Neverending Story จินตนาการไม่รู้จบ................
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
10 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
เราต่างก็เป็นถ้วยชาใบหนึ่ง












1. Tea break


การได้ดื่มชาตอนบ่ายๆ เป็นความสุขของใครต่อใครหลายคน
รวมถึงฉันด้วย ที่ติดในรสชาติของชาผลไม้ หอมกรุ่น อุ่นละไม
การดื่มชามีประโยชน์หลายอย่าง แต่สิ่งที่ฉันได้จากการดื่มชา
นอกจากจะได้กลิ่นชาหอมๆ ที่ผสมรสชาติของผลไม้แล้ว
ก็ยังได้อารมณ์สุนทรีย์ที่สลายเอาความเหนื่อย ความเครียด
และทำให้เกิดความสงบไปพร้อมๆกับการได้ลิ้มรสชานุ่มนวลนั้น


ลำพังแค่การดื่มชาซักถ้วยสำหรับคนทั่วไปคงไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
แต่สำหรับคนญี่ปุ่น...
พิธีการชงชาถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นทั้งศิลป
และสุนทรียภาพที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้เข้าร่วมพิธีนั้น
ถือเป็นการผสมผสานศิลปกับศาสนาเข้าไว้ด้วยกันอย่างแนบเนียน











ท่านไพศาล วิสาโล อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า...

ลัทธิเซนเป็นตัวอย่างของการเชื่อมสองสิ่งนี้เข้าหากัน
โดยเป็นการขัดเกลาจิตวิญญาณหรือการนำสภาวจิต
ให้ได้สัมผัสกับความจริงขั้นสูงสุดหรือปรมัตถ์
อันเป็นความรู้สึกที่เข้าถึงธรรมชาติและจักรวาล
หรือเป็นสภาวะที่อัตตาตัวตนได้เลือนหาย
ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างฉันกับโลกนี้อีกต่อไป
อยู่เหนือบัญญัติหรือความจริงแบบทวินิยม (dualism)
และเป็นสภาวะที่จิตเปี่ยมด้วยเมตตากรุณาอย่างไม่มีประมาณ
(เมตตาอัปมัญญา)


เพียงแค่การดื่มชาและพิธีการต่างๆที่โลกตะวันออก
หลอมรวมเอาศิลปและศาสนาเข้ามาหากันนี้
ทำให้เรามองเห็นความงดงามบางอย่างที่เกิดขึ้น
ระหว่างความจริง ความดี ความงามของศาสนา
กับแง่มุมของศิลปที่นำจิตใจมนุษย์ไปสู่ธรรมชาติ
และความบริสุทธิ์สะอาดของศาสนา
จนเกิดคุณค่าในความเป็นมนุษย์ที่สมบุรณ์แบบยิ่งขึ้นนั่นเอง
ศิลปะการชงชา ซึ่งดูเผิน ๆ เป็นเรื่องของพิธีกรรมที่ซับซ้อน
แต่ที่จริงเป็นกระบวนการกล่อมเกลาจิต ตั้งแต่ระดับพื้น ๆ
คือ การได้สัมผัสกับความงามและรสชาติทางผัสสะ
ไปจนถึงการน้อมใจให้สงบ
และนำไปสู่การเข้าถึงความจริงที่เหนือสมมติได้เป็นอย่างดี ...











สำหรับฉัน...
เวลาดื่มชาทีไร ก็มักจะหวนคิดถึงคำพูดของท่านติช นัท ฮันห์
ที่บอกว่า เวลาของการดื่มชานั้น
เป็นช่วงเวลาแห่งสติ ของการกำหนดรู้
ท่านสอนให้มีสติอยู่กับการกระทำทุกอย่าง แม้กระทั่งเวลาดื่มชา
ถ้าดื่มชาไป คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปร้อยแปดพันเก้า
การดื่มชานั้น...จะไม่ให้อะไรกับเรา
เพราะเราไม่ได้รับรู้รสชาติ กลิ่นหอม ที่แท้จริงของชา
เรากำลังเสพสิ่งที่เราคิด ไม่ใช่ชา เพราะสติไม่ได้อยู่กับการดื่มชา
น่าคิดมั้ย....


