ฉันฝัน.. กำลังเต้นรำ.. บนหลังคา..
ความฝันที่ใต้หมอน (ตอนที่1)

ตอนที่ 1


ทอแสงรู้อยู่แล้ววันนี้จะต้องมาถึง แต่การรู้อยู่แล้วมันช่วยให้เธอหายกลัวได้เสียเมื่อไหร่เล่า อากาศรอบตัวขมุกขมัว ทั้งๆ ที่เพิ่งจะสี่โมงนิดๆ เท่านั้น คงอีกไม่เกิน 10 นาทีเป็นได้วิ่งตากฝนแน่ๆ ...ไม่น่าจะเดินทัน... เธอบอกตัวเองอย่างนั้น พลางโบกมือเรียกรถ

“ไปบ้านสวนสตูดิโอตรงสุดซอย ซ้ายมือค่ะ”

พูดแล้วก็โหย่งตัวขึ้นรถ ถ้าไม่จำเป็นเธอไม่มีทางนั่งรถแน่นอนเพราะระยะทางไม่ได้ไกลเกินที่เธอจะเดินเข้าไปได้ เวลาก็อีกตั้งถมเถ แต่นี่ฝนก็ใกล้ตกเต็มทีแล้ว ไปถึงเร็วหน่อยก็น่าจะดี จะได้มีเวลาเตรียมตัวนานๆ หน่อย เผื่อความกลัวจะน้อยลงบ้าง

“อ้าว หนูทอแสง วันนี้มาเร็วจัง”

“สวัสดีค่ะพี่อิ๊ก เอาขนมปังไส้เผือกชิ้นนึง แล้วก็น้ำเปล่าขวดใหญ่ด้วยค่ะ”

ผู้ชายตัวใหญ่หัวใจสาวที่ถูกเรียกว่าพี่อิ๊ก ขายขนมอยู่ที่ชั้นล่างของสตูดิโอแห่งนี้มานานมากจนทอแสงคุ้นเคยเป็นอย่างดี เอ่ยปากถามต่อ “วันนี้หนูจะมีซ้อมอะไรกันรึเปล่าจ๊ะ พี่เห็นครูเอมพาใครก็ไม่รู้มาโขยงหนึ่งแน่ะ”

“หวายยย เขามาถึงกันแล้วเหรอคะพี่อิ๊ก” ทอแสงว่ามาเร็วแล้วนี่นา “ใช่ค่ะมีซ้อมงานที่จะแสดงร่วมกับโรงเรียนอื่นน่ะค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูขอตัวขึ้นไปก่อนนะคะ” ว่าแล้วทอแสงก็คว้าขนมปังไส้เผือกกับขวดน้ำเดินขึ้นบันไดไป
ใครจะเชื่อว่าสตูดิโอแห่งนี้ตั้งอยู่กลางกรุงเทพ เพราะถ้าได้เห็นเข้าก็จะต้องเข้าใจว่าที่นี่คือสวนป่าที่ราวกับอยู่นละโลกกับถนนใหญ่ด้านหน้า ความจอแจของถนนสุขุมวิทไม่อาจจะเข้ามาถึงสตูดิโอที่อยู่ลึกสุดซอยนี้ได้เลย ทำเลดีๆ อย่างนี้ใครจะหาซื้อมาครอบครองคงยาก แต่ที่ดินผืนนี้เป็นที่เก่าแก่ของคุณทวดมาก่อน ถึงวันนี้มันจึงตกทอดมาถึงเอมอรในที่สุด

เอมอรเปิดสตูดิโอสอนเต้นมาเกือบ 20 ปีแล้ว ลูกศิษย์เธอไปโด่งดังอยู่เมืองนอกเมืองนาก็หลายคน แต่ก็ยังนับว่าน้อยมากๆ เนื่องจากเด็กๆ ที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็เลิกกันเสียกลางคัน เพราะพ่อแม่มักจะมองว่าเสียการเรียน เอาเวลาไปเรียนหนังสือดีกว่า มีไม่น้อยเลยที่พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็หายหน้ากันไปหมด บางทีก็เป็นตัวเด็กเองที่ไม่ชอบ พอโดนจับยืดแข้งยืดขา หรือใส่รองเท้าจนเจ็บระบมก็ไม่ทนกันแล้วเพราะไม่ได้รักจริง ที่เหลือรอดมาได้จนถึงระดับมืออาชีพถือว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย

“ทางด้านนักเรียนของศลนี่ ได้คัดเลือกตัวแสดงหลักๆ เรียบร้อยหรือยัง” เอมอรหมายถึงการแสดงบัลเล่ต์เต็มเรื่องที่จะจัดขึ้นร่วมกันเป็นครั้งแรก
“เรียบร้อยแล้วครับพี่ ภูมิจะเป็นคนที่เต้นคู่กับนางเอกครับ เจ้านี่ใช้ได้เลยทีเดียว กำลังจะไปเต้นที่อังกฤษปีหน้าแล้ว” ศลนักบัลเล่ต์ชายฝีมือฉกาจจากภาคเหนือเอ่ยแนะนำศิษย์เอกของตัวเอง

“พี่เหมือนจะเคยๆ เห็นภูมิเต้นอยู่เหมือนกันนะ ที่ตอนนั้นเขามาเต้นเรื่องสวอนเลคกับโรงเรียนคุณทีน่าใช่ไหม”

“ใช่ครับพี่” ศลตอบรับ

“ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย จะมีห่วงก็แต่นางเอกนี่แหละ” เอมอรพูด

“หืม.. พี่หมายถึงน้ำเหรอครับ”

ศลแปลกใจ เพราะน้ำใสลูกศิษย์ก้นหม้อของเอมอรที่เขาพูดถึงนี้ เรียกได้ว่าเยี่ยมยอดชนิดที่ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว ศลรู้ฝีมือดีเพราะเคยได้เต้นคู่กันมาก่อน จนพัฒนาความสัมพันธ์กันไปจนถึงระดับที่ลึกซึ้งกว่าแค่เพื่อนกัน แต่แล้วเหตุผลบางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เหตุผลที่ไม่สามารถจะโทษใครได้เลย ต้องรอให้เวลาชะล้างความรู้สึก จนกระทั่งน้ำใสพบใครคนใหม่และแต่งงานไปในที่สุด

“ไม่ใช่จ้ะ คราวนี้น้ำเต้นไม่ได้เพราะเพิ่งคลอดน้องน่ะ ตอนนี้เลยหยุดเต้นไปก่อน สอนอย่างเดียว ก็ดีไปอย่าง เด็กๆ จะได้มีโอกาสบ้าง แต่พวกนี้ไม่เคยเต้นพาส์เดอเดอส์ อาจจะต้องซ้อมเยอะหน่อย คงต้องรบกวนศลเคี่ยวหนักๆ เลย”

“ครับ ผมเข้าใจ ที่วิทยาลัยผมเองก็ไม่เคยได้เต้นคู่เหมือนกัน เพราะไม่ค่อยมีผู้หญิงมาเรียน โลกเรามันไม่ค่อยพอดีนะครับ” ศลพูดพลางหัวเราะ “แล้วพี่เลือกนางเอกไว้เรียบร้อยหรือยังครับ”

“มีจ้ะ นักเรียนพี่อีกคนน่ะ ตอนนู้นที่ศลมาเต้น เขายังเด็กๆ อยู่เลย ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว”


ฝนเทลงมาพอดีตอนที่ทอแสงขึ้นมาถึงชั้น 2

“นั่นไง มาพอดี” เอมอรพูดเมื่อเห็นทอแสง “นี่ครูศลจากเชียงใหม่นะคะ และนี่ทอแสงจ้ะ นางเอกที่พี่พูดถึงเมื่อกี้”

ทอแสงยกมือสวัสดี แอบกลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกหวั่นใจเมื่อได้ยินคำว่านางเอก แล้วเสียงพูดคุยของคนกลุ่มใหญ่ก็ดังมาจากชั้นล่าง ยังไม่ทันจะได้สงสัย ศลก็พูดขึ้น

“สงสัยจะไปกินข้าวกลับมากันแล้ว” แล้วก็จริงดังว่า เพียงไม่นานก็มีผู้ชายกลุ่มใหญ่เดินขึ้นบันไดมาด้วยสภาพเปียกมะล่อกมะแล่ก ก่อนประสานเสียงสวัสดีเอมอรพร้อมๆ กัน

“ไม่ได้เอาร่มไปกันเหรอ รู้ทั้งรู้ว่าช่วงนี้ฝนตกทุกวัน เดี๋ยวไม่สบายแล้วจะซ้อมยังไง” ศลพูดพร้อมตวัดสายตาตำหนิ ทอแสงเห็นแล้วขนลุกซู่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวครูศลหรือเพราะมีผู้ชายกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ไม่ได้เอาไปครับครู เดี๋ยวพวกผมจะรีบไปเช็ดหัวเช็ดตัวครับ” ว่าแล้วคนพูดก็ก้มหน้างุด

“เร็วๆ เลย เดี๋ยวใครไม่สบาย ครูจะทำโทษซ้ำ เพราะถือว่าไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง” ศลสำทับก่อนที่ทั้งกลุ่มจะหายเข้าไปในห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว


ทอแสงเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ค่อยถูก เพราะมาก่อนเวลาตั้งชั่วโมงกว่าๆ จะออกไปกินข้าวฝนก็ตก จะเข้าไปนั่งสบายๆ ในห้องแต่งตัวก็ไม่ได้ เพราะมีผู้ชายกลุ่มใหญ่อยู่ในนั้น จริงๆ ตอนแรกเอมอรก็ทำห้องแต่งตัวหญิงกับชายแยกกันอยู่หรอก แต่เนื่องจากผู้ชายมีน้อยและที่มีอยู่ก็มักจะใช้ห้องน้ำชายมากกว่าห้องแต่งตัว ดังนั้นห้องแต่งตัวของผู้ชายก็เลยกลายเป็นห้องเก็บเครื่องแต่งกายที่ใช้ในงานแสดงแทนแล้วก็เหลือห้องแต่งตัวเพียงห้องเดียว ทอแสงนั่งตรงนี้ก็เกร็งๆ อย่างไรพิกล เพราะถึงเธอจะเรียนกับเอมอรมาเป็น 10 ปีก็จริง แต่ครูของเธอก็ยังมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้เธอไม่กล้าเข้าใกล้อยู่เสมอ แถมยังมีครูศลที่ท่าทางจะเฮี้ยบไม่ใช่เล่นนั่งอยู่ด้วยอีกต่างหาก

ในที่สุดทอแสงก็เลือกเก้าอี้ตัวที่อยู่ไกลครูทั้ง 2 ที่สุด เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า แล้วเริ่มกินขนมปังไส้เผือกที่แบนแต๊ดแต๋เพราะมันหล่นลงไปอยู่ที่ก้นกระเป๋าของเธอตอนที่วิ่งขึ้นบันไดมา ในหัวคิดไปเรื่อยว่าเมื่อกี้น่าจะแวะเดินเล่นที่ไหนสักที่หนึ่งก่อน ตอนนี้เลยทำตัวไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะเจอผู้ชายเยอะขนาดนี้

เธอไม่ค่อยสบายใจนักที่จะต้องเป็นนางเอก เอมอรคุยกับเธอเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การเป็นนางเอกมันก็น่าจะดีนี่นา ถ้าไม่ต้องเต้นพาส์เดอเดอส์คู่กับผู้ชาย ถึงเธอจะไม่ได้เป็นผู้หญิงประเภทเกลียดกลัวผู้ชาย แต่เธอรู้สึกกระดากที่จะต้องเต้นกับผู้ชายเพราะมันถึงเนื้อถึงตัวกันเหลือเกิน

อาจเป็นไปได้ว่า มันเป็นเพราะทอแสงอยู่โรงเรียนหญิงล้วนมาทั้งชีวิต ทำให้ไม่ค่อยเคยคุ้นกับพวกผู้ชายเท่าไหร่ ถึงแม้จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมาแล้วหนึ่งเทอมเต็มๆ ก็เถอะ แต่เธอก็ยังคงเว้นระยะห่างกับเพื่อนผู้ชายเป็นเมตรเหมือนเดิม

“เฮ้ย ทอแสง ทำไมไปนั่งซะไกล” ไอ้นัทเพื่อนผู้ชายที่คณะเคยถามเธออย่างนั้น เมื่อเห็นเธอเว้นเก้าอี้ไว้เสีย 3 ตัวจากตัวเขาซึ่งนั่งอยู่ริมสุดของกลุ่มเพื่อนๆ ทอแสงก็ได้แต่แก้ตัวว่า

“ของเราเยอะน่ะ กระเป๋ามันใหญ่ กลัวเกะกะ”

เคยมีเพื่อนที่คณะมาจีบเธอเหมือนกัน และเธอเองก็ชอบเขาอยู่ไม่น้อย แต่แม่ชีที่โรงเรียนสอนเธอมาแต่เล็กแต่น้อยว่าว่าเป็นผู้หญิงต้องวางตัว อย่าให้ผู้ชายเขารู้ว่าเราสนใจเดี๋ยวเราจะไม่มีค่า เธอก็เลยตีตัวออกเสียห่าง จนเพื่อนคนนั้นคิดว่าเธอรังเกียจ เขาแล้วก็เลยเลิกสนใจเธอไปเลย ก็ทำได้แค่เสียใจพอประมาณ แต่ให้ดิ้นทุรนทุรายเพราะผู้ชายอย่างนั้นคงไม่มีทาง เพราะชีวิตเธออยู่ห่างไกลผู้ชายจนชิน และมัวยุ่งกับการเต้นจนไม่มีเวลามาคิดอะไรมากมายนัก

