หน้าที่ของหมอนอกจากอยู่ในป่าแล้ว ยังเห็นออกไปทำงานเรื่องกำหนดนโยบายและแผนด้วย เป็นยังไงมายังไงถึงไปทำได้ คือเมื่อก่อนผู้ปฏิบัติกับผู้กำหนดกรอบทำงานแบบต่างคนต่างทำ มันเลยเกิดการผิดเพี้ยน แต่ ณ เวลานี้ผู้ใหญ่ก็มองว่ามันควรจะเชื่อมโยงกัน แล้วผมเองในฐานะสัตวแพทย์ที่เข้ามาทำงานอนุรักษ์ เราก็เป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มงานอนุรักษ์ แต่หลักๆ ก็จะเป็นเจ้าหน้าที่ที่จบวนศาสตร์ จบป่าไม้ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในเขตอุทยาน เมื่อเรามาทำงานกับพวกเขาก็เห็นว่าเขาเหล่านั้นเสียสละมาก แต่ด้วยความที่เขาทำงานในพื้นที่ก็มีโอกาสค่อนข้างน้อยที่จะถ่ายทอดข้อเท็จจริง เมื่อเรามีโอกาสมาทำงานในเชิงนโยบายก็เอาข้อเท็จจริงเหล่านี้ไปบอกเล่า ตอนผมทำงานตอนแรกไม่มีใครเชื่อ เพราะสิ่งที่เราทำมันไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ช้างบาดเจ็บ กระทิงบาดเจ็บ คุณจะเข้าไปรักษาเขาในป่ายังไง เขาก็คิดกันว่าอะไรที่ไม่เคยเห็นคือทำไม่ได้ แต่ในมุมมองของเราคืออะไรที่ไม่เคยทำไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ ตอนนั้นวิชาชีพเดียวกันกับผมก็ยังคิดว่าทำได้เหรอ ซึ่งจริงๆ เราจะหยุดทำก็ได้เพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ แต่ถ้าเรามองในฐานะตัวแทนวิชาชีพ เวลานั้นมันจึงไม่ใช่เวลาการทำงานของไอ้ล็อต แต่เป็นการทำงานของสัตวแพทย์ไทย เอาวะ! เป็นนักมวยขึ้นเวทีต้องชก จะโดนน็อก จะโดนหามนั่นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเรานึกว่าเป็นตัวแทนวิชาชีพเราจะมีความรอบคอบมุ่งมั่น หาทีมที่ปรึกษา การทำงานตอนแรกเราจะทำอย่างเดียว ภาพที่ออกมามันก็จะเห็นภาพการทำงาน ดีบ้างไม่ดีบ้างเราก็เต็มที่กับมันแล้ว เมื่อสังคมเห็นว่าหมอล็อตทำเต็มที่ เขาก็คิดกันเองว่ามีอะไรจะช่วยได้บ้าง เพราะในการทำงานตอนแรกๆ นั้นผมไม่มานั่งพูดหรอกว่าไม่มีเครื่องมืออะไรเลย ต้องไปเดินขอยาอะไรต่างๆ นานา เราจะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่มันเหมือนการถุยน้ำลายรดหลังคาบ้านตัวเองหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราจะบอกว่าเราทำเต็มที่แล้วครับ ตามสภาพความพร้อมที่เรามี การทำงานมันมีข้อจำกัดมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นเราคือ practitioner ไม่ใช่ perfectionist เมื่อเขาเห็นภาพการทำงานก็จะเห็นเลยว่าต้องสนับสนุนอะไร จากเดิมที่เราพูดแล้วไม่เชื่อ แต่จากที่เราสร้างภาพให้เกิดขึ้น สร้างข้อเท็จจริงให้เกิดขึ้น ให้สังคมได้ความรู้ความเข้าใจ เมื่อเป็นที่ปรึกษากรรมาธิการอยู่ในรัฐสภา เป็นนักวิชาการผู้ชำนาญการ เราก็เอาภาพถ่ายข้อเท็จจริงทั้งภาพนิ่งและวีดิโอให้ผู้ใหญ่เขาดู อย่าลืมว่าสังคม ณ เวลานี้การดับเบิ้ลเช็กมันทำได้ง่าย รู้เลยว่าใครจริงหรือไม่จริง สมัยผมทำงานแรกๆ จะเห็นเลยว่าหน่วยงานรัฐและเอ็นจีโอจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอด แต่เวลานี้เป็นยุคใหม่ ทั้งสองฝั่งมาประสานกัน เมื่อรัฐมีข้อจำกัดด้านไหนเอ็นจีโอก็เข้ามาช่วยกัน เพราะเป้าหมายก็คือเป้าหมายเดียวกันคือบูรณาการใหม่ของการอนุรักษ์ ในขณะเดียวกันความเกรงใจมันก็ไม่ใช่เพิ่มมากขึ้นนะ หากเนื้อหาใดไม่สอดคล้องก็โต้แย้งกันได้ ฉะนั้นการอนุรักษ์ตอนนี้สนุกมาก เรื่องระเบียบ เรื่องการจัดการพื้นที่อนุรักษ์ของเรา ตอนนี้มีคุณภาพอยู่ในระดับไหนของโลก เมื่อวันก่อนผมไปบรรยายก็ถูกตั้งคำถามมาว่า ทำไมบ้านเราระเบียบการเข้าเขตอนุรักษ์แย่มาก