ฉันฝัน.. กำลังเต้นรำ.. บนหลังคา..

ความฝันที่ใต้หมอน (ตอนที่ 2)

ตอนที่ 2


ชั้นเรียนของทอแสง เป็นชั้นเรียนรวมของนักเรียนที่อยู่ระดับสูงที่สุดของบ้านสวนสตูดิโอ 2 ชั้นเรียน เนื่องจากนักเรียนที่เหลือจนถึงระดับนี้มีอยู่แค่ไม่มากนัก

“จะได้ทบทวนเทคนิคที่เรียนไปแล้ว แล้วทำให้ดีกว่าเดิม” เอมอรบอกทอแสง ปลา และนุ่น เช่นนั้น แล้วหันไปพูดกับอีกสี่สาวที่เหลือว่า “แล้วพวกเรา จะได้เร่งฝีมือให้ทันพี่ๆเขาด้วย”

ในชั้นเรียนวันนั้นเอมอรให้ศลเป็นครูผู้สอน

“เรียนบัลเล่ต์หรือฝึกทหารเนี่ย” เป็นเสียงกระซิบของยายนุ่นจอมขี้บ่นซึ่งยืนติดกับทอแสง คงถือเป็นโชคดีที่ครูศลกำลังแก้ท่าทางให้กับนักเรียนชายคนหนึ่งอยู่ และไม่ได้ยินที่นุ่นพูด ทอแสงไม่กล้าตอบอะไรแต่ในใจก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน พวกเธอไม่เคยเจอคลาสอะไรที่โหดเช่นนี้มาก่อนเลย

“ทุกคนออกมาตรงกลาง” ศลพูดขึ้นเมื่อทำท่าสุดท้ายที่บาร์จบ ปกติแล้วหลังจากจบการฝึกที่บาร์ เอมอรจะให้นักเรียนพักสักครู่ให้ซับเหงื่อ ดื่มน้ำ หรือเข้าห้องน้ำ แต่คราวนี้...

“นอนหงาย ตั้งข้อศอกขึ้น” คือคำสั่งต่อไปของศล “ยกขาพ้นพื้นประมาณ 1 ฟุตแล้วเอาขาไขว้สลับกัน 100 ที ห้ามงอเข่า” ศลพูดพลางสาธิต

“เริ่ม”

โอ๊ย มันคือนาทีนรกจริงๆ ท่าซิตอัพธรรมดาที่เคยทำกัน เทียบไม่ได้กับท่านี้เลยแม้สักนิด มันเกร็งหน้าท้องจนแทบจะสั่นไปทั้งตัว และนอกจากพวกผู้ชายที่ดูไม่ค่อยทรมานเท่าไหร่ ก็มีแค่ทอแสงกับนุ่นเท่านั้นที่กัดฟันทำจนครบได้

พอถึงท้ายชั่วโมง นักเรียนชายหญิงต้องจับคู่กันเพื่อให้ได้ลองฝึกการเต้นคู่เล็กๆ น้อยๆ ทอแสงได้คู่กับร่มไม้เพราะยืนอยู่ใกล้กันพอดี ตอนนี้ทุกคนตื่นเต้นพอๆ กัน เพราะไม่มีใครเคยได้ฝึกเต้นคู่มาก่อนเลย ยกเว้นภูมิคนเดียวเท่านั้น

ท่าแรกที่ครูศลให้ฝึกก็คือท่ากระโดดตรงๆ ธรรมดา ผู้หญิงจะยืนข้างหน้าผู้ชาย แล้วกระโดดขาคู่ขึ้นในอากาศตรงๆ

“รอบแรกนี้ผู้ชายยังไม่ต้องเหยียดแขนขึ้นบนหัวจนสุดนะ เอาเตี้ยๆ ก่อน แล้วอย่าโยนผู้หญิงลงมาล่ะ” ศลอธิบาย

