ฉันฝัน.. กำลังเต้นรำ.. บนหลังคา..
ความฝันที่ใต้หมอน (ตอนที่ 6)

ตอนที่ 6


การเรียนในมหาวิทยาลัยหนักหนามากขึ้นทุกวัน หลายต่อหลายครั้งที่เธอเดินผ่านคณะศิลปกรรมที่นุ่นเรียนอยู่แล้วนึกอิจฉา ได้ข่าวว่าตอนนี้นุ่นกำลังกำกับการแสดงการเต้นร่วมสมัยอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็เทียบได้กับการทำรายงานชิ้นโตของคณะเธอนั่นเอง

ทอแสงนึกย้อนไปตอนก่อนเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเสียดาย จำได้ว่าเอมอรได้เอาเอกสารแนะนำโรงเรียนบัลเล่ต์ที่เมืองนอกมาปึกใหญ่ให้เธอเลือกดูว่าอยากไปที่ไหน และจะช่วยถ่ายทำวิดีโอเพื่อสอบเข้าโรงเรียนนั้นให้ แต่พอเธอบอกว่าไม่แน่ใจนักว่าอยากจะไปเรียนเต้นจริงจังที่เมืองนอก ครูเธอจึงบอกเธอว่า

“เรียนเต้นมาขนาดนี้แล้วจะทิ้งมันเหรอ ทำไมไม่ไปให้สุด”

แล้วเธอก็ไปไม่สุดอย่างที่ครูว่าไว้ ก็จริงอย่างที่ใครเขาบอกไว้ ว่าโลกความจริงกับโลกความฝันนั้นมักจะเป็นเส้นขนานกันไปเสมอ ทอแสงก็มีความฝันของตัวเธอเหมือนกัน เธอเคยวาดภาพตัวเองเป็นนางเอกของคณะบัลเล่ต์ดังๆ แต่ยิ่งวันเธอก็ยิ่งได้เรียนรู้ว่า หลายๆ ครั้งความฝันมันก็เหมาะจะเป็นเพียงความฝันเท่านั้นแหละ การจะเดินทางไปบนเส้นทางสายนั้น ต้องแลกกับการเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งทอแสงรู้ดีว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คำว่าเต้นกินรำกินที่ญาติๆ พูดดูเหมือนจะฝังลึกในความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ไปแล้ว ที่บ้านต้องการให้เธอรับราชการ มีเกียรติ มีหน้าตาในสังคม

มันเป็นช่วงเวลาที่เธอสับสนที่สุดในชีวิต เธอต้องเลือกระหว่างสิ่งที่เธอรักกับอนาคตที่มั่นคงซึ่งพ่อกับแม่พร้อมจะจัดสรรปูทางให้ และเมื่อเธอได้เลือกเรียนต่อด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามที่พ่อกับแม่ต้องการนั้น เธอก็ได้พบว่าสิ่งที่เธอทำไปเพื่อความสบายใจของพ่อกับแม่นั้น กลับเบียดบังชีวิตที่เธอรักไปเสียหมด ก็ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่ต้น เธอก็คงจะดึงดันไปอีกทางแน่นอน

“ทอแสงทำรายงานเสร็จวิชานโยบายต่างประเทศเปรียบเทียบเสร็จรึยัง” เสียงแจ๋นแหวกอากาศมาก่อนเจ้าของเสียงเสียอีก

“เฮ้ย ยังไม่ได้แตะเลย” เจ้าตัวสะดุ้ง “ใกล้ส่งแล้วนี่หว่า”

“ถูก” คนพูดทำหน้าเบื่อหน่าย “เหนื่อยจังเลยว่ะ สั่งงานติดๆๆๆ กัน ไม่เห็นใจคนเรียนมั่งเลย จะไปทำทันได้ยังไง”

“นั่นสิ อยากให้วันหนึ่งมีซัก 40 ชั่วโมงจริงๆ เลย”

“สาวๆ บ่นอะไรกันจ๊ะ” เพื่อนอีกคนโผล่พรวดเข้ามากลางวง

“ไอ้ติ๊นาบ้า ตกใจหมด” จิ๊กกี้แหวออกมา “บ่นเรื่องรายงานน่ะสิ แกทำเสร็จรึยังล่ะ”