ขนมปังไส้เผือกหมดชิ้นแล้ว ทอแสงหิ้วกระเป๋าเข้าห้องน้ำผู้หญิง และเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอสวมถุงน่องสีชมพูที่ดันหยิบคู่เก่าที่มีรอยขาดที่ก้นมา ตามด้วยชุดบัลเล่ต์สายเดี่ยวสีดำ แล้วสวมทับบังรอยขาดนั้นด้วยวอร์มเมอร์ขาสั้นลายขวางที่รุ่นน้องคนหนึ่งซื้อมาให้เธอจากอังกฤษ เพื่อตอบแทนที่เธอเคยติวให้เขาตอนสอบบัลเล่ต์เกรดห้าไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มต้นชีวิตการสอนบัลเล่ต์เลยทีเดียว

ทอแสงยืนหน้ากระจกแล้วเริ่มต้นเกล้าผมมวย เธอเป็นคนที่ทำผมมวยสวยที่สุดในชั้นเรียน ไม่ใช่เพราะเธอฝีมือดีกว่าคนอื่นหรอก แต่เธอชอบที่จะมีผมที่มุ่นเป็นมวยสวยๆ ตอนเต้นบัลเล่ต์ มันทำให้เธอรู้สึกว่าได้เป็นบัลเลอริน่าที่กำลังจะขึ้นแสดงบนเวที

ไม่เป็นไรน่า ก็แค่ผู้ชาย เธอบอกตัวเองขณะที่รวบผมตึงและปาดให้เรียบด้วยหวีซี่ถี่ๆ ผมเธอตึงจนกระทั่งมันดึงรั้งใบหน้าเธอขึ้นไป

“รวบผมตึงขนาดนี้หัวล้านพอดี” แม่เคยบอกเธออย่างนี้ แต่ทอแสงเชื่อเสียที่ไหนเล่า

“ก็ไม่ได้รวบผมตึงอย่างนี้ตลอดนี่ แค่ตอนเรียนบัลเล่ต์เอง” ก็การรวบผมตึงน่ะ มันให้ความรู้สึกดีจะตาย ทั้งทำให้หายง่วง แล้วก็ทำให้เธอมั่นใจด้วย บางวันที่เธอเรียนหนักๆ มาทั้งวัน และไม่มีอารมณ์จะเรียนบัลเล่ต์เอาเสียเลย แต่พอเธอเกล้ามวยเสร็จเรียบร้อย หนังศีรษะตึงเปรี๊ยะเมื่อไหร่ล่ะก็ ความล้าก็แทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง

กลัวอะไรเล่า ยายบ้า ทอแสงพูดกับตัวเองในใจเสียงเข้ม ในขณะที่ม้วนผมเป็นเกลียวแล้วจับเป็นมวย กลัวที่ต้องเต้นกับผู้ชายย่ะ ฉันไม่ได้กลัวที่มีผู้ชายมาเรียนด้วยสักหน่อย เธอตอบคำถามของตัวเองในใจขณะที่ติดกิ๊บเพื่อยึดผมให้เป็นมวยไว้ กลัวที่จะต้อง..

“ทอแสงอยู่ข้างในเปล่า ขอเข้าไปด้วยคนสิ” เสียงเคาะประตูดังทะลุขึ้นมากลางความเงียบ

“อ้าวนี่เราล็อคประตูไว้เหรอเนี่ย” ทอแสงรีบเปิดประตูอย่างงงๆ เพราะจำไม่ได้ว่าตัวเองกดล็อคประตูตอนไหน เธอปลดล็อคแต่ยังไม่ทันที่จะดึงประตูเปิดออก เจ้าของเสียงพุ่งเข้ามาโดยเร็ว

“ทอแสง วันนี้เราเริ่มซ้อมกันแล้วเหรอ ” นุ่นถามรัวเร็ว “เราลืมไปเลย”

“น่าจะยังมั้ง วันนี้คงทำคลาสด้วยกันก่อนแหละ”

“เราอยากจะบ้า เมื่อกี้เปิดประตูเข้าไปในห้องแต่งตัว เจอผู้ชายทั้งฝูงเลย ตกใจมากๆๆๆ” นุ่นเล่าให้ฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เธอดูร้อนรนขนาดนี้

