Nainital ณ กาลครั้งหนึ่ง (1)
บันทึกการเดินทางในอินเดีย ครั้งที่ 2 : ตุลาคม 2014
(ได้ทำการเรียบเรียงเนื้อหาใหม่อีกครั้งในปี 2017)
'ไนนิตาล' ชื่อเพราะดีจัง
ฟังแล้วน่าตลกนะ ...จากแรกเริ่มที่บังเอิญเหลือบไปเห็นรายชื่อของเมืองต่าง ๆ ที่ส่งผ่านมาทางอีเมล์ หลังจากที่เคยได้ติดต่อพูดคุยถึงเมืองโน้นนี้ในอินเดีย กับเจ้าหน้าที่ประสานงานของโครงการหนึ่ง
ก็ไม่รู้ว่าทำไมกัน ถึงไปสะดุดกับชื่อที่ว่านี้เข้าได้ ? จากนั้นฉันถึงกับรีบพิมพ์หาชื่อเมืองที่ว่าทันที และภาพแรกที่ได้เห็น มันคือเมืองเล็ก ๆ บนพื้นที่สูงที่มีบ้านเรือนตั้งอยู่บนภูเขา ส่วนตรงใจกลาง เป็นทะเลสาบและมีภาพของเรือใบกำลังลอยอยู่กลางน้ำ ไม่ว่าภาพนั้นจะถูกตกแต่งผ่านโปรแกรมหรือ เป็นการถ่ายตามจริงก็ตามแต่ มันดูสงบและเรียบร้อยมากจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีเมืองหน้าตาแบบนี้ในอินเดียด้วย แน่นอนเลยว่า มันทำให้ฉันอยากไปเยือนที่นั่นเสียจริง
แผนการคิดหวนกลับไปเยือนประเทศที่ขึ้นชื่อลือชาว่า หากไม่รักหมดใจ ก็คงเกลียดเข้าไส้ จึงเริ่มต้นขึ้นเอาดื้อ ๆ แบบนี้อีกครั้ง อย่างหน้ามืดตามัว
ส่วนเรื่องการเดินทางไป ไนนิตาล ฉันได้เริ่มที่ เดลี เช่นเคย จากสถานีขนส่ง I.S.B.T. Anand Vihar ที่ซึ่งไกลโพ้นโลกจนเกือบสุดสายเมโทร เส้นสีฟ้า และที่สำคัญระหว่างที่มองเส้นทางเดินรถผ่านสายตาฉันเห็นชื่อป้าย สถานีหนึ่งที่ชื่อว่า Yamuna Bank ...ถึงปลายทางที่จะไปไม่ใช่สถานีนี้ แต่มันตั้งพาดผ่านสายน้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งของอินเดียก็คือแม่น้ำยมุนาที่คุ้นชื่อ
และนั่นก็ทำให้ฉันต้องคอยจดจ่อกับการมองหาสายน้ำที่ว่านี้ไม่ให้คลาดสายตา เมื่อรถไฟฟ้าได้เคลื่อนตัวมาจนถึง Yamuna Bank ฉันได้เห็นแม่น้ำยมุนาเข้าจริง ๆ แต่กลับเป็นความรู้สึกที่ โอ ...เห็นแล้วแทบอยากจะร้องไห้
เราไม่ได้ถ่ายรูปภาพของแม่น้ำยมุนาเอาไว้ระหว่างอยู่บนรถไฟฟ้า หลังจากที่ลองค้นหาภาพ จากอินเตอร์เน็ตก็พบรูปแม่น้ำยมุนา (ที่เดลี) ในพิกัดใกล้เคียงและมีสภาพตามที่เห็นแบบนี้
แม่น้ำที่ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งในลำน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ทำไมกลับมีสภาพที่ดูแย่แบบนี้ล่ะ ? สิ่งที่อยู่รายรอบขอบฝั่ง มันดูรกร้างไร้ชีวิตชีวาและสุมเต็มไปด้วยพงหญ้า มีขยะ มูลฝอยลอยเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด และที่แย่ไปกว่านั้นคือกลุ่มก้อนฟองประหลาด อันหนาเตอะ ก็น่าจะมาจากน้ำทิ้งของโรงงานอุตสาหกรรมกำลังลอยปกคลุม ไปทั่วผิวน้ำ