“ยังเลย แล้วแกล่ะ จิ๊กกี้จิ๊ก” ติ๊นา หรือตี๋น้อยของที่บ้านพูดเหมือนร้องเพลง ราวกับสบายใจเสียเต็มประดา

“ยังไม่แตะเลย เฮ้อ มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย วิชานู้นก็ยังไม่ทำ วิชานี้ก็ยังไม่เสร็จ ดินพอกหางหมูจนขึ้นมาถึงพุงหมูแล้วเนี่ย”

“ขี้บ่นจริงยายนี่นี่ เดี๋ยวเย็นนี้เราไปหาข้อมูลในหอสมุดกันมั้ยล่ะ แล้วแวะกินขาหมูทอดที่หน้าคณะนิเทศน์ด้วย” ติ๊นาชวน

“ไปๆๆ” สองสาวพยักหน้า


นับแต่ปี 2 จนถึงปีสุดท้ายของชีวิตในมหาวิทยาลัยนี้ ทอแสงรู้สึกราวกับว่าถูกรายงานท่วมทับจนหายใจไม่ออกแทบจะตลอดเวลา เวลานอนเหมือนไม่เคยมีอยู่จริง และเวลากินก็กลายเป็นเวลาเดียวกับเวลางาน หอสมุดก็แทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองอยู่รอมร่อ ส่วนการเต้นน่ะเหรอ อย่าไปพูดถึงเลย โลกใบนั้นดูเหมือนจะลอยห่างไปเรื่อยๆ

และตอนนี้ ตรงหน้าเธอก็คือขาหมูทอดหอมฉุยราคาประหยัดที่เธอและเพื่อนๆ แวะมาเก็บตุนพลังงานใส่พุงไว้ก่อนขึ้นไปลุยกับหนังสือทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกองโตในหอสมุด แล้วอยู่ยาวจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืนนั่นแหละถึงแยกย้ายกันกลับบ้าน ไอ้เจ้าขาหมูทอดหน้านิเทศเนี่ย กลายเป็นอาหารจานโปรดของกลุ่มไปตั้งแต่เมื่อไหร่ทอแสงก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่า ทอแสงคนเดิมที่เคยระมัดระวังเรื่องอาหารการกินเพื่อให้น้ำหนักตัวคงที่นั้นเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย

“เดี๋ยวแวะเซเว่นหาอะไรไว้กระแทกปากตอนดึกๆ กันด้วยมั้ย” นั่นแหละสำนวนเจ๊ติ๊นาเขา “ฉันมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าถ้าได้กินโอริโอ บิ ชิมครีม จุ่มนมแล้วจะทำรายงานได้คล่องปรื๊ดๆ เลย”

ด้วยความหมั่นไส้สุดขีด ทอแสงเอื้อมมือไปหยิกพุงย้อยของติ๊นาเข้าหมับใหญ่ เสียงโอ๊ยผสานกับเสียงหัวเราะของสองสาวดังลั่นร้าน เจ้าตัวร้องโวยวายเสียงดัง

“แหม พวกหล่อนผอมกันนักนี่ แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ใส่ชุดนิสิตมาเรียนกันแล้วล่ะยะ กระโปรงคับติ้วใส่ไม่ได้แล้วล่ะสิ” ไม่พูดเปล่า ยังแก้แค้นด้วยการเอื้อมมือมาบีบเนื้อที่ต้นแขนของทอแสงคืนบ้าง นี่ถ้าเป็นสักสองปีที่แล้วเนี่ย เธอคงโกรธเอาเป็นเอาตายเลยล่ะ แต่โชคดีที่เธอเลิกใส่ใจเรื่องพวกนี้มานานแล้ว ถ้ามัวแต่ระวังรูปร่างก็คงหลับคารายงานทุกคืน ไม่มีทางทำเสร็จได้หรอก

“พอแล้วน่า รีบๆ ไปลุยงานกันได้แล้ว” จิ๊กกี้สวมบทผู้คงแก่เรียนขึ้นมาทันควัน เพราะกลัวว่ามือของติ๊นาจะลามมาถึงตัวนั่นเอง


