจ้า



งือ หลง... ม่ายช่าย แค่อยากจะทราบว่าห้างล็อตเต้ไปทางไหน แต่พยายามถามผู้คนแถวนั้นก็ไม่มีใครยอมพูดด้วย ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไปถามที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก็ได้ เชอะๆๆ



หลังจากหาล็อตเต้เจอแล้วก็ไปซื้อของกัน แต่ว่าครูไม่ได้อะไรมาเลยงวดนี้เพราะว่ามันมีแต่ของไม่ถูกใจ วัยรุ่นจ๋ามากๆ เหมาะกับที่เกาหลีแต่ไม่เหมาะกับบ้านเราเท่าไหร่ เดินแทบตาย แง่ม หิว

เมื่อหิวก็ถึงคิวหม่ำ นี่เป็นมื้อค่ำมื้อสุดท้าย (เพราะรุ่งขึ้นจะกลับแล้ว) ทางทัวร์ก็จัดเตรียมอาหารพื้นเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นอาหารสร้างชาติของเกาหลีมาให้เราได้รับประทานกัน แถ่น แทน แท้น....

นั่นคือ อภิมหาอมตะกิมจิ ... กร๊ากกกก บนโต๊ะนั่น นอกจากไข่ตุ๋น 1 ถ้วย และปลา 1 ตัวแล้ว มีแต่กิมจิแบบต่างๆ หมดทั้งโต๊ะเลยครับ เป็นมื้อที่แพงมาก ถามแล้วคิดเป็นเงินไทยหัวละ 1,000 บาท คือเป็นอาหารมีค่ามากๆ ของเขา แต่ปรากฏว่าคนในคณะทานกันไม่ได้เลย บ่นว่าไม่อร่อย อ่า...ทำไมครูยังทานอยู่ล่ะ แหะแหะ ดูเหมือนจะเป็น 1 ใน 2 คนของกรุ๊ปนี้ที่ทานข้าวหมดเกลี้ยง และยังหิวอยู่ (ตามเคย)

กิมจิเพียบ




มื้อนี้คนในคณะไม่ชอบกันมาก มีครูกับรุ่นพี่ (คนใส่แว่นนั่งติดกับครู) แค่ 2 คนที่ชอบมากๆ คือเรารู้สึกว่ามันเป็นของที่คนทำเขาภูมิใจมากๆ และปกติเวลาไปต่างประเทศก็จะลองทานอาหารพื้นเมืองของเขาเพื่อซึมซับความเป็นตัวตนของเขาด้วย ไกด์เล่าว่าอาหารเหล่านี้ชาวเกาหลีทานกันในสมัยสงคราม ช่วงที่ข้าวยากหมากแพงไม่มีเนื้อหรือหมูให้ทาน เขาก็ต้องทานผัก แต่ด้วยภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เขาต้องถนอมอาหารเอาไว้กินนานๆ ในหน้าหนาว เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่สาวๆ จะทำกิมจิกันเพื่อเก็บไว้ทานในอีก 6 เดือนข้างหน้าซึ่งจะไม่มีผักสดให้ทาน หนุ่มเกาหลีโบราณจึงต้องดูด้วยว่าหญิงสาวที่จะแต่งงานด้วยทำกิมจิเป็นมั้ย ถ้าทำไม่เป็นนี่ไม่ต้องหวังจะได้แต่งงาน เหมือนสาวไทยโบราณก็ต้องทำกับข้าวอร่อยและสวยงาม แถมต้องตำน้ำพริกเสียงดัง

สังเกตคนที่มานั่งทานที่นี่จะเป็นกลุ่มคนมีระดับ ดังนั้นจึงคิดว่านี่คือของดีของเขาเลยแหละ

ระหว่างทานก็มีดนตรีเกาหลีแสดงให้ชมด้วย เสียงกลองดังไปหน่อยแต่ก็เข้าใจว่ามันคือวัฒนธรรมที่เขาภูมิใจ เขาอยากแสดงให้คนที่มานั่งในร้านนี้ได้รู้จักวัฒนธรรมของเขา เหมือนเวลาที่เราแสดงการฟ้อนรำแบบต่างๆ ในโรงแรมหรูๆ นั่นแหละเนอะ