“ส่วนผู้หญิง ให้เรากระโดดขึ้นตรงๆ ชูแขนฟิฟต์”

คู่ของภูมิกับปลาอยู่ข้างหน้าสุด ภูมิใช้ฝ่ามือประคองบริเวณใต้กระดูกซี่โครงของปลา ดูปลาไม่สะทกสะท้านอะไรนัก คงจะเคยชินเพราะปลาเรียนมหาวิทยาลัยปี 4 แล้ว แถมยังเรียนโรงเรียนสหศึกษามาตั้งแต่เล็ก แต่กับทอแสงนี่สิ สะดุ้งเฮือกเลยทีเดียว เมื่อรู้สึกว่ามือของร่มไม้มาประคองบริเวณชายโครงด้านหลังเธอเบาๆ ก็แม้แต่พ่อตัวเองเธอก็กอดนับครั้งได้ นี่ไง สิ่งที่เธอกลัวมันมาแล้ว - การเต้นคู่กับผู้ชาย

“ไม้เอามือลงมาอีกนิด แล้วจับให้กระชับ” ศลพูดพร้อมกับก้าวเข้ามาวางตำแหน่งมือของร่มไม้ให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น โดยไม่สนใจว่าทอแสงกำลังขนลุกซู่อย่างไรบ้าง

“กระชับ แต่อย่าขยำหลังของผู้หญิง” ศลหันไปกำชับกับทุกคน

“ต๊ะจับสูงหน่อย ให้จับตรงใต้ซี่โครงไม่ใช่เอว” เมื่อครูศลเช็คความเรียบร้อยจนครบ 8 คู่แล้ว ก็ให้แต่ละคู่ลองทำดู ซึ่งก็นับว่าผ่านไปได้ไม่ยากเย็นนัก

“เอาล่ะ ต่อจากนี้ครูขอสุดแขน” ศลหมายถึงให้ผู้ชายเหยียดแขนขึ้นไปเหนือศีรษะจนสุด

รอบนี้ไม่ง่ายเหมือนรอบแรก แม้กำลังแขนของฝ่ายชายจะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่จังหวะการย่อและกระโดดของแต่ละคู่กลับไม่ค่อยไปด้วยกันเท่าไหร่ ทำให้มีภูมิคนเดียวที่สามารถยกสุดแขนได้ เพราะจังหวะที่เขานำปลาให้ย่อไปพร้อมกับเขานั้นชัดเจน และมือคู่นั้นก็แข็งแรงมั่นคงสมกับการเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การเต้นคู่มามากแล้ว

“ผู้หญิงต้องตามผู้ชาย อย่ากระโดดเอง รอจับจังหวะการย่อจากผู้ชายด้วย” ศลพูดไปด้วย เดินดูไปด้วย

ทอแสงรอจังหวะจากมือของร่มไม้ที่จับอยู่ที่ช่วงลำตัวของเธอ “หนึ่ง ...สอง ...สาม” ร่มไม้แอบนับให้ พร้อมกดมือลงเมื่อสิ้นเลียงสาม เธอย่อลงตามแรงมือคู่นั้น แล้วกระโดดสุดแรงเกิด

โอ...นั่นไง สำเร็จแล้ว เธอเห็นตัวเองในกระจกลอยจากพื้นเป็นเมตรเลย แขนที่เธอจัดเป็นวงไว้เหนือศีรษะทำให้ตัวเธอดูยาวและสง่าอย่างยิ่ง

“ดีมากไม้” เสียงศลลอยมา “ทีนี้นะ ค่อยๆ วางตัวผู้หญิงลงบนหัวไหล่ เกร็งหน้าท้องไว้อย่าปล่อยให้ตัวหลวม ถ้าตัวเราโคลงเคลงผู้หญิงจะไม่ไว้ใจเรา” ตอนนี้ทั้งห้องกำลังจับตาดูด้วยความตื่นเต้น