เมื่อพายุรายงานของเทอมแรกผ่านพ้นไป ช่วงเวลาแห่งการฝึกงานก็เริ่มต้นขึ้น

“ถ้าทางองค์การสหประชาชาติเขารับเด็กปริญญาตรีไปฝึกงานก็ดีสิ ฉันจะโร่เข้าไปสมัครเลย เผื่อประวัติการทำงานจะสูงส่งขึ้นมามั่ง” ติ๊นาพูดด้วยเสียงเคลิ้มฝัน

“ใครว่าเขาไม่รับล่ะ เมื่อสองสามปีก่อนก็เคยมีรุ่นพี่พวกเราได้ไปฝึกงานด้วย แต่อย่างหล่อนน่ะนะ เขาคงไม่รับเข้าไปให้องค์กรเขาแปดเปื้อนหรอกย่ะ” จิ๊กกี้ใจร้ายกับเพื่อนตามเคย แถมท้ายอีกว่า “ฉันว่าอย่างทอแสงน่ะ ถ้าสมัครยังจะมีโอกาสมากกว่า เกรดก็ดี ภาษาก็ได้”

จิ๊กกี้ไม่ได้พูดเกินจริง ก็บ่อยครั้งไปที่บ้านสวนสตูดิโอมักจะมีชาวต่างชาติมาสอน สามเดือนบ้าง หกเดือนบ้าง เธอก็ได้หัดใช้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆ จนซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมีส่วนช่วยให้การเรียนในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมดนี้ไม่ลำบากลำบนจนเกินไปนัก

“ไม่เอาล่ะ เราอยากลองทำงานเกี่ยวกับพวกองค์กรเพื่อสังคม หรือพวกเอ็นจีโออะไรอย่างนี้มากกว่า”

“จริงเหรอ ทอแสง” จิ๊กกี้พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เราก็อยากทำเหมือนกัน”

“ต๊าย ยัยจิ๊กกี้อย่างหล่อนน่ะเหรอจะทำได้ เดี๋ยวก็กลัวแดด บอกว่าผิวเสียมั่งล่ะ เดี๋ยวก็ต้องไปนวดหน้าทำผม มาเรียนก็สายเพราะมัวแต่นั่งแต่งหน้า ฉันล่ะนึกภาพหล่อนเป็นเอ็นจีโอไม่เลยจริงจริ๊ง ให้ตายเถอะ” ติ๊นาสะบัดเสียงใส่ ไม่สนใจว่าจิ๊กกี้จะทำหน้าปะหลับเหลือกอย่างไรบ้าง

ที่ติ๊นาพูดก็คงจะถูก เพราะสุดท้ายแล้ว จิ๊กกี้ก็ไม่ได้เข้ามาฝึกงานด้านนี้จริงๆ เพื่อนของทอแสงทั้ง 2 คน จูงมือกันไปสมัครฝึกงานกับบริษัทข้ามชาติใหญ่โตแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่ทางคณะรับรองแถมยังมีเบี้ยเลี้ยงให้เด็กฝึกงานด้วย ในที่สุดก็เหลือทอแสงคนเดียวที่ไปฝึกงานในองค์กรเพื่อสังคมระหว่างประเทศตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา

“คุณจะได้อะไรมากกว่าในห้องเรียนเยอะ ถ้าอยากจะก้าวต่อไปทางด้านสายวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องเหล่านี้ล่ะก็ ผมว่าที่นี่น่าจะเหมาะมากทีเดียวในการเป็นที่ที่ให้คุณได้เรียนรู้ เพราะเขาไม่ได้ให้เด็กฝึกงานทำงานแค่ในระดับเด็กฝึกงานหรอก”


เฮ้อ ไรว้า สุดท้ายก็ทิ้งเราคนเดียว... ทอแสงคิดในใจพร้อมค้อนเพื่อนใส่ต้นไม้ไปหนึ่งยกในขณะกำลังเดินทางไปยังที่ทำการขององค์กรดังกล่าวซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้นย่านเจริญนคร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นบ้านคนเสียมากกว่า เธอเดินเลี้ยวไปตามป้ายบอก ขึ้นบันไดไปเพื่อเจอกับห้องโถงพื้นไม้ที่หน้าตาเหมือนเป็นสำนักงาน แต่บรรยากาศก็เหมือนไม่ใช่ เพราะไม่มีเครื่องปรับอากาศ หน้าต่างทุกบานเปิดโล่ง และที่สำคัญ เงียบเป็นอย่างยิ่ง เธอเคาะบานประตูที่เปิดอยู่ ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะไม่รู้มาผิดที่หรือเปล่า หัวยุ่งๆ ของผู้ชายโผล่มาจากหลังคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง ท่าทางแปลกใจพอสมควรที่เห็นเธอ