เพลงไพเราะ



นักดนตรีสาวสวยในแบบเกาหลี



กลองที่เธอใช้ในการแสดงมีขายในร้านของที่ระลึกในรูปแบบของพวงกุญแจฮับ



คืนนี้อากาศหนาวพอประมาณ รู้สึกว่าจะอยู่ที่ลบ 3 หรืออะไรนี่แหละ พวกผู้ใหญ่ทานข้าวกันแล้วก็ออกไปเดินซื้อของ ตามประสาพี่ไทย ถึงเวลาที่ไกด์นัดให้มาเจอกันก็ค่อยๆ ทยอยกันมาแบบเชื่องช้า ช่วงนี้ครูกับแก๊งสาวซ่าวางแผนกันว่าเราจะออกไปตะลุยราตรี (แน่ะ ป่วยก็ยังไม่วาย) เรื่องนี้พวกเราค้างคาใจกันมาตั้งแต่วันแรก คืออยากไปเดินดูบรรยากาศตอนกลางคืนแต่ว่าไกด์ไม่ยอมพาไป เขาบอกว่าเดี๋ยวจะเหนื่อยนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่ตื่นนะครับ เดี๋ยวเสียค่าแท็กซี่แพงนะครับ เธอขู่ว่าค่าแท็กซี่เที่ยวละไม่ต่ำกว่า 800 บาทเชียวนะ ไปกลับ 1,600 บาท ซื้อของมาราคาถูกแต่ไม่คุ้มค่ารถ ทำนองนั้น แต่ว่า 4 สาวซ่าชักอยากลองดีเราก็เลยบอกว่าขอแยกกลุ่มเพราะอยากไปเดินซื้อของที่ย่านทงแดมุน (ซึ่งเปิดจนถึงตี 5 โน่น) ขอให้ไกด์พาไปส่งหน่อยได้ไหม ขากลับเดี๋ยวกลับเอง เธอก็บอกว่าไม่ได้ครับรถเราจะไม่ผ่านตรงนั้นเราต้องไปโรงแรมเลย แง่ม ไม่ส่งก็ได้ ป้าไปกันเอง เขาก็เลยอ่อนใจ เอานามบัตรโรงแรมไว้ให้เพื่อแท็กซี่จะได้อ่านออกว่าเราจะกลับโรงแรมไหน (เพราะคนส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ได้อย่างที่บอกแต่ต้น) ส่วนขาไปนี่คุณน้องไกด์เรียกรถให้ก็เลยไม่มีปัญหา

หลายคนคงเกรงว่าจะถูกแท็กซี่พาไปวนให้เปลืองตังค์ อันนั้นเป็นแท็กซี่บ้านเราครับ คนของเขาซื้อสัตย์เป็นส่วนใหญ่ (ไกด์ยืนยัน) ซึ่งก็จริงอ้ะ จากร้านที่ทานข้าวไปถึงตลาดทงแดมุนเสียค่าแท็กซี่ 3,900 วอน คิดเป็นเงินไทยก็ 150 บาทเศษ เท่านั้นเอง เทียบกัยที่ได้ออกไปเริงร่าท้าลมหนาวก่อนกลับบ้านนี่รู้สึกว่าคุ้มมาก เพราะคนทั้งกรุ๊ปไม่มีใครได้ออกมาเหมือนพวกเรา ฮี่ๆๆ

หลังจากที่ได้เดินดูของโดยไม่มีเวลามากำหนดเหมือนทุกๆวัน คราวนี้สามารถซื้อของที่ต้องการได้อย่างถูกใจโก๋ โดยเฉพาะเสื้อผ้า (เอาไปฝากลูกกันทั้งน้าน กร๊าก) เดินคืนนี้ได้สัจธรรมอย่างหนึ่งคือ สิ่งที่ราคาแพงเหมือนกันทั่วโลกไม่ว่าที่ไหนก็คือ เสื้อผ้าเด็ก แพงมาก กว่าจะเจอแบบที่เขาลดราคาก็เดินจนเมื่อย หายอยากซื้อของฝากลูกไปเลย เหอเหอ

