ความฝันที่ใต้หมอน (ตอนที่ 15)
ตอนที่ 15
ทุกคนยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เจอปลา เอมอรสวมกอดลูกศิษย์ ในขณะที่ทอแสงและนุ่นก็ทักทายเพื่อนรุ่นพี่ผู้นี้อย่างแสนคิดถึง อยู่ที่นู่นเป็นยังไงบ้างพี่ปลา นุ่นถามขึ้นในขณะนั่งรออาหารมาเสิร์ฟ
เยี่ยมเลย สวยมาก ยิ่งตอนหน้าหนาวนะ มีความสุขสุดๆ ตอนเช้าๆ เต้นบัลเล่ต์นะ มองออกไปจะเห็นสายหมอกนุ่มๆ เย็นสะใจเลย
โห.. น่าอิจฉาจังเลย แล้วพี่ปลาสอนอย่างเดียวเลยเหรอคะ เต้นเองมั่งรึเปล่า นุ่นถาม เพราะการที่ต้องสอนๆๆๆ จนตัวเองอดเต้นนั้น เป็นฝันร้ายของครูสอนบัลเล่ต์แทบจะทุกรายไป
พี่พยายามจะเต้นนะ แต่เวลาก็ไม่ค่อยมี โชคดีที่ปีนี้ครูศลเชิญนักเต้นชาวรัสเซียมาเป็นครูพิเศษ พี่ก็เลยไม่ต้องสอน ได้ไปเต้นกับพวกนักศึกษาเขาด้วย
ใช่คนเดียวกับที่ครูเอมบอกรึเปล่าคะ ที่จะมากำกับการแสดงที่โรงเรียนคุณทีน่า ชื่อแปลกๆ น่ะ คุณนู.. อะไรสักอย่าง นูริเยฟรึเปล่า นุ่นพูดแล้วก็หัวเราะ เมื่อพูดถึงรูดอล์ฟ นูริเยฟ นักเต้นชื่อดังชาวรัสเซีย
เพ้อแล้วนุ่น จะไปปลุกปู่นูริเยฟเขาขึ้นมาจากหลุมเหรอ คนนี้เขาชื่อคุณนูเทรอฟต่างหากล่ะ เคยเห็นวิดีโอที่เขาเต้นนะ แหม น่ากินเชียวล่ะ
โห พี่ปลา แรงนะ นุ่นพูดขึ้นมาพร้อมกับเสียงโอ๊ย เพราะพี่ปลาของนุ่นนั้นโดนว่าที่เจ้าบ่าวเอื้อมมือมาเขกกะโหลกเข้าให้ แล้วหันทำหน้าง้ำใส่ทั้งโต๊ะที่ประสานเสียงหัวเราะขึ้นมาพร้อมๆ กัน
เจ็บนะ พี่ภูมิ ปลาหน้าบูดคลำหัวป้อยๆ ภูมิจึงขยี้หัวเล่นจนกระทั่งปลาหัวเราะออกมาได้
เล่นกันเป็นเด็กๆ เลย เจ้าพวกนี้ เอมอรบ่นออกมายิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงเป็นงานเป็นการขึ้น แล้วทางคุณทีน่านี่เริ่มซ้อมกันรึยังล่ะ
เริ่มวันจันทร์ที่จะถึงนี้แล้วครับครู ภูมิเป็นคนตอบ ซ้อม 2 เดือนแล้วก็ไปสิงคโปร์เลย
ก็ซ้อมไม่นานเท่าไหร่เนอะ
ครับผม แต่ก็หนักพอสมควร เพราะซ้อมทั้งวัน และได้หยุดแค่วันอาทิตย์วันเดียว
ดีแล้วล่ะ ยังไม่แก่ก็เต้นเข้าไปเถอะ อย่าหยุดเชียวนะ ไม่งั้นก็อย่าหวังว่าจะได้กลับไปเต้นอีก อย่างครูเนี่ย ถึงจะสอนได้ แต่ถ้าให้เต้นเองก็คงไม่ไหวแล้วล่ะ
โห.. พี่เอมพูดเสียแก่เลยครับ ผมว่าไม่หรอกครับ ศลแย้งอย่างไม่เห็นด้วย เพราะจะว่าไปตัวเขาเองก็เด็กกว่าเอมอรแค่ไม่เท่าไหร่เอง
อ้าว จริงๆ นะศล ร่างกายเด็กๆ มันสอนง่าย อย่างตอนนี้พี่จะฝึกให้ตัวเองหมุนได้ 8 รอบก็คงทำไม่ได้แล้วล่ะ ร่างกายมันสุดแล้วเพราะมันหยุดเต้น แต่พวกเธอยัง มันยังมีเวลาอยู่ก็รีบๆ ซ้อมซะ คำพูดของเอมอรกระทบความรู้สึกของใครบางคนโดยไม่รู้ตัว และยังคงพูดต่อไปอย่างหวังดี