“สวัสดีครับ ติดต่อเรื่องอะไรครับ”

“ติดต่อคุณเฟย์เรื่องฝึกงานน่ะค่ะ”

เขาแทบจะตบเข่าตัวเองดังฉาด นี่เขาลืมไปได้ยังไงเนี่ย เพิ่งคุยกันเมื่อวานนี้แท้ๆ

“ต้น เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีน้องฝึกงานมาคนหนึ่งนะ” เฟย์ สาวใหญ่ผมทองผู้ติดตามสามีข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นเอ็นจีโอในเมืองไทยเกือบยี่สิบปีบอกเอาไว้แล้ว “ฉันกับสุจะไปประชุมที่มาเลเซียทั้งอาทิตย์เลย ฝากต้นดูแลน้องเขาด้วยแล้วกัน”

ก็.. ก็เฟย์ไม่ได้บอกไว้นี่ว่าน้องฝึกงานเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักขนาดนี้นี่นา ตลอดหลายปีที่เขาเข้ามาทำงานที่นี่ เด็กฝึกงานที่มาแต่ละคนมีแต่ผู้ชายหน้าตาโหดๆ ทั้งนั้น นานทีปีหนถึงจะหลุดมาเป็นผู้หญิงบ้างซึ่งก็ไม่มีใครเหมือนผู้หญิงสักน

“เอ่อ... ครับๆๆ “คุณเฟย์ไปประชุมที่มาเลเซีย จะกลับเข้ามาวันจันทร์หน้าน่ะครับ แล้วน้องชื่อ...” ต้นเพิ่งจะก้มลงมองโน้ตที่เฟย์จดเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานเป็นครั้งแรก “..ทอแสงใช่มั้ยครับ”

“ค่ะ”

นี่ก็อีก ชื่อทอแสงอาจจะเป็นผู้ชายก็ได้นี่หว่า เฟย์นะเฟย์ ไม่บอกกันมั่งเลย จะได้เตรียมตัวเตรียมใจ นี่ก็อยู่คนเดียวอีกด้วย คนอื่นๆ มันหายหัวไปไหนกันหมดวะ ต้นคิดพาลไปทั่วด้วยความที่ทำตัวไม่ถูก แล้วก็พยายามระลึกชาติว่าเมื่อวันแรกที่เขาเข้ามาทำงานนั้น พี่ๆ ให้เขาทำอะไรบ้าง

“เอ่อ.. พี่ชื่อต้นนะครับ เดี๋ยววันนี้น้องนั่งอ่านเอกสารขององค์กรไปก่อนแล้วกัน จะได้รู้ว่าเราทำอะไรบ้าง” ต้นพูดพลางชี้ไปยังตู้เก็บเอกสารที่จัดใส่แฟ้มเรียงไว้เป็นระเบียบ รู้สึกโล่งอกที่หาอะไรให้ทอแสงทำได้

ทอแสงรับคำแล้วเดินไปที่ตู้เอกสาร สายตามองไปรอบๆ ออฟฟิศอะไรเงียบขนาดนี้เนี่ย นึกเสียใจอยู่ครามครันที่เชื่ออาจารย์ และไม่ตามเพื่อนสนิทสองหน่อไปสมัครบริษัทยักษ์ใหญ่นั้นด้วย ตอนนี้คงสนุกกันใหญ่แล้ว ไม่น่าจะเงียบเป็นเป่าสากเหมือนที่นี่ แล้วก็เหมือนต้นจะรู้ว่าทอแสงคิดอะไรอยู่ เขาจึงหันมาบอกทอแสงว่า

“ช่วงนี้เพิ่งปิดงานไปหนึ่งชิ้น เจ้าหน้าที่ก็เพิ่งกลับจากต่างจังหวัดกันเมื่อวานนี้เอง ไอ้พวกเพื่อนๆ พี่มันคงหมดแรงนอนอยู่บ้านกัน จริงๆ ที่นี่คึกคักครับ คึกคัก” น้ำเสียงดูจะร้อนตัวนิดๆ จนทอแสงต้องยิ้มออกมาแบบขำๆ