คราวนี้ถึงเวลากลับออกมาเรียกรถแท็กซี่ อุตส่าห์เอานามบัตรโรงแรมส่งให้ อ้าว อ่านแล้วทำไมไม่ไปอ้ะ ปรากฏว่าคนขับรถเป็นกะเหรี่ยงอ่านหนังสือไม่ออก (ฮา) คันต่อมาเป็นคุณลุงน่าจะอายุห้าสิบกว่า ท่าทางทะมัดทะแมงมากๆ พอยื่นนามบัตรให้ปุ๊บ ลุงพยักหน้าปั๊บ ขึ้นรถไปนั่งเม้าธ์กันตลอดทาง จนกระทั่งลุงหันมาถามว่า

“พวกเธอเป็นคนชาติอะไร” ก็ตอบว่าเป็นคนไทย ลุงก็ทำท่าแบบว่ารู้จักคนไทย แล้วถามต่อว่า

“จะไปชอบปิ้งกันเหรอ”

....แว้ก...

“หนูเปล่าช้อปปิ้งนะลุ้งงงงง” พวกเรารีบตอบพร้อมกัน ลุงเลยหน้าหงิกแล้วบอกว่าให้เอานามบัตรออกมา แกชี้ที่นามบัตรให้ดูว่า เนี่ยก็ที่นี่มันที่ช้อปปิ้ง พวกเราเลยถึงบางอ้อ ดันมีคนเขียนไว้บนนามบัตรว่า “HYUNDAI DEPARTMENT STORE” ลุงเลยคิดว่าจะให้ไปส่งที่นั่น เวรของกรรมจริงจริงครับ

คุณลุงก็ดันฉลาด คนทั้งประเทศมีแค่ 5% ที่พูดและอ่านภาษาอังกฤษได้ ลุงแท็กซี่ของเราดั๊นมาอยู่ใน 5% นี่ด้วย 4 สาวหัวเราะขำกลิ้งแล้วก็เลยชี้บอกลุงว่าจะไปโรงแรมรามาด้าโซล ลุงก็เลยถึงบางอ้อ พวกเราหันไปซุบซิบหัวเราะกันแกก็บอกว่าเนี่ยเป็นความผิดของพวกเธอนะเธอชี้ไม่ถูกเอง 5555 เจอแท็กซี่อินเตอร์เข้าไป ขำกลิ้ง

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายพวกเราก็มาถึงโรงแรมอย่างปลอดภัย และเสียค่าแท็กซี่อีก 9,000 วอน ก็ประมาณ 360 บาท สรุปแล้วไปกลับเสียค่ารถราวๆ 500 บาท แหมคุณไกด์ขู่ซะไม่มีใครกล้าออกไปเที่ยวกันเลยเชียว ไม่รู้จักแก๊งนักข่าวเก่าซะแล้ว (3 ใน 4 คน ของกลุ่มเราเป็นอดีตนักข่าวแนวชอบสืบกันทั้งน้าน) ไม่เห็นด้วยตา ไม่ได้พิสูจน์ก็ไม่ยอมเชื่อหรอก ฮี่ๆๆ แถวบ้านเรียกดื้อด้านนั่นเอง

ร้านค้าตอนกลางคืนที่ตลาดทงแดมุนครับ






วันสุดท้ายแล้วจ้า


มาถึงวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ในโซล เป็นวันที่ได้รับอนุญาตให้ตื่นสายได้ เพราะไม่มีโปรแกรมดูงานมีแต่ไปเที่ยว ก็เลยออกจากโรงแรม 9 โมง ไปทานข้าวกันที่ร้านเล็กๆ เป็นห้องแถว อาหารเป็นแบบเกาหลีอีกตามเคยฮับ จากนั้นก็ไปไหว้พระก่อนกลับบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลที่วัดพงอึนซา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พัก


รูปนี้ที่หน้าวัด



หอกลอง...



ไหว้พระครับ ทำบุญด้วยการบริจาค 1,000 วอน จะได้เทียนมา 1 คู่ เทียนนี้เป็นแท่งใหญ่เวลาวางไม่ต้องทำอะไร วางเฉยๆ ก็ไม่ล้ม



รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ...