ก่อนจะมาเป็นชาชงในถ้วยสวยให้เราได้ดื่มกันนั้น
มีกรรมวิธีมากมาย ตั้งแต่การเลือกเก็บใบชายอดอ่อน
ที่ชาบางชนิดมีเวลาเก็บได้เพียงแค่ 2-3 วัน ในฤดุใบไม้ผลิเท่านั้น
ไปจนถึงการอบชา คั่ว บ่มหมัก ให้หอม หรือตากกลางแสงอาทิตย์ธรรมชาติ
ตามชนิดของชาแต่ละอย่าง
และไม่ว่าชาขาว ชาเขียว หรือชาดำ ต่างล้วนแต่มีที่มาจากจีนทั้งนั้น
เพราะจีนเป็นต้นตำรับของการดื่มชามานมนานกาเลแล้ว
ก่อนที่ชาติอื่นๆ อย่างญี่ปุ่น ศรีลังกา หรือยุโรปจะนิยมดื่มกัน
และกลายเป็นที่นิยมกันไปทั่วโลกในปัจจุบันนี้











2. ชีวิตก็เหมือนใบชา


มีเรื่องเล่าเปรียบเทียบคนกับใบชาว่า...
ชายคนหนึ่งพบกับความผิดหวังจึงไปหาพระ
แล้วก็เล่าระบายความทุกข์ให้ท่านฟังทำนองว่า

"คนที่ล้มเหลวอย่างเขา มีชีวิตก็เพียงแค่อยู่ไปวันๆเท่านั้น"

พระอาจารย์สั่งให้พระลูกวัดยกกาน้ำอุ่นมาชงชาให้ชายคนนั้นดื่ม
ชายหนุ่มมองแก้วชาแล้วก็ถามว่า

"ทำไมวัดนี้จึงใช้น้ำอุ่นชงชาล่ะ"

"ดื่มชาก่อนเถอะ ชานี้คงจะหอมซินะ"

"นี่เป็นชาอะไรครับ ทำไมจึงไม่มีความหอมของกลิ่นชาแม้แต่น้อย"

พระอาจารย์จึงสั่งพระอีกรูปหนึ่งยกกาน้ำร้อนมาให้
แล้วก็ชงชาถ้วยใหม่ด้วยน้ำร้อนให้ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มก้มมองถ้วยชาใหม่ มองเห็นใบชาลอยขึ้นลง
แล้วก็จมลงไปก้นถ้วย พร้อมกับส่งกลิ่นหอมของใบชาอบอวลออกมา

พระอาจารย์จึงถามว่า

"ทำไมใบชาชนิดเดียวกัน แต่กลิ่นชาจึงแตกต่างกันล่ะ"

ชายหนุ่มตอบว่า

"เพราะถ้วยหนึ่งใช้น้ำอุ่นชง ส่วนอีกถ้วยหนึ่งใช้น้ำร้อนชง"

พระอาจารย์จึงกล่าวว่า

"คนมากมายบนโลกนี้ มีอะไรไม่เหมือนชาล่ะ
คนที่ไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาว ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆไปเรื่อยๆ
ก็เหมือนกับใช้น้ำอุ่นชงชา ใบชาลอยไปเสมอกัน
ไม่สามารถกลั่นเอาความหอมและปัญญาออกมาได้ "

"คนที่ต้องพบกับอุปสรรคและทุกข์
พบกับโชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าก็เหมือนใบชาที่ชงกับน้ำร้อน
พวกเขาผ่านวันเวลา ฝ่าลมฝนพายุที่ขึ้นๆลง เสมอมา
ทำให้ชีวิตของพวกเขาค่อยๆกลั่นความหมายออกมาได้
สวนกระแสขึ้นมาเหมือนใบชาในถ้วยน้ำร้อน
แล้วพวกเราทำไมจะไม่เหมือนชา
ชะตาชีวิตทำไมจะไม่เหมือนกาน้ำอุ่นหรือน้ำเดือดล่ะ"

"ใบชา...ที่ถูกน้ำร้อนจัด
จึงคายความหอมที่บ่มเพาะอยู่ในตัวออกมา ชีวิตก็เช่นกัน
ชีวิตคนทุกคน ที่ผ่านอุปสรรคและความยากลำบาก
จึงจะบ่มเพาะความหอมหรือศักยภาพที่มีอยู่ในตัวตนออกมาได้นั่นละ"











คนดื่มชามักจะชอบถ้วยชาสวยๆ
ถ้วยชาส่วนใหญ่จะค่อนข้างบาง อย่างเช่นถ้วยกังไส เป็นต้น
มันทำให้เกิดความรู้สึกอยากดื่มมั้ง
บางคนถึงกับสะสมไว้เยอะแยะก็มีเหมือนกัน
และด้วยความเปราะบางของมันนี่เอง จึงต้องระมัดระวังเวลาใช้
ไม่ให้ไปกระทบกับอะไร เพราะมันจะร้าวหรือแตกได้ง่าย