แล้วทอแสงรู้สึกว่าร่มไม้กำลังเอาตัวเธอวางบนไหล่ของเขา แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองควรจะไว้ใจร่มไม้ดีหรือเปล่า แต่ว่าในวินาทีนั้น ที่ตัวเธออยู่ลอยจากพื้นสูงขนาดนี้ ชีวิตเธออยู่ในมือเขานั่นแหละ

“ถูกต้องๆ ดีมาก เอ่อ..” ศลใช้เวลานึกชื่อเล็กน้อย ”ทอแสง ทำเหมือนนั่งไขว่ห้างไปเลย แล้วหนีบเท้าไว้ข้างรักแร้ผู้ชาย” ศลพูดแล้วเดินเข้ามาเปลี่ยนตำแหน่งมือของร่มไม้ให้วางในตำแหน่งใหม่

สวยเหลือเกิน เป็นผู้หญิงมันดีอย่างนี้นี่เอง ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจแวบหนึ่งเมื่อเห็นตัวเองในกระจก ในท่าทางที่เธอเคยเห็นเพียงแต่ในรูปถ่ายของเหล่านักบัลเล่ต์ชื่อดัง เธอจินตนาการโลดแล่นไปถึงแสงแฟลชวูบวาบ และเสียงปรบมือกึกก้อง...

แต่แล้ว ความฝันของเธอก็พลันสะดุดกึกลงทันที เมื่อได้ยินคนที่อยู่ด้านล่างพูดขึ้น

“แล้ว...แล้วผมจะเอาผู้หญิงลงยังไงครับครู” คนพูดหน้าเฉยเป็นอย่างนิ่ง ช่างเป็นคำถามที่เรียบร้อยและใสซื่ออะไรเช่นนี้ ทอแสงคิดด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ร่มไม้เป็นคนสูง ทอแสงเห็นภาพตัวเองหล่นลงจากระดับความสูงราว 165 เซนติเมตรจากพื้น แล้วหัวใจเธอก็หล่นลงไปกองอยู่กับพื้นตามภาพที่เธอเห็นไปเรียบร้อยแล้ว

ศลบอกวิธีการเอาผู้หญิงลงมาจากไหล่ เธอรู้สึกถึงมือของร่มไม้ที่พยายามจะจับตามวิธีที่ศลบอก แต่ด้วยอารามตื่นเต้นทำให้ทอแสงฟังไม่ชัดว่าศลพูดอะไรบ้าง เธอคงได้แค่นั่งตัวแข็งเกร็งแล้วปล่อยให้ร่มไม้จัดการดูแลความปลอดภัยของตัวเธอ มารู้ตัวอีกทีเธอก็ลงมาอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว เสียงตบมือเฮลั่นห้อง ในขณะที่เจ้าตัวทั้งคู่ยืนหัวใจเต้นโครมครามเหงื่อแตกซิก

“ดีมากทั้งทอแสงและไม้ สำหรับครั้งแรก” ถ้าทอแสงตาไม่ฝาด นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นศลยิ้ม อย่างนี้ดูดุน้อยลงตั้งเยอะ เธอแอบคิดในใจ