“แล้วพี่ไม่ได้ไปด้วยเหรอคะ” เธอชวนคุยบ้าง ไม่ให้ออฟฟิศเงียบเกินไป
“ก็ต้องเตรียมข้อมูลส่งให้เฟย์ทางอีเมล์สำหรับเอาไปประชุมนี่แหละครับ ก็เลยขอทำงานอยู่ที่นี่ดีกว่า”

ทั้งคู่นั่งเงียบกันไปอีกพักใหญ่ ต้นกลับไปง่วนอยู่หน้าคอม ส่วนทอแสงนั่งอ่านเอกสารอยู่เงียบๆ แต่ไปๆ มาๆ หนังตาก็ชักจะหนัก เธอพยายามต่อสู้กับความง่วงสุดฤทธิ์แล้วตั้งใจจะอ่านเอกสารปึกนี้ให้จบให้ได้ แต่ไม่ว่าจะหยิกเนื้อทึ้งผมตัวเองขนาดไหน อาการสัปหงกก็ไม่เข้าใครออกใคร ในที่สุดหัวเธอก็โขกโต๊ะดังโป๊กเข้าให้จนได้ คราวนี้ตาสว่างโดยไม่ต้องพยายาม แต่หน้าแดงก่ำด้วยความอาย เสียงกึกๆ กักๆ ดังมาจากโต๊ะที่ต้นนั่งอยู่ เธอหันไปมองก็เห็นต้นนั่งตัวสั่นๆ เห็นได้ชัดว่าพยายามจะกลั้นหัวเราะเต็มที่

“ไม่เป็นไรน้อง พี่ไม่เห็น” น้ำเสียงนั้นยังขาดๆ หายๆ ตามแรงสั่นของตัวอยู่เลย “กาแฟอยู่ที่ห้องครัวด้านนอกแน่ะ โกโก้ ไมโล โอวัลตินก็มีพร้อม เลือกเอาตามใจชอบเลย”

ทอแสงเจ็บหัวก็เจ็บ ขำตัวเองก็ขำ อายเหรอก็แสนจะอาย แถมยังโดนต้นแซวอีก “เดี๋ยวอาทิตย์หน้ารับรองงานยุ่งจนไม่มีเวลาเอาหัวโขกโต๊ะเล่นแน่ๆ ครับน้อง”

ทอแสงหัวเราะออกมาจนได้ แล้วเดินออกไปชงกาแฟแก้เขิน


สัปดาห์ต่อมางานยุ่งอย่างที่ต้นบอกเธอไว้จริงๆ ด้วย ชาวต่างชาติเข้าออกออฟฟิศไม่ขาด งานแปลเอกสารมากมายล้นมือ และเสียงโทรศัพท์ก็ดังแทบจะตลอดเวลา แม้จะเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่างานเอ็นจีโอนั้นหนักหนาสาหัส แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ ปัญหาร้อยแปดของสังคมถูกโยนมาไว้บนบ่า ที่คิดว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นหนักหนาแล้ว การทำงานที่นี่กลับยิ่งหนักกว่าหลายเท่าตัว

แต่เมื่อไม่มีใครบ่น เธอก็ไม่บ่นเหมือนกัน ชีวิตของเธอตอนนี้วนเวียนอยู่หน้าคอม ตู้เอกสาร และห้องประชุม เวลาว่างคือการอ่าน อ่าน อ่าน และอ่านเอกสารนู่น นี่ นั่น เพื่อเติมสิ่งที่เธอขาดให้เต็ม ยังมีอีกหลายต่อเรื่องทีเดียวที่หนังสือเรียนไม่เคยสอน และอาจารย์ไม่เคยพูดถึง