ฉันจ้องมองอย่างไม่วางตาจนกระทั่งหมดเวลาจอด รถไฟฟ้าเริ่มออกตัวไปยังสถานีข้างหน้าต่อ ภาพของแม่น้ำยมุนาก็ได้เคลื่อนหนีจนลับหายไป
สถานีขนส่ง Anand Vihar ตั้งอยู่ไม่ไกลไปจากเมโทร มันมีสภาพไม่ค่อยดีนัก หากจะเทียบกับ I.S.B.T. Maharana Pratap หรือที่เรียกกันว่า Kashmiri Gate เนื่องด้วยไม่มีอาคารพักผู้โดยสารที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่กลับเป็นแค่เพิงหลังคาคลุม และลานจอดรถก็เป็นผืนดินธรรมดา ๆ เวลาที่รถวิ่งผ่านก็จะฟุ้งตลบไปด้วยฝุ่น ฉันเดินข้ามลานจอดรถไปเรื่อยไม่นึกว่าท่ารถแห่งนี้มันจะกันดารเกินคาด และที่สำคัญไม่มีจุดประชาสัมพันธ์เสียด้วยสิ คำชี้บอกของคนแถวนั้นคือตัวเลือกเดียวที่มี เอาน่า...ป้ายจอดรถก็มีเรียงอยู่ไม่กี่ร้อยป้าย เดี๋ยวก็คลำถูกจนได้แหละ
หมายเลขของท่ารถโดยสารที่จะไปไนนิตาล คือ 160 ส่วนเรื่องของตั๋วโดยสารที่ต้องจองไว้ล่วงหน้าก็อยู่ตรงซุ้มแถวนั้น
คุณลุงคนออกตั๋วกดหาเที่ยวรถทางออนไลน์อย่างไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก เขาบอกรอบเที่ยวรถสำหรับคืนนี้ให้รู้ว่าจะมีแค่รอบสี่ทุ่มและยังมีที่นั่งเหลืออยู่ ดูเหมือนว่าภาษาอังกฤษของลุงออกแนวตะกุกตะกักนิดหน่อย หลังจากที่ตั๋วจองรถฉบับ A4 ถูกพิมพ์ออกมา แทนที่ลุงจะส่งยื่นมาให้เมื่อจ่ายเงิน แกก็ยังมีใจบริการอย่างดีเยี่ยม เขากลับเรียกให้ฉันเข้ามายังซุ้มด้านใน
ฉันเหลือบไปเห็นโพยกระดาษเล็ก ๆ ที่แปะอยู่ตรงข้างคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ มันมีประโยคภาษาอังกฤษและฮินดีเขียนไว้ ลุงพูดช้า ๆ ตามโพยแต่พอเข้าใจ ได้ไม่ยาก บอกเวลาโดยชี้ไปยังนาฬิกาว่าให้มารอที่ลาน 160 นี้ ตอน 21.45 น. และเขียนสำทับลงบนกระดาษด้วยคำที่พอรู้ ถึงในบางพื้นที่นอกเขตเมืองอาจไม่พบคนพูดอังกฤษได้คล่องปร๋ออย่างที่คาดไว้ แต่ฉันกลับชอบความใส่ใจของลุงพนักงานธรรมดา ๆ คนนี้มากเลยนะ
เมื่อหมดภาระกิจแรกไปแล้ว การหาที่พักผ่อนหลบร้อนระหว่างนั้นจะว่าไปมันก็คง ไม่ใช่เรื่องยาก ฉันไม่คิดจะไปเดินเที่ยวเดลีย่านตัวเมืองอีก และไอ้การที่จะมานั่ง รออยู่ในสถานีรถโดยสารแบบนี้คงเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่า มีหวังหัวของฉันคงแดง เป็นสีเดียวกับถนนดินลูกรังแน่ ...