สำหรับฉัน มีถ้วยชาอยู่ไม่กี่ใบ แล้วก็เลือกใช้ใบโน้นบ้างใบนี้สลับกัน
ตามแต่อารมณ์จะพาไป แต่มีเพียงใบเดียวที่เป็นใบโปรด
และหยิบมาใช้บ่อยกว่าใบอื่น ไม่ใช่เพราะสวยหรูอะไรหรอก
แต่เป็นเพราะมันเป็นถ้วยชาพิเศษที่ได้จากคนพิเศษต่างหาก
การได้ดื่มชาจากถ้วยใบนี้ ก็จะนึกถึงคนให้
...ในเวลาที่เรามีความสุข และอยากแบ่งปันความสุขนั้น
ทั้งยังทำให้รู้สึกเหมือนได้ดื่มชากับคนรู้ใจยังไงยังงั้นเชียวละ









3. ความยึดมั่นถือมั่น


มีคนเปรียบเทียบถ้วยชาไว้หลากหลาย
เปรียบเป็นอารมณ์ความรู้สึกของคนเรา
เปรียบเป็นตัวตนของคนใกล้ตัวก็มี
แต่ทั้งหมดทั้งสิ้น มันคือ ความยึดมั่นถือมั่น
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ความรู้สึก หรือตัวบุคคลที่เราคิดว่า
เป็นเรา เป็นของเรานั่นเอง....
และเมื่อไปยึดติดสิ่งกับเหล่านั้น ทุกข์ก็เกิดขึ้น


เพราะฉะนั้นไม่ว่า ใครจะดื่มชาหรือไม่ก็ตาม
เราทุกคนต่างมีถ้วยชาเป็นของตนเองทั้งนั้น
ถ้วยชาที่เปราะบาง เมื่อกระทบกับอะไรเข้า
ก็จะทำให้รานร้าว หรือแตกเอาง่ายๆ
เราจึงต้องระมัดระวังถ้วยชาของเราให้ดีๆ
ไม่เอาไปกระทบกับถ้วยชาของคนอื่น
หรือต้องระวังเวลาที่ถ้วยชาของเราถูกกระทบ
ไม่ให้มันแตกไปซะก่อน
การระมัดระวังก็คือ การมีสติระลึกรู้ในการกระทำ
และอารมณ์ที่เกิดขึ้นของเรา และของคนอื่นด้วย
และเพราะความยึดมั่นถือมั่นในถ้วยชาของเราแต่ละคนนี่เอง
จึงทำให้เกิดความรู้สึกที่ทนไม่ได้ และเป็นทุกข์ตามมา


หลวงพ่อชาเล่าให้ฟังว่า...


"จะเล่าเรื่องถึงสมเด็จพระสังฆราช
แต่อาตมาได้ยินเขาเล่าต่อๆ กันมานะ
ท่านไปเมืองจีนพอไปถึงพวกชาวจีนเขาถวายถ้วยชา
แหม มันสวย เหลือเกิน ที่เมืองไทยมันไม่มีนะนี่
พอท่านได้ถ้วยชาปุ๊บเป็นทุกข์เลย จะวางตรงไหนที่จะเก็บตรงไหน
เอาใส่ย่ามใส่กระเป๋า ใครมาจับย่ามท่าน
ท่าน ก็ว่า ระวัง ถ้วยชานะมันจะแตก ระวังนะของแตกมันอยู่ในนั้น
ท่านเลยวุ่นตลอดมา ท่านทุกข์มาตลอด
ทุกข์เพราะว่ามีขึ้นมาแล้วไปยึดมัน มันเลยเป็นทุกข์"


"อยู่มาเช้าวันหนึ่งสามเณรทำถ้วยชาหลุดมือแตก
ท่านก็ว่า เอ้อ หมดทุกข์ไปซะที"
เรียกได้ว่า หมดห่วง หมดทุกข์ไปซะได้
เพราะสิ่งที่ยึดไว้ มันแตกไปซะแล้ว ...