แต่ทอแสงก็ได้ต้น ผู้ชายตัวสูงใส่แว่นที่เป็นเหมือนพี่ชายที่แสนดี คอยเป็นที่ปรึกษาสารพัดเรื่องด้วยความที่มีความรอบรู้ในสายงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี จริงๆ แล้วคนอื่นๆ ในออฟฟิศก็เก่งไม่แพ้ต้นหรอก แต่เพราะตลอดสัปดาห์แรก เธออยู่กับต้นเพียงสองคนในออฟฟิศถ้าไม่รวมแม่บ้าน กินข้าวกลางวันก็ต้องกินด้วยกันเพราะทอแสงก็ไม่รู้ว่าแถวๆ นั้นมีอะไรกินที่ไหนบ้าง ทอแสงเลยรู้สึกว่าสนิทกับต้นเป็นพิเศษ ยิ่งหลังๆ มานี้ วันไหนงานคั่งค้างต้องกว่าจะได้กลับบ้านก็เที่ยวเรือหมดเสียแล้ว ต้นก็อาสาไปส่งทอแสงที่บ้านเลยด้วยซ้ำ แล้วมีเหรอที่พี่ๆ คนอื่นจะไม่สังเกตเห็น

“สวัสดีทุกๆ คน” ต้นโผล่หน้าเข้ามาออฟฟิศในช่วงใกล้เที่ยง “ทอแสง พี่ซื้อน้ำหล่อฮั้งก้วยมาฝาก”

“แล้วของพี่ล่ะต้น พี่หิวน้ำจังเลย” มีเสียงแซวมาจากโต๊ะด้านหลัง ตามด้วยเสียงวี้ดวิ้วที่ดังขึ้นจากทุกมุมห้อง

“ปัดโธ่ ก็เมื่อวานเห็นน้องเขาเครียดๆ ก็เลยซื้ออะไรเย็นๆ มาฝาก แค่นั้นแหละ” ที่นี่อากาศค่อนข้างร้อนจริงๆ นั่นแหละ เพราะไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ แต่มันก็ไม่ได้ร้อนถึงขนาดหิวหล่อฮั้งก้วยเสียหน่อย

“แหม ไอ้ต้น ทีคนอื่นละไม่เคยหิ้วอะไรมาให้เลย” แล้วเสียงฮาก็ดังลั่นห้อง พี่ผู้ชายคนหนึ่งรีบบอกทอแสง “พี่ๆ เขาแซวเล่นๆ นะจ๊ะ ไม่ต้องเครียดๆ ให้ไอ้ต้นเครียดไปคนเดียวก็พอ” ทอแสงกล่าวคำขอบคุณกลั้วเสียงหัวเราะเพราะไม่รู้ว่าควรทำอะไรให้ดีกว่านั้น แล้วหันกลับมาใส่ใจงานสำคัญเร่งด่วนที่อยู่ตรงหน้าซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบทอแสงเต็มๆ งานชิ้นนี้แหละที่ทำให้เธอเครียดมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่กระนั้นเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเธอพองโตไปด้วยรู้สึกดีที่มีใครให้ความสำคัญ ความเครียดก็บรรเทาลง

ทอแสงยังคงง่วนอยู่กับงานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ปากดูดน้ำหล่อฮั้งก้วยเย็นเจี๊ยบ มือหนึ่งก็หยิบคุกกี้ช็อกโกแลตชิพใส่ปาก


(โปรดติดตามตอนต่อไป)




Create Date : 30 สิงหาคม 2552
Last Update : 26 ธันวาคม 2552 11:30:30 น. 1 comments
Counter : 318 Pageviews.

 
ตามติดค่ะ ตามติด มาเร็วๆนะคะ


โดย: นุ IP: 94.194.96.198 วันที่: 30 สิงหาคม 2552 เวลา:5:47:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วิปุลา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เต้นมา 19 ปี
เล่นดนตรีมา 18 ปี
(ขอ) เขียนหนังสือมา 10 ปี


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


ความฝันที่ใต้หมอน

เพราะกาลเวลาย้อนกลับไม่ได้ ความฝันจึงยังคงเป็นได้เพียงความฝัน และบางครั้งเงื่อนไขในชีวิตก็ทำให้เราต้องทิ้งร้างความฝันนั้นไว้ และซ่อนมันเอาไว้ในที่ที่มองไม่เห็น จนกระทั่งวันหนึ่งก็เรียนรู้ที่จะลืมความฝันที่ซุกไว้ใต้หมอนนั้นไปได้ในที่สุด

แต่กระนั้น สิ่งที่ถูกลืมเลือน ใช่จะเป็นสิ่งที่เลือนหาย ความฝันนั้นจึงยังคงรอให้ถึงวันที่เราจะไปค้นมันเจออีกครั้ง
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
30 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add วิปุลา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.