จำได้ว่าก่อนที่จะมาถึง Anand Vihar มีห้างใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลถัดจากนี้ไปก็แค่สองสถานีเอง
ว่าแล้วก็ไปหาที่นั่งตากแอร์เย็น ๆ ดีกว่า! ฉันแบกเป้เดินฝ่าดงฝุ่นที่มันเริ่มดูไม่ ต่างไปจากดงระเบิดควันจากรถคันแล้วคันเล่าที่วิ่งเข้ามาจอดไม่ก็แล่นสวนกัน พร้อม ๆ กับเสียงตะโกนเรียกคนขึ้นรถที่คุ้นหู
มัสซูรี่ มัสซูรี่ มัสซูรี่
เดห์ราดูน เดห์ราดู้น เดห์ราดู๊นนนน
จ๊อดปูร์ จ็อดปรู์ จ๊อดปูร์
มันเป็นการแหกปากบอกชื่อเมืองอย่างระรัวที่กระเป๋ารถฯ ในมาตรฐานเดียวกัน พวกเขาจะไล่เรียกชื่อเมืองไปเรื่อยจนหมดแรง และลากเสียงยาวในพยางค์สุดท้ายจนหมดลม
ถึงจะฟังดูแล้วน่าขำขันก็เถอะ แต่เมื่อถึงเวลาของฉันเมื่อไหร่ ก็หวังว่าเสียงตะโกนเรียกบอก "ไนนิตาล ไนนิตาล ไนนิต๊าลลลล" แบบนี้ จะช่วยให้ฉันได้ไหวตัวทันและไม่พลาดเที่ยวรถได้สิน่า
.......
ห้างอินเดีย จะเรียกว่าคิดถูกหรือผิดคาดดีที่แวะมาเนี่ย ? หลังจากที่ต้องวางกระเป๋าผ่านเครื่องตรวจระเบิดและสำรวจค้นตามตัวแล้ว กระเป๋าอันหนักอึ้ง 2 ใบที่ห้อยหน้าสะพายหลังก็ไม่ได้ถูกนำไปฝากเก็บที่ไหนได้ สภาพของฉันดูไม่ต่างไปจากตัว Opossum นัก
ในห้างสรรพสินค้าที่ว่า มันมีแอร์เย็นก็จริงแต่ไม่ยักกะมีมุมที่นั่งเยอะแบบบ้านเรา ลานม้านั่งไม่น่าจะมีเกินสี่ห้าตัวก็ถูกจองเกลี้ยงจนหมด นโยบายห้างอินเดียคงไม่ ต้องการให้คนมาตากแอร์เล่นโดยไม่คิดซื้อของสินะ
ถ้าไม่นับพวกร้านกาแฟ ไอศกรีม หรือ ฟาสต์ฟู้ด แบรนด์ดัง ๆ ที่นั่งพักบริเวณอื่น ๆ ที่ทางห้างมีไว้รองรับก็แทบหาไม่ได้
ปรี๊ดดดดด ...!
เสียงจากนกหวีดที่ยามเป่าไล่กลุ่มคนที่ไปนั่งกันตามริมขอบลานน้ำพุในห้างลั่นขึ้น (หนึ่งในนั้นก็มีฉันอยู่ด้วย) ทุก ๆ คนต่างลุกหนีไปว่องไวเหมือนกับนัดกันไว้
โวะ ...ทำไมไม่ทำที่นั่งให้มันเยอะขึ้นเนี่ย ? ฉันคิด และเข้าใจว่ากลุ่มคนพวกนี้ก็คิดเช่นเดียวกัน หลังจากที่ยามหันกลับไปตรวจตรายังบริเวณพื้นที่อื่น ก็ไม่น่าแปลกใจเลย ที่พวกเขาจะพร้อมใจพากันกลับมานั่งกันใหม่ต่อ แล้วเหตุการณ์นี้ก็วนไป วนมาเป็นลูปเดิมเช่นนี้ทั้งวัน
เล่นอะไรกันนน !!!???