ทำบุญซื้อกระเบื้องสร้างหลังคา เหมือนวัดบ้านเราเลยครับ



ตรงข้ามกับวัดคือห้างที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีชื่อว่า COEX ที่นี่เราซื้อตั๋วเข้าชม อควาเรี่ยม ก็เข้าไปเดินดูโลกใต้ทะเลกัน ดูไปก็คล้ายๆ ที่พัทยา บางจุดสวยดีแต่ส่วนใหญ่ก็ธรรมดา มีจระเข้ตัวหนึ่งเป็นจระเข้จากประเทศไทยไปโชว์อยู่ในตู้กระจกกับเขาด้วยฮับ สงสารมันจังอยู่ตัวเดียวคงเหงาแย่

รูปนี้ถ่ายหน้าตู้ปลา สีสันสดใส...



ดิสเพลย์ของที่ระลึกวางไว้ล่อใจหนูๆ ราคาแพงทีเดียว แต่ว่าสวยมากครับ ใครพาลูกพาหลานไปนี่เสร็จแน่นอน



หลังจากที่ออกจากอควาเรี่ยมก็ได้เวลาซื้อของอีกรอบ ทีนี้ถึงได้ทราบว่าที่นี่มีห้างฮุนไดอยู่ด้วย ที่คุณลุงจะพาพวกเรามาเมื่อคืนก็คงเป็นที่นี่แหละ โชคดีที่มันอยู่ทางเดียวกับโรงแรมเมื่อคืนก็เลยไม่มีปัญหา ที่ห้าง COEX นี่ใหญ่มากๆ เดินจนเมื่อยก็ยังไม่หมด แล้วก็ได้ของกันมาอีกตามเคย ฮี่ๆๆ มีที่ไหนที่ไม่ซื้อกันมั้ยเนี่ย

จ่ายตังค์กันไปสาสมใจแล้วก็ต้องไปทานข้าว อาหารมื้อสุดท้ายเป็นอาหารไทย เพื่อเตรียมความพร้อมให้รับประทานอาหารรสเผ็ดหลังจากที่ทานอาหารเค็มๆ ปิ้งๆ ย่างๆ ของเกาหลีมาหลายวัน ร้านนี้ชื่อร้าน “อร้อยอร่อย” ตั้งอยู่ในเส้นทางผ่านที่เราจะไปสนามบิน เจ้าของร้านและคนในร้านเป็นคนไทยฮับ อาหารรสชาติพอใช้ได้ไม่อร่อยนัก เผ็ดมากๆๆ จนเรียกหาน้ำกันเป็นแถว


หน้าร้านแต่งใหดูเป็นไทย



เมนูสุดท้าย ... แกงหน่อไม้ กระเพราหมู แกงจืดเต้าหู้ ไข่พะโล้ ยำทะเล น้ำพริกกับผักสด แล้วก็มีผลไม้ตบท้ายคือแอปเปิ้ล





คราวนี้ก็เป็นเวลาแห่งการเดินทางไปยังสนามบินเพื่อกลับบ้าน ก่อนถึงสนามบินคนเกาหลีก็ยังมีจุดช้อปปิ้งอีกที่นึงเป็นที่สุดท้าย อะไรจะเตรียมการเพื่อดูดเงินนักท่องเที่ยวกันปานนี้ เป็นมาร์ทสำหรับซื้อของกลับบ้านโดยเฉพาะ อะไรที่หาไม่เจอในโซลก็จะเจอที่นี่ โดยเฉพาะขนม กิมจิ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโสมอย่างเครื่องสำอางและเหล้า รวมทั้งของที่ระลึกด้วย ถ้ามาถึงตรงนี้ใครไม่เทเงินวอนออกมาให้หมดก็จะหมดโอกาสเพราะว่าที่สนามบินเขาติดราคาสินค้าเป็นยูเอสดอลล่าร์ เงินวอนนี่แทบจะไม่มีค่าเลยเพราะของที่สนามบินแพงมาก (ไหนบอกปลอดภาษีไง) แล้วถ้านำกลับมากรุงเทพก็ยิ่งแล้วใหญ่เพราะเขารับแลกตั้งแต่ แบงก์ 10,000 วอนขึ้นไป แบงก์ 1,000 วอนนี่ต้องซื้อของให้หมด