และแล้วการเรียนร่วมกันครั้งแรกนี้ก็จบลง

“ทุกคนคงรู้จักครูศลแล้วนะจ๊ะ แล้วก็คงจะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆ กันไปบ้างแล้ว” เอมอรกล่าวเมื่อถึงเวลาเลิกเรียน “ครูศลจะมาเป็นผู้ออกแบบท่าเต้นและกำกับการแสดงที่เราจะแสดงกันในอีก 2 เดือนข้างหน้า” แล้วเธอก็ยกให้เป็นหน้าที่ของศลในการพูดถึงเรื่องการเข้าค่ายและการฝึกซ้อม
การแสดงประจำปีของบ้านสวนสตูดิโอจะจัดขึ้นในเดือนธันวาคม โดยการซ้อมจะเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคมอันเป็นช่วงปิดเทอมพอดี และในเดือนพฤศจิกายนก็เป็นช่วงเวลาของการซ้อมทบทวน เมื่อ 4 ปีที่แล้วเอมอรได้ลองจัด Ballerina Camp สำหรับนักเรียนชั้นสูงของโรงเรียนเป็นเวลา 3 สัปดาห์ โดยจำลองชีวิตประจำวันของนักเรียนบัลเล่ต์ในเมืองนอกที่เรียนกันเต็มเวลามาให้นักเรียนของเธอได้ลิ้มรส และก็ใช้ชั้นบนของบ้านสวนสตูดิโอนี้เองเป็นเสมือนหอพักนักศึกษา และสำหรับอาหารทั้ง 3 มื้อ ก็ได้อิ๊กเป็นพ่อครัวจำเป็น ผลที่ได้ก็คือ นักเรียนของเธอมีพัฒนาการที่เห็นได้ชัด เธอจึงจัดค่ายเช่นนี้เรื่อยมาเป็นประจำทุกปี

“ครูจะฝึกหนัก” ศลประกาศกลางที่ประชุมย่อยๆ นี้ “และครูต้องการความตั้งใจของทุกคน ฝีมือเป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ แต่ถ้าเธอไม่มีความตั้งใจให้ครู ครูก็ฝึกเธอไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใครรู้ตัวว่าจะมาเต้นเล่นๆ ก็อย่ามาแสดงชุดนี้”
ศลเป็นครูที่มีแนวทางชัดเจนมาก เขาไม่ใช่ครูประเภทที่สอนเต้นเพื่อให้เกิดความบันเทิง แต่มันคือการฝึกร่างกายและจิตใจ มันคือวิชาชีพ มันคือการก้าวสู่ความเป็นศิลปินที่ต้องอาศัยใจรักและการฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น เขาสอนดีมาก แล้วก็ดุมากด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการคัดกรองคนที่ไม่เอาจริงออกไป เพราะฉะนั้น แม้ตลอดหลายปีที่ผ่านมานักเรียนของศลมีอยู่ไม่มากเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือ แต่ละคนที่จบออกมาล้วนมีฝีมือระดับพระกาฬทั้งนั้น

“โอ๊ย...คิดไม่ออกเลยว่าจะตื่นทันเข้าคลาสตอน 7 โมงเช้าได้ยังไง” นุ่นบ่นกระปอดกระแปดตามประสาคนนอนดึกตื่นสาย

“แล้วเป็นคลาสโยคะ กับ stretching เสียด้วย เช้าๆ อย่างนั้นยังประกอบร่างไม่เสร็จเลย โดนจับดัดตัวอย่างนั้น เจ็บตายเลย” ปลา ผู้ที่ตัวแข็งที่สุดในชั้นเรียนเอ่ยขึ้นมาด้วยความหวั่นใจ “อ๋อย...แล้วดูสิ เรียนบัลเล่ต์ตั้งแต่สิบโมงถึงบ่ายโมงครึ่งแน่ะ ตั้งสามชั่วโมงครึ่ง แล้วสามโมงครึ่งก็ซ้อมอีกถึง 1 ทุ่มครึ่ง ตายแน่ๆ เลย” ปลาพูดพร้อมทำหน้าเหมือนจะเป็นลม

“แต่พี่ว่าที่หนักสุดน่าจะเป็นทอแสงนะ” ปลาพูดต่อ “ต้องซ้อมรอบดึกเพิ่มอีกรอบหนึ่งด้วย”

“ทำไมต้องเป็นเราด้วยก็ไม่รู้ ทำไมไม่เป็นพี่ปลา หรือไม่ก็นุ่น” แม้ทอแสงจะดีใจที่ได้รับเลือก แต่เธอก็ยังหวั่นๆ ว่าจะทำได้ตามที่ครูคาดหวังหรือไม่ อีกอย่าง เธอก็เป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนร่วมชั้นด้วย