ฉันหาพื้นที่พักนั่งจากศูนย์อาหารด้านบนจนได้ ถึงมันจะไม่ได้เขียนบอกถึงกำหนด เวลาที่ควรนั่งไว้ชัดเจน ข้อจำกัดของการใช้พื้นที่ยังคงมีอยู่ เช่น ห้ามถ่ายรูป ห้ามนั่งเล่น โทรศัพท์ หรือวางแล็ปท็อป เพื่อพูดคุยโดยที่ไม่ได้มีอาหารวางอยู่ หรือหากกิน จนหมดแล้วก็อย่ามานั่งแช่ ฯลฯ การกิน Thali ในบ่ายของวันนั้นจึงเป็นอารมณ์ ดม ผสมละเลียดกินอย่างช้าที่สุด ก็แหม ...พี่ยาม เขาขยันเดินวนมาดูพฤติกรรมของคนที่มาใช้พื้นที่นี้อยู่ตลอดนี่
นอกพื้นที่ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้ายามค่ำคืน
กลับมาที่ท่ารถโดยสารเดิมกันอีกครั้ง บรรยากาศมันดูคึกคักกว่าตอนกลางวันเสียอีกนะ เวลาที่รถเข้ามาเทียบจุดจอด ก็จะมีผู้คนรีบมายืนออเตรียมขึ้นรถเยอะไปหมด ก็แหงล่ะ รถบางคันไม่มีหมายเลขที่นั่งให้จอง หากจะมัวโอ้เอ้ ชักช้า ก็คงเสียที่นั่งดี ๆ ไปแน่
บางคนที่ไม่ได้ซื้อตั๋วล่วงหน้าอย่างฉันก็ต้องมาต่อคิวซื้อกันหน้างาน ดูเหมือนว่าคุณลุงที่ออกตั๋วให้ฉันในรอบบ่ายจะดูยุ่งมากในตอนนี้
รถโดยสารที่เห็นส่วนมากจะเป็นประเภท Ordinary ที่ไม่มีหมายเลขที่นั่งให้จอง และมีสภาพไม่ดีนัก นี่ยังแอบคิดอยู่ว่ารถบัสไป ไนนิตาล จะมีสภาพแบบไหน ? แต่คงดูดีกว่านี้แน่เพราะเป็นประเภท AC
คงเพราะที่นี่เป็นสถานีขนส่งท้องถิ่น เลยทำให้ฉันเริ่มมีปัญหากับป้ายชื่อเมืองทั้งหลาย ที่มีแค่ภาษาฮินดีเท่านั้น ฉันจำมันได้เพียงแค่ไม่กี่ตัวและยังอ่านไม่ออก เมื่อใกล้เวลา กับช่วงที่รถจะมาจอดก็ต้องเริ่มเดินถามคนที่มายืนรอรถอยู่ตรงหมายเลข 160 เช่นเดียวกัน
"ไนนิตาล นะ?"
พี่อินเดียที่มารอรถที่ป้ายนี้ ก้มดูตั๋วของฉันและถามย้ำด้วยคำที่คุ้นหูอย่าง 'นะ' ซะด้วย
จำได้ว่า มันเป็นการลงท้ายคำเพื่อยืนยันคำตอบของคนอินเดีย ... ฉันเคยได้ยินมาก่อนจากเพื่อนชาวนากาแลนด์ที่เคยมาทำงานในเมืองไทย เขามักพูดคำว่า 'นะ' ซะบ่อย เช่น "โอเค นะ ?" บ่อยมาก จนฉันแอบคิดไปเองว่าแอบติดคำพูดมาจากคนไทยรึปล่าวฟระ
ฉันพยักหน้ารับบอกว่าจะไปลงที่ไนนิตาล
"เดี๋ยวรถจะมาจอดที่ป้ายนี้ ผมลงที่เมืองอื่นแต่ก็ไปคันเดียวกันนี่แหละ"
เอาเป็นว่า ถ้าเห็นแกเดินขึ้นรถคันไหนก็ให้ตามไปได้เลย
ไอความเย็นจากภายนอกที่กำลังส่งลอดมาทางหน้าต่างที่ปิดไม่มิดจากที่นั่งด้านหน้า และภาพของป่าสนริมทางที่หนาทึบ มันช่างต่างกับบรรยากาศในเดลีเมื่อวานนี้มากมาย
รถจะจอดแวะพักตอนช่วงเจ็ดโมงเช้าให้ได้ลงไปเข้าห้องน้ำ หรือดื่มชา ที่ร้านค้าริมทาง
ฉันตื่นขึ้นมาในยามเช้าเพราะการจังหวะการชะลอรถก่อนทำการเลี้ยวหลายโค้ง เรากำลังไต่ขึ้นระดับความสูงด้วยเส้นทางถนนที่ตัดแปลก ๆ ที่มันหยักไปหยักมา และอาการหูดับ ที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ... ซึ่งเมืองที่จะไปถึงนั้นมีความสูง 2,084 เมตรจากระดับน้ำทะเล
