BlogGang.com : : vistapa : ฝันร้าย

ฝันร้าย

1.

หลายครั้งที่เราตื่นขึ้นมากลางดึก
ด้วยอาการใจเต้นแรง และความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝัน
ว่ากำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่าง คน หรือว่า สัตว์ร้าย
หรืออาจหลงไปในดินแดนที่น่ากลัวและมีภยันตรายต่างๆ
ไฟไหม้ จมน้ำ ว่ายน้ำไม่ถึงฝั่งสักที หรือเดินตกหน้าผาสูงชัน
ถูกทำร้าย หรือไม่ก็ตาย มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยพบมาก่อน
จนเรารู้สึกว่า เรากลัวจนตัวสั่นไปหมด
แม้ในฝันเราจะได้พยายามหาวิธีแก้ไข แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ....

ครั้นเราตกใจตื่นขึ้นมาในความมืด
เมื่อสติกลับคืนมา เราก็พบว่ามันเป็นแค่เพียงฝันร้ายเท่านั้นเอง
และมันไม่ได้เลวร้ายอย่างในฝันเลย
ถึงมันจะทำให้เรานอนไม่หลับไปตลอดคืน
เพราะยังจำความฝันเหล่านั้นได้ แต่มันก็ทำอะไรเราไม่ได้
และเมื่อเราตื่นขึ้นในตอนเช้า ความฝันก็ลบเลือนไป
เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

2.

ความฝัน คือประสบการณ์ของภาพ เสียง ข้อความ ความคิด
หรือความรู้สึกในขณะที่กำลังนอนหลับ โดยผู้ที่ฝันไม่สามารถควบคุมได้
ความฝันมักจะเต็มไปด้วยความคิดในด้านต่างๆ ซึ่งความฝันสามารถเกิดได้
ตั้งแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมจนถึงเรื่องเหลือเชื่อ
นักวิทยาศาสตร์ได้มีการศึกษาความฝัน
โดยอ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของดวงตาขณะนอนหลับ
(rapid eye movement, REM)
การกระตุ้นของต่อมpons ส่วนประกอบส่วนหนึ่งของก้านสมอง
หรือการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจ
และความฝันมักจะเลือนหายถ้าสถานะของการฝันของบุคคลนั้น
ค่อยๆเปลี่ยนจาก สถานะอาร์อีเอม เป็นสถานะเดลต้า และตื่นนอน
ในทางกลับกันถ้าบุคคลนั้นตื่นขึ้นขณะที่อยู่สถานะอาร์อีเอม
(เช่นตื่นโดยนาฬิกาปลุก)
บุคคลนั้นมักจะจำเรื่องที่ฝันได้ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกความฝันที่จะถูกจำได้

3.

คนโบราณสอนไว้ว่า
หากเมื่อใดที่นอนฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้นมา
ให้กลับหมอนซะ แล้วลุกขึ้นไหว้พระสวดมนต์สักหน่อย
ฝันร้ายนั้นก็จะหายไป หรือเพื่อแก้ฝันร้ายให้กลายเป็นดี
บางทีความฝันอาจเป็นเพียงความรู้สึกลึกๆ ในใจเรา
และโผล่ขึ้นมาแสดงให้เราเห็นขณะที่เราหลับและไม่มีสติสัมปชัญญะเท่านั้น

เขาว่ากันว่า...พระอรหันต์ไม่ฝัน เพราะจิตว่างจากความยึดมั่นถือมั่น
พระอรหันต์เป็นผู้ทรงมหาสติตลอดเวลา ไม่ว่ายามหลับหรือตื่น
มีจิตสงบอยู่ในฌาน สติจึงครบถ้วนบริบูรณ์ ปล่อยวางทุกอย่างได้หมด
ความฝันจึงไม่ปรากฏกับท่านเท่านั้นเอง
(ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ถ้าพิจารณาจากเหตุผลก็น่าจะเป็นความจริง)
ครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน จึงสอนให้กำหนดจิตด้วยการทำสมาธิก่อนนอน
และทำสมาธิไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับ
เมื่อใดที่จิตเป็นฌาน จิตจะตัดให้หลับไป ไม่ฝันร้ายอีก...

4.

ในชีวิตจริงของคนเรา
คงจะมีบางช่วงเวลาเหมือนกันที่ตกอยู่ในฝันร้าย
เมื่อได้เจอสิ่งเลวร้ายที่ไม่คาดคิดในชีวิต
ระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ระทมที่ต้องอดทนกับความรู้สึก
ผิดหวัง น้อยใจ เสียใจ จนถึงกับหมดหวังในชีวิต
บางคนอาจมองเห็นว่าตัวเองไร้ค่าไปเลย ถึงกับทำร้ายทำลายชีวิตตัวเอง
หรือมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตที่เหลืออยู่ก็มี
ใครก็ตามที่เดินผ่านฝันร้ายในชีวิตจริงเช่นนี้ คงทุกข์ทรมานไม่น้อย
แต่ถ้าเราตั้งสติให้ดี ยอมรับความจริง
ค่อยๆ แก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ผ่านไปทีละเรื่องๆ
วันหนึ่งใจก็จะยอมรับได้ เมื่อทุกอย่างคลี่คลายลงไป
และเหตุการณ์เหล่านั้น ก็คงเป็นเพียงแค่ฝันร้ายในชีวิตเท่านั้น

5.

วันนี้หากใครได้เจอฝันร้ายไม่ว่าจะเป็นแค่ความฝัน
หรือเป็นฝันร้ายในชีวิตจริงก็ตาม
ก็ลุกขึ้นมาตั้งสติ ตั้งกำลังใจให้ตัวเองเสียใหม่
ปล่อยวางสิ่งที่เป็นปัญหาเสียบ้าง ยอมรับกับตัวเอง
ว่าไม่มีใครจะได้ทุกอย่างที่ตนปรารถนา
คิดซะว่า...ไม่ได้มีเราคนเดียวหรอกที่เจอกับฝันร้าย
ยังมีอีกหลายคนที่ฝันร้ายไม่ต่างไปจากเรา
และบางคนอาจจะยังหลุดออกมาจากความฝันเหล่านั้นไม่ได้เลยก็มี
ลืมตาตื่นขึ้นมาเถอะ มาพบกับความจริง มายอมรับความจริง
ว่ามันเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น และทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราเข้มแข็งพอ ...

...และวันหนึ่งมันจะผ่านพ้นไป...

..ภาพความหลังครั้งมีเธอที่รัก
ยังประจักษ์ซึ้งกมลคนหมองไหม้
ไม่มีแล้วความหลังที่ฝังใจ
เป็นคนไกลต่อกันแล้ววันนี้...

Create Date : 31 ตุลาคม 2550

Last Update : 1 พฤศจิกายน 2550 12:16:55 น.

0 comments

Counter : 659 Pageviews.