เรื่องเล่าสนุกๆอีกเรื่องมีอยู่ว่า...
ในสมัยอาชิคากะที่ประเทศญี่ปุ่น มีเด็กน้อยผู้หนึ่งชื่อว่าอิคคุยุ (อิคคิว)
ชอบติดตามมารดาไปวัดอยู่เสมอ
หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็ชอบเรียกไปใช้สอยอย่างใกล้ชิด
วันหนึ่งขณะที่กำลังปัดกวาดทำความสะอาดอยู่นั้น
ก็บังเอิญไปปัดเอาถ้วยชาอย่างดีราคาแพงของหลวงพ่อตกแตก
เด็กน้อยรู้สึกตกใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นของหาไม่ได้อีกแล้ว


เสียงหลวงพ่อก็กำลังเดินเข้ามาในห้อง
หนูน้อยอิคคุยุไม่มีเวลาคิดมากกระวีกระวาดลุกขึ้นยืน
ทั้งสองมือถือถ้วยชาที่แตกซ่อนไว้ข้างหลัง
ตาจ้องมองหลวงพ่อที่นั่งลงบนอาสนะ
อิคคุยุก็แน่ใจว่าหลวงพ่อคงยังไม่ได้ยืนเสียงถ้วยชาแตก
จึงเกิดปฏิภาณ ขึ้นทันที

"หลวงพ่อครับ คนเรานี่ต้องตายทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้นเลยหรือครับ"

"ลูกเอ๋ย มันเป็นกฏธรรมชาติธรรมดา"

หลวงพ่อชี้แจงและกล่าวต่อไปอืกว่า

"บรรดาทุกสิ่งในโลกไม่มียกเว้น
เมื่อถึงคราวแล้วย่อมต้องตายอย่างแน่นอน"

อิคคุยุนั่งฟังหลวงพ่อเทศน์สอนจนจบ
แล้วแบมือยื่นเศษถ้วยชาให้หลวงพ่อดู
พร้อมกับทำหน้าเศร้าๆ ว่า

"ถ้วยชาของหลวงพ่อก็เหมือนกันครับ มันถึงคราวตายเสียแล้ว"


เด็กน้อยอิคคุยุ ผู้มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศนี้
ต่อมาได้มาเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายเซ็นในสมัยที่ท่านโตและบวชเป็นพระ
และตัวลูกศิษย์องค์นี้ กลับเป็นผู้บรรลุธรรม
ก่อนอาจารย์ผู้เฒ่าของท่านเสียอีก


นี่เป็นเรื่องของความยึดมั่นถือมั่นที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่
ไม่ได้ละเว้นใครทั้งนั้น....











4. เราทุกคนต่างก็เป็นถ้วยชาใบหนึ่ง


ชีวิตของคนเราที่เกิดมาเป็นมนุษย์
นอกจากจะเปรียบเทียบว่าไม่ต่างอะไรกับใบชาแล้ว
ก็ยังเปรียบเทียบว่า ไม่ต่างอะไรกับถ้วยชาอีกเหมือนกัน
ตราบใดที่ชีวิตยังวนเวียนอยู่ในวัฎฎะของความไม่แน่นอนนี้
ชีวิตที่สร้างทั้งบุญและบาปสลับกันไป
และไร้ซึ่งสัมมาทิฐิ ที่จะพาตนไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นดีกว่าที่เป็นอยู่
ชีวิตที่มีบาปก็จะนำคนๆนั้นตกไปสู่ภพภูมิระดับที่ต่ำกว่ามนุษย์
คนที่ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด ไม่เชื่อเรื่องกฎของกรรม
อาจจะไม่เข้าใจเรื่องนี้...
จึงอยากจะยกเรื่องเล่าที่ปรากฎอยู่ใน
วิถีบูรพา ลีลาจอมยุทธ์มาเล่าให้ได้ฟังกัน











ในภาพยนตร์ Little Buddha ของแบร์โตลุชชี่
บิดาของเจสซีที่เป็นฝรั่งในภาพยนตร์เรื่องนั้น
ก็ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี้เหมือนกัน
ท่านลามะนอร์บูจึงสาธิตและอธิบายให้ดูเป็นเชิงเปรียบเทียบ
ด้วยการหยิบถ้วยชาที่บรรจุน้ำชาเต็มถ้วย
เขวี้ยงลงกับพื้นให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ
(ฉากนี้นับเป็นฉากที่ดีที่สุดฉากหนึ่ง ของภาพยนตร์เรื่องนี้)
แล้วท่านลามะนอร์บูก็กล่าวขึ้นว่า

"น้ำขาอยู่ในถ้วยชา ถ้าถ้วยชาคือกาย และน้ำชาคือใจ
เมื่อถ้วยชาแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว น้ำชาจะสูญหายไปไหม พ่อหนุ่ม?