เมื่อคืนนี้มีผู้โดยสารอยู่เต็มคันรถแต่บางส่วนก็ได้ทยอยลงไปกันบ้างแล้ว รวมไปถึงคนที่นั่งเบาะริมหน้าต่างข้างฉันก็ด้วย เลยได้โอกาสย้ายที่นั่งไปมอง ทางขึ้นภูเขายามแรกเช้านี้ผ่านข้างกระจกได้แบบเต็มตาซะที ทำให้เพิ่งรู้ว่าเมืองบนภูเขาฝั่ง รัฐอุตตราขัณฑ์ ดูเขียวชอุ่มมากเลย
รัฐอุตตราขัณฑ์ มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองภูมิภาค Kumaon และ Garhwal โดยจัดแบ่งไปตามวัฒนธรรมและภาษา ซึ่งไนนิตาลตั้งอยู่ในภูมิภาค Kumaon
ตามประวัติศาสตร์ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงภาคฤดูร้อนของ 'United Provinces' (ปัจจุบันคือ รัฐอุตตรประเทศ) ที่แบ่งตามเขตการปกครองเดิมในยุค British Raj นั่นก็แปลว่าจะต้องมีสิ่งก่อสร้างในยุคอาณานิคมหลงเหลือให้เห็นอยู่ไม่มากก็น้อย
รูปปั้นของ มหาตมะ คานธี บริเวณฝั่งตรงข้ามกับท่าจอดรถ
ท่ารถโดยสารสาธารณะ บริเวณ Tallital
ที่ปลายทาง จุดจอดรถตั้งอยู่ที่บริเวณ Tallital ก่อนที่จะต้องเดินขึ้นไปต่อยังถนน Mall Road หากไม่นับรถส่วนบุคคล มอเตอร์ไซด์ ก็จะมีเพียงแค่รถรับจ้างอย่าง สามล้อถีบและ Taxi วิ่งผ่านเท่านั้น สิ่งแรกที่ฉันได้เห็นก็คือรูปปั้นของ มหาตมะ คานธี ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับขนส่งฯ ตรงฉากด้านหลังเป็นรูปจำลองเรือใบ และที่อยู่ถัดไปก็เป็นทะเลสาบ 'ไนนิ' อันเป็นที่มาของชื่อเมืองนี้ แต่ก็ใช่ว่ามีทะเลสาบตรงนี้เพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้นนะ ยังมีทะเลสาบเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียงถัดไปจากนี้อีก ดังนั้นที่นี่จึงได้ชื่อ ว่าเป็น Lake District of India
ฉันแบกกระเป๋าลงมาจากรถเตรียมพร้อมตั้งหลักอีกครั้งในดินแดนใหม่ที่ไม่เคยอยู่ ในความคิดมาก่อน น่าแปลกดีนะ ไม่เห็นมีใครมารุมล้อมแบบที่อื่น ๆ เลย มันรู้สึก ปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก ฉันหันไปหามองจุดจองตั๋วรถโดยสารและคิดว่าเดี๋ยวจะย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะยังพอมีเวลาให้คิดเยอะอยู่ว่าจะไปไหนต่อหลังจากนี้ ว่าแล้วก็แบกเป้ขึ้น หลังเดินเลียบริมทะเลสาบขึ้นไปยังที่หมาย ที่ตั้งอยู่ไกลจนสุดทางเดิน ตั้งใจว่าจะไปพักยัง Youth Hostel อันแสนไกล หรือหากยังโชคดีก็อาจ มีเกสท์เฮาส์ในตำแหน่งใกล้กว่าและมีราคาที่ดีให้พอเอื้อมไหวหลงเหลืออยู่บ้าง
เวลานี้ยังเช้ามากและอากาศก็เย็นสบายสุด ๆ มองไปทางไหนก็ดูร่มไปด้วยต้นไม้ และการจัดระเบียบพื้นที่ที่ดี ทะเลสาบในตอนเช้ามีไอหมอกลอยลงมาปกคลุม ผิวน้ำ เหล่าฝูงเป็ดขาวต่างก็พากันเกาะกลุ่มว่ายน้ำกัน เรือพาย เรือรับจ้าง ที่ทาสี ให้ชวนสะดุดหรือมีรูปทรงแปลก ๆ ยังคงจอดลอยนิ่งบนน้ำอยู่ โดยจุดให้บริการ เรือเหล่านี้จะมีราคาที่ปรากฏบอกไว้ที่ซุ้มอย่างชัดเจน ...