อายุราวๆ พวกเธอนี่แหละช่วงรุ่งเรืองเลย เพราะมันโตพอจะรู้เรื่องแต่ก็ไม่แก่เกินกว่าที่จะเรียนรู้ เป็นช่วงเวลาที่ต้องรีบๆ ตักตวง จำคำครูไว้เลยนะ เราจะฝืนอะไรก็ฝืนได้ แต่ฝืนเวลา ฝืนสังขารไม่ได้
คำพูดของคนเป็นครูสะท้อนก้องกลับไปกลับมาอยู่ในความคิดของทอแสง น่าเศร้าที่ชีวิตของนักเต้นมีช่วงเวลาให้เก็บเกี่ยวอยู่เพียงแค่ครู่ยาม น้อยคนนักที่จะยืนสง่าอยู่บนปลายเท้าได้จนแก่ ทอแสงยังจำได้ ในวันที่ครูเอมอนุญาตเธอและรุ่นพี่อีกสองคนซึ่งบัดนี้เลิกเต้นไปแล้วได้หัดใส่รองเท้าพอยท์ครั้งแรก ครูแจกการ์ดแสดงความยินดีสำหรับก้าวย่างที่สำคัญนี้ให้แก่พวกเธอ บนการ์ดใบนั้นเขียนว่า
...Enjoy this artistic light, and be en pointe till the end of your life
...จงเริงร่าในแสงแห่งโลกศิลป์ และร่ายรำ บนปลายเท้า จนกว่าชีวิตจะหาไม่... เธออยากจะย้อนเวลากลับไปสัก 6 ปี เธอจะดื้อดึงต่อที่บ้าน เธอจะเริงร่าในโลกใบนั้นให้ได้อย่างที่เอมอรว่าไว้ ทอแสงลำคอแห้งผาก มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง ที่เราจะฝืนอะไรก็ฝืนได้ แต่ใครเล่าจะฝืนวันเวลาและสังขารได้ คงเพราะเธอนิ่งเงียบเกินไป นุ่นจึงดึงเธอกลับเข้าไปในวงสนทนา
เงียบไปเลยทอแสง เอาไก่ย่างมั้ย นุ่นพูดพลางตักไก่ย่างมาให้เธอชิ้นโต แต่ดูเหมือนคราวนี้ ปลาจะเป็นคนที่เข้าใจยิ่งกว่าใครทั้งหมด เธอยิ้มพลางบอกทอแสง
ว่างๆ ก็มาเต้นด้วยกันสิ คลาสของคุณนูเทรอฟน่ะ สิบโมงถึงเที่ยงที่โรงเรียนคุณทีน่าทุกวัน เว้นวันเสาร์วันหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่ต้องสอนกัน ทอแสงยิ้มรับคำชวนนั้น อาหารยกมาเสิร์ฟ และการสนทนาก็ดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน การหยอกล้อโต้เถียงยังคงเหมือนในวันเก่าๆ วันที่โลกยังคงสวยงามและเต็มไปด้วยความฝัน วันที่อะไรต่อมิอะไรดูงดงามและเป็นไปได้ วันที่เรากล้ามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่เรารัก วันที่เรากล้าพูดได้เต็มปากว่าสิ่งที่รอคอยจะมาถึงในสักวัน
แต่.. ไม่ใช่ในวันนี้ และโลกใบนั้น ทอแสงก็ตัดสินใจเก็บมันซุกไว้ที่ใต้หมอนเสียนานแล้ว
เวลาล่วงไปจนเกือบบ่ายสองโมง นับเป็นมื้ออาหารที่ยาวนานมากทีเดียว แม้เรื่องราวจะมีให้พูดคุยเหมือนไม่รู้จบ แต่ก็จำต้องแยกย้ายเพราะต่างมีธุระต้องไป
แล้วนี่ไม้จะไปพักที่ไหน ทอแสงถามขึ้น
แถวๆ ลาดพร้าว เราคุยกับต๊ะไว้ว่าจะขอแชร์หอกับมัน นี่ก็ว่าจะเอาของไปเก็บที่หอเลย แล้วค่อยกลับบ้านไปหาพ่อแม่ แล้ววันจันทร์ถึงจะลงมา จำต๊ะได้ใช่มั้ย
ทอแสงจำต๊ะได้อย่างแม่นยำ นักเรียนบัลเล่ต์ผู้ชาย ตัวเล็ก ใส่แว่นหนาเตอะ และถูกบังคับให้ใส่คอนแทคเลนส์ในวันแสดง ร้อนถึงพ่อแม่ต้องโทรศัพท์ข้ามจังหวัดมาคุยกับศลว่าต๊ะเคยแพ้คอนแทคเลนส์รุนแรง จนสุดท้ายต้องใช้ผ้าชุบรองพื้นพันขาแว่น แล้วใช้กิ๊บติดแว่นซ่อนไว้ใต้ผมอย่างแน่นหนา ทอแสงหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงผู้ชายตลกๆ คนนี้