เพื่อนร่วมชั้นเริ่มทยอยกันมาจนห้องน้ำชักจะแออัด ทอแสงติดกิ๊บตัวสุดท้ายเสร็จก็คว้ากระเป๋าเดินออกมาจากห้องน้ำเป็นคนแรก เหลือเวลาอีกราวครึ่งชั่วโมง ทอแสงกะจะเข้าไปนอนกลิ้งอ่านหนังสือในห้องเรียนเงียบๆ แต่กลับผิดคาดเมื่อเข้าไปในห้องเรียนแล้วกับเจอผู้ชายกลุ่มเมื่อกี้เข้ามาก่อนเรียบร้อยแล้ว บ้างก็นั่งคุยไปด้วย ยืดเส้นยืดสายไปด้วย บ้างก็ฉีกขาเงียบๆ บ้างก็กำลังวิดพื้นอย่างขะมักเขม้น

ทอแสงชะงักเพราะไม่คิดว่ามีใครอยู่ในห้อง ผู้ชายคนที่ก้มหน้างุดๆ กับศลเมื่อกี้หันมาเห็นเข้าพอดี ทอแสงจึงยิ้มให้เล็กน้อย “สวัสดีค่ะ” เธอกล่าวคำทักทาย แล้วนั่งลงใส่รองเท้าพอยท์ซึ่งมีหัวแข็งๆ เอาไว้สำหรับขึ้นไปยืนบนปลายเท้า ที่ทำนิ้วเท้าเธอเลือดออกบ่อยๆ เมื่อตอนที่หัดใส่ครั้งแรกๆ เมื่อหลายปีก่อน แต่หลังๆ มานี้มันไม่เป็นปัญหากับเธออีกต่อไปแล้ว คงเพราะนิ้วเท้าเธอด้านขึ้นนั่นเอง

“สวัสดีครับ” ผู้ชายหน้างุดคนนั้นทักเธอตอบ เรียบร้อยเหมือนตอนที่เขาคุยกับศลไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันแต่ว่าไร้ร่องรอยความกลัวเหมือนหนูกลัวแมวแบบนั้น

“เธอ เอ่อ.. พี่..” เขาคงไม่รู้จะเรียกเธอว่าอะไรละมั้ง

“ทอแสงค่ะ” เธอบอกให้ก่อนจะเสริมต่อว่า ”เรียนปี 1 ค่ะ” จะได้รู้ไงว่าควรเรียกเธอว่าน้องหรือพี่

“ผมไม้.. ร่มไม้ครับ เราคงอายุเท่าๆ กันเพราะผมเรียนอยู่ปี 1 เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ” โอ้โห เป็นทางการอะไรอย่างนี้ ทอแสงอดคิดอย่างขำๆ ไม่ได้ เธอยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะขอตัวไปยืดเส้นยืดสายบ้าง


(โปรดติดตามตอนต่อไป)



Create Date : 06 สิงหาคม 2552
Last Update : 5 กรกฎาคม 2553 12:02:46 น. 4 comments
Counter : 321 Pageviews.

 
เรียนเปียโนกับครูเต้ อยู่แถวอ่อนนุชค่ะ
ถ้าบ้านอยู่แถวนี้ แนะนำเหมือนกันค่ะ :)


โดย: jenniepoko วันที่: 6 สิงหาคม 2552 เวลา:22:47:52 น.  

 
น่าอ่านต่ออะค่ะ


โดย: Tukta21 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:1:07:45 น.  

 
ชอบๆ น่าติดตามค่ะ
ขอสมัครเป็นแฟนคลับค่ะ


โดย: เหมียวน้อยจอมza@หมาป่าอิสระ วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:10:55:39 น.  

 
เขียนมาให้อ่านอีกนะ

จะติดตามฮะ :)


โดย: อ๊อด อ๊อด IP: 111.84.121.49 วันที่: 30 สิงหาคม 2552 เวลา:0:58:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วิปุลา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เต้นมา 19 ปี
เล่นดนตรีมา 18 ปี
(ขอ) เขียนหนังสือมา 10 ปี


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


ความฝันที่ใต้หมอน

เพราะกาลเวลาย้อนกลับไม่ได้ ความฝันจึงยังคงเป็นได้เพียงความฝัน และบางครั้งเงื่อนไขในชีวิตก็ทำให้เราต้องทิ้งร้างความฝันนั้นไว้ และซ่อนมันเอาไว้ในที่ที่มองไม่เห็น จนกระทั่งวันหนึ่งก็เรียนรู้ที่จะลืมความฝันที่ซุกไว้ใต้หมอนนั้นไปได้ในที่สุด

แต่กระนั้น สิ่งที่ถูกลืมเลือน ใช่จะเป็นสิ่งที่เลือนหาย ความฝันนั้นจึงยังคงรอให้ถึงวันที่เราจะไปค้นมันเจออีกครั้ง
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
6 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add วิปุลา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.