"ไม่ครับ"

ลามะนอร์บูเอาผ้าขี้ริ้วออกมาซับน้ำชาที่เปียกอยู่บนพื้น
แล้วบิดเอาน้ำชาออกมาจากผ้าขี้ริ้ว

"ตอนนี้น้ำชาย้ายที่อยู่จากถ้วยชาใบงาม มาอยู่กับผ้าขี้ริ้วผืนนี้แล้ว
เธอยังกล้าที่จะดื่มชานี้อีกไหม พ่อหนุ่ม"


ชายหนุ่มได้แต่นิ่งอึ้ง เงียบงัน ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด
"ผ้าขี้ริ้วคือ "ภพ" ที่ต่ำลงสำหรับน้ำชา เมื่อเปรียบเทียบกับถ้วยชา
แต่ถ้าหากเรารินน้ำชาจากถ้วยใบหนึ่งไปใส่ถ้วยชาอีกใบหนึ่ง
ที่มีรูปโฉมภายนอกหรือใช้วัสดุที่ดีกว่าหรือไม่ดีเท่าเก่าล่ะ
ภพของน้ำชาจะเป็นยังไง "

" หรือถ้าหากน้ำชาระเหยกลายเป็นไอลอยไปในอากาศ
โดยไม่กลับมาเป็นน้ำชาที่ต้องอาศัยภาชนะรองรับอีก
จะกล่าวได้ไหมว่าน้ำชาที่ระเหยไปนั้นคือ
การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด"


และถ้าหาก "กาย" เป็นเพียงแค่ภาชนะที่ห่อหุ้ม "ใจ"
ซึ่งจะต้องถูกแทนที่ไปโดยภาชนะอื่น...ไม่ช้าก็เร็ว
ดุจการเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้แล้ว
เราจะทำยังไง ....กับถ้วยชาที่เป็นเราในวันนี้"
จะถ่ายชาไปสู่ถ้วยที่สวยขึ้นหรือเทมันใส่ผ้าขี้ริ้ว
อย่างที่ท่านลามะนอร์บูเปรียบเทียบให้เห็น











ผู้ที่มีความเชื่อว่า ชีวิตนี้มีหนเดียว
ตายไปแล้วก็ดับสูญและไม่เชื่อในวัฏฎสงสาร
วันหนึ่งท่านอาจจะต้องเตรียมดื่มน้ำชาจากผ้าขี้ริ้วก็ได้
หรือถ้ากำลังเดินบนทางแห่งอริยมรรคอันประเสริฐอยู่แล้ว
วันหนึ่งชาในถ้วยของท่านก็จะกลายเป็นไอที่ระเหยไป
โดยไม่ต้องอาศัยถ้วยชาเหมือนที่เป็นอยู่ขณะนี้อีก

ท่านมีโอกาสเลือกแล้ว... จะเลือกทางไหน อย่างไร
ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ท่านลิขิตชีวิตของท่านเอง
เพราะวันนี้เราต่างก็เป็นถ้วยชาใบหนึ่งเหมือนๆกัน

ว่าแต่....ท่านได้อะไรจากการดื่มชาวันนี้บ้างคะ....


















Create Date : 10 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 18:12:10 น. 5 comments
Counter : 2303 Pageviews.

 




โดย: LittleDaimon วันที่: 10 เมษายน 2555 เวลา:20:20:42 น.  

 


โดย: LittleDaimon วันที่: 10 เมษายน 2555 เวลา:20:23:18 น.  

 
เอิ๊กกกกก มาดื่มน้ำชาด้วยกันเหรอจ๊ะ สาวน้อย

ยังไงมันก็อยู่คนละบันทัดอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ


โดย: vistapa วันที่: 10 เมษายน 2555 เวลา:20:32:04 น.  

 


โดย: vistapa วันที่: 10 เมษายน 2555 เวลา:20:38:00 น.  

 
หาอ่านเรื่องชาและการชงชาจนมาเจอบล็อคนี้
"เราต่างก็เป็นถ้วยชาใบหนึ่ง"
ชอบมากๆเลยค่ะขอเก็บข้อคิดดีๆไปใช้นะคะ
ขอบคุณค่ะ


โดย: แม่ดา (womam in love ) วันที่: 15 มิถุนายน 2555 เวลา:15:07:47 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

vistapa
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]











ปีใหม่นี้ไม่มีของขวัญมาให้
มีก็แต่หัวใจดวงนี้
มามอบให้แด่เพื่อน..ที่แสนดี
ด้วยรักและหวังดีอย่างจริงใจ


ให้ร่ำรวยสวยฉลาดสมปรารถนา
ให้ชีวิตมีคุณค่าดังฝันใฝ่
ให้พ้นทุกข์พ้นโศกไร้โรคภัย
ตั้งแต่นี้ตลอดไปทุกท่านเทอญ...




Friends' blogs
[Add vistapa's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.