จำได้สิ ฝากความคิดถึงถึงต๊ะด้วยนะ ไว้หาโอกาสวันไหนไปกินข้าวด้วยกันเนอะ
ได้เจอกันแน่ๆ จ้ะ ร่มไม้ตอบราวกับจะให้คำสัญญา ยังไงเรากับต๊ะต้องไปเข้าคลาสคุณนูเทรอฟอยู่แล้ว ถ้าทอแสงมา ก็ได้เจอแน่
บ่ายวันนั้น ทอแสงต้องเข้าออฟฟิศ แต่เธอก็เอาใจใส่กับงานตรงหน้าได้ยากเต็มที ถ้าไม่ใช่เพราะปลาชวนไปทำคลาสบัลเล่ต์กับคุณนูเทรอฟวันจันทร์หน้านี้ เธอก็คงจะเขียนบทความส่งให้ฝ่ายเผยแพร่ข้อมูลไปจัดพิมพ์เสร็จไปตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วแล้ว ยิ่งพอนึกถึงคำพูดของเอมอร ก็ยิ่งเหมือนกับการไปกวนตะกอนที่นอนก้นอยู่ให้ลอยขึ้นมาทำให้น้ำที่ดูใสนั้นขุ่นคลั่กไปในพริบตา
ทอแสงครับ ง่วงนอนหรือเปล่า เหม่อเชียว ต้นถามขึ้น คงเพราะสังเกตอาการอยู่นาน
เอ่อ... เปล่านี่คะพี่ต้น
จริงเหรอ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ พี่ว่าเราดูแปลกๆ นะ ไม่เหมือนทอแสงคนเดิมเลย
ทอแสงลูบหน้าตัวเอง เธอไม่เหมือนเดิมมาตั้งนานแล้ว ก็ตั้งแต่เธอตัดสินใจเลือกเรียนตามใจพ่อแม่นั่นแหละ เธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
คงเหนื่อยมั้งคะพี่ต้น มีอะไรต้องทำเยอะแยะไปหมดเลย เธอตอบพร้อมกับยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ
ถ้าเกิดเรารู้สึกว่ามันหนักไป พี่ว่าบอกเฟย์ดีมั้ย เพราะงานวิจัยของมหาวิทยาลัยที่ต้องทำก็หนักพอสมควรด้วยนี่ งานตรงนี้หาเจ้าหน้าที่คนใหม่มารับไปแทนก็ไม่น่ายาก
จริงๆ มันก็ไม่ได้เยอะเกินจะทำหรอกค่ะพี่ต้น แต่รู้สึกเหมือนแรงมันมีแต่ใจมันหมด บอกไม่ถูกเหมือนกัน
นั่นแย่ยิ่งกว่าเสียอีกนะ ต้นยิ้มน้อยๆ มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ บอกพี่ได้นะ
ทอแสงถอนหายใจ ตอนนี้ งานสายนี้ไม่ได้สวยงามท้าทายอีกต่อไปแล้ว เธอเบื่อและคิดถึงวันเก่าๆ แต่ถ้าเธอบอกต้นในสิ่งเหล่านี้ เขาก็คงจะมองเธอเป็นเด็กงอแงเอาแต่ใจ ไม่รู้จักโต และไร้ความอดทนอย่างแน่นอน แต่กระนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเหน็ดเหนื่อยและท้อถอยจู่โจมหนักและถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนหลังๆ มานี้ เธอต้องถามตัวเองบ่อยครั้งว่านี่คือวิถีชีวิตที่เธอใฝ่ฝันจริงๆ หรือ แต่เมื่อความคิดแล่นมาถึงตรงนี้ เธอก็ต้องรีบบอกตัวเองให้หยุดทุกครั้งไป เพราะกลัวจะพบว่าที่จริงแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะใช้ชีวิตอยู่กับมันเลยแม้แต่น้อย