เมื่อขึ้นเครื่องบินกลับบ้านนี่รู้สึกดีใจมาก อยากเจออากาศอุ่นๆ ครับ ที่นั่นหนาวเหลือเกิน หนาวกว่าทุกประเทศที่เคยไป เป็นอากาศหนาวที่ทรมานด้วยอ้ะ ไม่รู้จะบอกยังไง เป็นประเทศที่ไปสองครั้งแล้วก็ไม่มีอะไรประทับใจเป็นพิเศษ แต่รู้สึกว่าเข้าใจคนของเขามากขึ้น นับถือในความวิริยะอุตสาหะที่จะต้องพัฒนาตัวเอง ที้งที่ประเทศเขาแทบไม่มีทรัพยากรอะไรเท่าไหร่เลย บ้านเรามีเยอะกว่าหลายอย่าง แต่ทำไมเขาทำได้??? เกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือแบ่งแยกดินแดนกันไปไม่กี่สิบปี ทุกวันนี้เกาหลีเหนือยังยากจนประเทศยังอึมครึม ขณะที่เกาหลีใต้เจริญรุดหน้าไปมาก เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของญี่ปุ่นในทุกๆ ด้าน ส่วนพี่ไทยยังห่างไกลเขามากนัก แต่เราก็สามารถพัฒนาได้ถ้าปัจจัยต่างๆ เอื้ออำนวยโดยเฉพาะโครงสร้างหลักของสังคม รอใครมาแก้ปัญหาดีน้อ....


ปิดท้ายด้วยรูปน้องโช...สาวน้อยน่ารักนักศึกษาคนเก่งจากเกาหลีจ้า








เอาเป็นว่าจบกันดื้อๆ แบบนี้เลยละกันเนาะ อิอิ




























 

Create Date : 28 สิงหาคม 2548
12 comments
Last Update : 7 มกราคม 2550 2:36:15 น.
Counter : 874 Pageviews.

 

ครูกี้คะ เพิ่งรู้ว่าครูกี้มีบล๊อก

เดี๋ยวต่อไปนี้ออมจะมาป่วนนะคะ อิอิ


เคยไปเกาหลีใต้ครั้งเดียวเองค่ะ แต่ไปตอน5ขวบ ((จำไรไม่ได้เลย))

 

โดย: NIS (NiS*Za ) 28 สิงหาคม 2548 16:24:22 น.  

 

แวะมาเจ้าค่ะ อยากไปตปท.จังเยย~~

 

โดย: ~oกิ๊กกะโป๋ โลเปสo~ 28 สิงหาคม 2548 16:29:18 น.  

 

ไหนหว่า...รูปสาวน้อยแดนเกาหลีมะเห็งมีเรยยย แวะมาทักทายค๊ะ

 

โดย: VoDaFoNe 28 สิงหาคม 2548 17:20:46 น.  

 

พี่กี้จ๋า พึ่งรู้ว่าพี่กี้ทำบล๊อก ตามมาดู

คิดถึงค๊า

รู้มาจากน้องออมค่ะ เห็นที่บล๊อกน้องออม หุหุห

ตามพี่กี้ไปเที่ยวค่ะ

 

โดย: yadegari 28 สิงหาคม 2548 17:54:10 น.  

 


อ่า...ก่อนอื่นพี่ขอบคุณน้องๆ ที่แวะมาทักทายกันนะฮับ
ยังเป็นมือใหม่อยู่ แต่หวังว่าวันต่อๆ ไปจะดีกว่าวันนี้กั๊บ


NIS ... น้องออม หวัดดีจ้า
แวะมาเป็นคนแรกเลยเก่งจัง เจอบล็อกพี่กี้ได้ไงละนี่ 555
เพิ่งทำวันแรกเลยจ้า ไม่รู้อะไรมาเข้าสิง กร๊าก
เกาหลีใต้เปลี่ยนไปมากแย้ว
พี่ไปห่างกันไม่กี่ปียังไม่เหมือนเดิมเลยฮับ

~oกิ๊กกะโป๋ โลเปสo~
ขอบคุณที่มาเยี่ยนเยียนกันนะค้าบ
ว่างๆ มาเที่ยวอีกน้า
เอาไว้มีเวลาพี่พาไปเที่ยวที่อื่นอีก เนอะๆๆๆ