“พี่ตัวใหญ่จะตาย ให้พี่ยกผู้ชายอาจจะเหมาะว่าให้ผู้ชายมายกพี่” ปลากล่าวติดตลก จนทั้งกลุ่มหัวเราะเมื่อนึกภาพปลาอุ้มผู้ชาย


จริงๆ ทอแสงเคยถามเอมอรไปแล้ว

“ก็เพราะครูมองว่าเธอเหมาะสมที่สุด” เอมอรตอบสั้นๆ

“แต่พี่ปลาเขาโตกว่าหนู”

“ครูไม่ได้เลือกจากอายุ หรือว่าใครเรียนก่อนเรียนหลัง ตอนนี้ปลาเขาค่อนข้าง เอ่อ..” เอมอรหยุดนิดหนึ่งเหมือนจะหาคำพูดให้เหมาะสม “..คือเขาท้วมไปหน่อยน่ะ อาจจะเต้นคู่ไม่สะดวกนัก ส่วนนุ่น ให้ครูพูดตรงๆ นะ ฝีมือนุ่นก็ใช้ได้ แต่ dance personality ของเขามีไม่ถึง พูดง่ายๆ คือ ขึ้นเวทีแล้วตรึงสายตาคนดูไม่ได้ แต่เธอทำได้ เพราะเธอมีสิ่งนั้นอยู่ในตัว และตอนนี้ ครูอยากเห็นเธอเอามันออกมาใช้” เอมอรมองตาของลูกศิษย์ที่เธอรักเหมือนลูกก่อนจะพูดต่อว่า

“ใครๆ ก็เป็นนักเต้นได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นนางเอกได้ จำไว้นะจ๊ะทอแสง”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)




 

Create Date : 07 สิงหาคม 2552
4 comments
Last Update : 26 ธันวาคม 2552 11:19:33 น.
Counter : 355 Pageviews.

 

เอาคำแปล ตงหมงเหมียวขือ มาฝาก ก๊ากๆๆๆ

แถมรอยยิ้มเพิ่มด้วย ต้นฉบับ อาร์ตตัวแม่
คลิกที่ภาพก็จะทะลุมิติไปคลังพี่โน้ตเยย 555+

">

โจจัง

 

โดย: พลังชีวิต 7 สิงหาคม 2552 23:39:24 น.  

 

อยากให้มีค่ายแบบนั้น

 

โดย: ใจเดียว IP: 124.120.177.19 8 สิงหาคม 2552 0:59:25 น.  

 

ชอบเรื่องนี้จัง มันแหวกแนวดี

 

โดย: Tukta21 11 สิงหาคม 2552 1:18:05 น.  

 

ตามมาอ่านตอน 2 และคงต้องตามตอนต่อไป

 

โดย: เหมียวน้อยจอมza@หมาป่าอิสระ 21 สิงหาคม 2552 11:24:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


วิปุลา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เต้นมา 19 ปี
เล่นดนตรีมา 18 ปี
(ขอ) เขียนหนังสือมา 10 ปี


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


ความฝันที่ใต้หมอน

เพราะกาลเวลาย้อนกลับไม่ได้ ความฝันจึงยังคงเป็นได้เพียงความฝัน และบางครั้งเงื่อนไขในชีวิตก็ทำให้เราต้องทิ้งร้างความฝันนั้นไว้ และซ่อนมันเอาไว้ในที่ที่มองไม่เห็น จนกระทั่งวันหนึ่งก็เรียนรู้ที่จะลืมความฝันที่ซุกไว้ใต้หมอนนั้นไปได้ในที่สุด

แต่กระนั้น สิ่งที่ถูกลืมเลือน ใช่จะเป็นสิ่งที่เลือนหาย ความฝันนั้นจึงยังคงรอให้ถึงวันที่เราจะไปค้นมันเจออีกครั้ง
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
7 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add วิปุลา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.