เธอเคยมองย้อนกลับยังวินาทีที่ตัดสินใจเดินบนทางเส้นนี้ต่อ มันคือความผูกพันกับคณะและภาควิชาที่ได้ร่ำเรียนมาสี่ปีนี้เองที่เป็นแรงผลักดันสำคัญ ในเวลานั้นทุกสิ่งดูราวกับจะเชิญชวนเป็นอย่างยิ่ง อะไรๆ ก็ดูง่ายดายและเป็นมิตรเมื่ออยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย แต่ตอนนี้เพื่อนๆ ล้วนกระจายหายหน้ากันไปหมด เธอคิดถึงเพื่อนอย่างจิ๊กกี้และติ๊นาขึ้นมาจับใจ อาจารย์ที่ทอแสงเคารพรักหลายท่านลาราชการไปทำงานให้ภาครัฐบ้าง ไปประจำอยู่ในต่างประเทศบ้าง ไปศึกษาต่อบ้าง สิ่งต่างๆ ที่เธอเคยคุ้นค่อยๆ เลือนหายไป จนในที่สุดก็เหลือเพียงข้อมูลและตัวหนังสือที่ไม่มีชีวิตจิตใจเท่านั้น เธอไม่มีความสุขเลยในโลกใบนี้ แต่กับโลกอีกใบที่เธอกลับไปเยี่ยมเยือนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ท่ามกลางเพื่อนและครู ทอแสงรู้สึกได้ทันทีว่านั่นคือโลกของเธอ โลกที่เธอห่างหายจากมันมานาน ..นานเกินไป
ในที่สุดทอแสงก็ส่ายหน้า และยิ้มให้ผู้ชายตรงหน้าที่ยังคงกุมมือเธอไว้ ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะพี่ต้น คงเพราะไม่ได้นอน เลยเหนื่อยๆ
ต้นยิ้ม มองตาทอแสงตรงๆ ก่อนจะบอกว่า
รู้มั้ย เวลาที่คนเราอ่อนแอน่ะ ต่อให้เรายิ้มยังไง ดวงตาของเรามันยิ้มไปด้วยไม่ไหวหรอกนะ ต้นพูดพร้อมลูบหัวเธอแผ่วเบา ทอแสงครับ อ่อนแอบ้างก็ได้นะ ไม่ต้องแข็งแกร่งตลอดเวลาหรอก
อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่อ่อนโยน หรือคำพูดที่แทงใจดำ หรืออาจจะเป็นสายตาดำลึกหลังแว่นตาคู่นั้น ทำให้ทอแสงสะท้านไปถึงหัวใจ ความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่เต็มอกแต่สะท้อนออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก เธอจึงได้แต่นิ่งเงียบ บีบมือต้นเบาๆ เป็นเชิงรับรู้ มือนั้นอบอุ่นมีเลือดเนื้อ และมีอยู่จริง ก็จริงสินะ ตรงนี้ เธอยังมีต้นอยู่นี่นา ความฝันที่จะได้กลับไปเต้น ความฝันที่จะได้ยืนเคียงคู่กับร่มไม้ มันก็คือความฝันเท่านั้นเอง แต่ตรงนี้ต่างหากเล่าคือความจริง ทั้งการเรียน การงาน รวมทั้งต้นด้วย
ทอแสงจึงพยักหน้า แล้วหันกลับไปสู่งานตรงหน้าต่อไป
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
Create Date : 27 กันยายน 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 24 ธันวาคม 2552 22:33:32 น. |
Counter : 383 Pageviews. |
|
|
|
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความฝันในวัยเยาว์ ช่างเปล่งประกายและหอมหวาน แรงบันดาลใจท่วมท้น แต่บางทีความฝันก็คือความฝัน โลกที่ดูเลื่อนลอย และเบาบาง เพียงแค่ลมพัดฝ่าน ก็จาง และหายไป โลกความเป็นจริงตองนี้ของเราก็ยังหาทางไม่ได้ยังคลุมเคลือ เหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว แต่ก็....
เขียนต่อไวไวนะ รออยู่
ป.ล. ชอบรูปแบล๊กกลาวอะ