VoDaFoNe
อ่า...ขอโต้ดด้วยจ้า
ตอนที่พี่แปะครั้งแรกรูปมันไม่ขึ้น
(จริงๆ คือทำผิดวิธี กร๊าก)
ตอนนี้แก้ไขเรียบร้อยแล้วน้า


yadegari กรี๊ดดดดดด น้องแบม
มาเยี่ยมพี่ได้เพราะแกะรอยมาหรือนี่
เพิ่งลองทำดูฮับ แบบว่าอยากทำเพราะหนูแบมนั่นแหละ
จำได้ป่าวที่หนูบอกว่ามีบล็อกอ้ะ
พี่เพิ่งรู้ว่าหน้าตามันแบบนี้
ทำไม่ยากเท่าไหร่เนอะ ขนาดซื่อบื้ออย่างพี่ยังทำได้เรยยย อิอิ
เอาไว้ต่อไปจะพัฒนาให้ดีขึ้นน้า
ฝันดีจ้า จุ๊บๆๆๆ



 

โดย: วลีวิไล (วลีวิไล ) 29 สิงหาคม 2548 3:14:46 น.  

 

อิอิ ขอบคุนนะค่ะ ที่ไปหาตามคำบอก แหะๆ

 

โดย: ~oกิ๊กกะโป๋ โลเปสo~ 29 สิงหาคม 2548 18:02:43 น.  

 

อยากไปมั่งจังเลยค่ะ แต่ตอนนี้ขอมาแอบเก็บบรรยากาศไว้ก่อน อิอิ

 

โดย: สายลมโชยเอื่อย 29 สิงหาคม 2548 18:10:20 น.  

 

~oกิ๊กกะโป๋ โลเปสo~
ด้วยความยินดีจ้า

สายลมโชยเอื่อย
เอาไว้มีโอกาสลองไปเที่ยวนะครับ

 

โดย: วลีวิไล 11 พฤศจิกายน 2548 21:00:36 น.  

 

เข้ามาเยี่ยมชมจ้า เห็นแล้วอยากไปเทียวจัง แต่เอาไว้ก่อนต้องเก็บตังค์
หุ หุ พึ่งเห็นนะค่ะ ว่าพี่กี้มีบล๊อกด้วย
ต่อไปจาเข้ามาบ่อยๆค้า
แล้วweb ของพี่กี้ อันนี้ เลิกอัพเดท ไปแล้วหรือค่ะนี่

 

โดย: dol IP: 202.28.255.161 28 พฤศจิกายน 2548 12:01:06 น.  

 

เมื่อกี้ กดเร็วไปหน่อยค่ะ
จะถามว่า web ของครูกี้ อันเดิม นะค่ะ เลิกใช้แล้วหรือค่ะ

 

โดย: dol IP: 202.28.255.161 28 พฤศจิกายน 2548 12:02:52 น.  

 

อย่าไปเกาหลีบ้างจัง... เรียนภาษาเกาหลีมาตั้งสองปี แต่ดันไม่ได้ใช้เลย...ส่งคืน อาจารย์หมดแล้ว...แง่แง่

 

โดย: มิมิจัง (samita ) 4 ธันวาคม 2548 21:02:49 น.  

 

dol ... เว็บเดิมที่จีโอซิตี้มีโครงการจะปิดครับ พี่กำลังสร้างเว็บใหม่แบบที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ฟรีของคนอื่นเขา เวลาจะทำอะไรก็จะได้ง่ายๆ หน่อย ตอนนี้กำลังทำอยู่ครับ เสร็จเมื่อไหร่ก็คงจะประกาศในเว็บที่จีโอด้วย เพราะคนอ่านส่วนใหญ่จะเข้าไปที่นั่น (แต่ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีคนไปแล้วแหละ อิอิ) ยังไงก็มาคุยกับพี่ที่นี่ได้ตลอดจ้ะ เพราะว่าต้องเข้ามาอยู่แล้ว เนอะ

มิมิจัง ... โอ้ เรียนภาษาเกาหลี 2 ปีนี่น่าจะพูดได้เก่งเลยนะครับเสียดายที่ไม่ได้ใช้ คืนคุณครูหมดเลยเหรอ ลองฟื้นดูสิครับ พี่ว่าจะต้องกลับมาใช้ได้อีกแน่ เดี๋ยวนี้เกาหลีฟีเวอร์มั่กมาก คนรู้ภาษาเกาหลีเป็นคนอินเทรนด์ไปเลย

 

โดย: วลีวิไล 5 ธันวาคม 2548 1:39:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.