อยู่ ๆ ก็นึกถึงเรือพายรับจ้างที่เมืองพาราณสีขึ้นมา! ฉันเคยต่อราคาจาก 400 รูปี ต่อชั่วโมง จนไปแตะที่ราคาจริงคือ 100 รูปี อะไรที่มีราคากำหนดไว้ชัดเจนมันย่อมรู้สึกดีกว่า ดูเหมือนตัวเองจะยังฝังใจ เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้อยู่ลึก ๆ ก็เพราะเราไม่ใช่คนที่ชอบมาเสียเวลากับ การต่อรองราคาซื้อขายอะไรเก่งนัก ซึ่งพาราณสีได้ให้บทเรียนกับฉันเยอะเลย
ระหว่างที่ต้องเดินทางไกลด้วยเท้าไปตามเส้นถนน Mall Road ในเช้านี้ ฉันก็มัวแต่เดิน ๆ หยุด ๆ เพื่อถ่ายภาพไนนิตาลยามแรกพบลงมือถือเป็นที่ระลึก และเมื่อเจอสัญญาณอินเตอร์เน็ต ในภายหลัง (หลังย้ายเมืองไปแล้ว) รูปนั่นก็ถูกส่งไปอวดเพื่อนชาวพาราณสีอีตาอาชชูจอมโม้ หลังจากข้อความถูก เปิดอ่าน ไม่เห็นเจ้าตัวจะชมว่าเมืองนี้สวยเลยอ่ะ ได้แต่ถามคำเดิม ๆ เมื่อรู้ว่า ฉันกำลังโต๋เต๋อยู่ที่ไหนสักแห่งในประเทศนี้
"แล้วจะกลับมาเที่ยวที่พาราณสีไหม ?"
ฮุฮุ ...
"อื่น ๆ"
21 มีนาคม 2017 ศาลสูงแห่งรัฐอุตตราขัณฑ์ ประกาศให้ แม่น้ำ คงคา และยมุนา มีสถานภาพเป็นบุคคลทางกฏหมายเพื่อมีนัยยะให้ได้รับการปกป้อง จากการถูกทำลายสิ่งแวดล้อม
ซึ่งแนวความคิดนี้ถูกรับมาจากประเทศนิวซีแลนด์ที่ได้ออกกฏหมาย คุ้มครองแม่น้ำ Whanganui ในบริบทเดียวกันเป็นที่แรกของโลก (เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2017)
การเดินทางโดยรถไฟ ไม่มีรถไฟเชื่อมต่อมาที่เมืองนี้โดยตรง สถานีรถไฟจากเมืองใกล้เคียง Kathgodam
ระยะทางไกล Delhi - Nainital : 352 กิโลเมตร ค่าตั๋วรถโดยสารจากเดลี : 460 รูปี (อ้างอิงราคา : 2014)
สถานีขนส่งรถหลักที่วิ่งเชื่อมตรงกับไนนิตาล เดห์ราดูน, เดลี, หริดวาร์
ท่าอากาศยานใกล้เคียง Pantnagar Airport Jolly Grant Airport (Dehradun)
### สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ไปใช้ชีวิตเป็นชาว wwoof ในอินเดียตามที่คิดวางแผนไว้ เพราะหาเวลาที่ลงตัวไม่ได้ จึงได้แค่กลับไปเที่ยวเท่านั้นค่ะ ###
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2557 |
Last Update : 27 ธันวาคม 2560 10:39:50 น. |
|
29 comments
|
Counter : 1737 Pageviews. |
|
|
จ้า ครั้งหน้าก็จะมาเที่ยวต่อ