ผมก็ตอบว่าในแง่การจัดการของเรานั้นดีที่สุดในโลก เพราะว่าทรัพยากร สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศไม่เหมือนที่อื่น การจัดการจึงไปเทียบที่อื่นไม่ได้ เอาระบบที่อื่นมาจัดการทั้งหมดไม่ได้ กฎระเบียบที่วางไว้ในประเทศไทยมันดีอยู่แล้ว แต่ที่มันแตกต่างจากที่อื่นเลยคืออะไรรู้ไหม คือสำนึกของคนที่มาเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติเขาไม่ทิ้งขยะสักชิ้น เขาเก็บแล้วเอาลงไปทิ้งข้างล่าง เขามีสำนึก จนคนเราเองไปโทษว่าต้องมีกฎหมายเข้มงวด จริงๆ แล้วมันอยู่ที่สำนึกเท่านั้นเอง แล้วการจะกระตุ้นสำนึกให้เห็นพ้องและเข้าใจ เราทำให้เขารู้ไม่พอ ต้องให้เขามาสัมผัส ทีนี้การเข้าถึงคนมันมีหลายกลุ่มมาก การเปลี่ยนมุมมองการไปยืนอยู่ในสมองเขามันไม่พอ มันต้องนั่งในหัวใจเขาให้ได้ นั่นก็คือการเป็นพวกเดียวกัน เช่น ผมอยากรณรงค์กับนักปั่นจักรยาน เราก็เป็นนักปั่นไปกับเขา ทำยังไงให้วินวินกันทั้งคู่ คนมาเขาใหญ่ก็ได้ เราก็มีกิจกรรมเก็บขยะ ทำโป่ง ถางต้นสาบเสือ ทำฝาย เป็นการตอบแทนธรรมชาติ อย่างอยากจะเข้าถึงกลุ่มไบค์เกอร์ผมก็เป็นไบค์เกอร์บ้าง หามอเตอร์ไซค์มาขี่เลย เราจะได้คุยภาษาเดียวกัน เปิดอกคุยมันก็ง่าย เพราะกิจกรรมของไบค์เกอร์มันส่งผลต่อการอนุรักษ์จริง ดังนั้นเราก็ต้องหากรอบที่เหมาะสมให้กับเขา ไม่ใช่รถเสียงดังก็ห้าม อย่าลืมนะครับว่าการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด คือการมีสิทธิขั้นพื้นฐานเท่าเทียมกันในการเข้าถึงธรรมชาติ แล้วกรอบต้องเป็นยังไง เช่น อย่าขับเร็วเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงท่อต้องไม่ดังเกิน 95 เดซิเบล เราก็สร้างกฎระเบียบกติกากัน ตอนยังไม่เข้าเขตอนุรักษ์วัดแล้วเสียงไม่เกิน แต่รวมกลุ่มแล้วเกินทำยังไง เราก็ให้เขาไปทำการบ้านมา เขาก็บอกว่าไม่เร่งรอบ ไม่เบิ้ลเครื่อง ไม่ขี่รวมกลุ่ม นี่เป็นกฎที่เขาสร้างขึ้นมาเอง เป็นการแสดงจิตสำนึกของตัวเขาเอง เราก็เสริมเขาว่านานๆ คุณมาในอุทยานทีนั่นคือโอกาสดีที่ได้หายใจได้ฟอกปอด หากคุณขับช้าๆ นั่นคือการได้หายใจนานๆ ได้ฟอกปอดนานๆ เป็นข้อดีว่าทำไมต้องขับช้าๆ เมื่อต้องอยู่ในเขตอุทยาน นี่คือความใจกว้าง เมื่อกลุ่มนี้ทำได้ก็จะมีการส่งต่อความรู้ไปยังกลุ่มอื่นๆ อีก คนเหล่านี้ทำงานแทนเราทั้งนั้น เรามีหน้าที่สร้างฮีโร่ อย่างที่บอกเราไม่ได้เป็นจุดศูนย์รวม แต่เราเป็นจุดเริ่มต้น อย่างกรณีของพระ พระมาธุดงค์เป็นการรบกวนสัตว์ป่าหรือไม่ พระเองเมื่ออยู่ในป่าก็ถูกทำร้าย บางครั้งการเอาอาหารไปให้สัตว์ที่ชายป่า เมื่อสัตว์ป่าลงมากินมันติดใจก็ลงไปพื้นที่ชาวบ้าน ชาวบ้านก็เดือดร้อน นายพรานก็ไม่ต้องล่าไกลแล้ว เราก็ต้องไปจับพระ พระก็บอกว่าอาตมาทำบุญ ทำแล้วสัตว์ป่ามากินแล้วมีความสุข เพราะฉะนั้นศัตรูในการทำงานของพวกเราคือความปรารถนาดีนะ แต่มันเป็นความปรารถนาดีที่ผิดเพี้ยน เวลาเราไปคุยกับพระ พระก็บอกว่าไม่ต้องมาสอนอาตมาหรอก พูดอย่างนี้แล้วทำยังไงล่ะ เราก็บวชสิครับเพื่อเป็นพวกกับเขา แล้วก็ตั้งข้อกำหนดกันออกมาว่าหลักการให้อาหารสัตว์ป่าทำยังไง การให้อาหารสัตว์ป่าโดยตรงมันผิดธรรมชาติ ผิดพฤติกรรม เพราะเราไม่ได้ให้อาหารที่เป็นธรรมชาติของป่า ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องคือการสร้างครัวให้กับเขา สร้างอาหารให้ไปกินเอง สร้างแหล่งอาหารกับให้อาหารมันคนละอย่างกันนะ เพราะฉะนั้นกลยุทธ์คือสิ่งที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำมันจะเป็นภาพออกมาให้สังคมเห็น ผู้ใหญ่เห็นก็จะเกิดการสนับสนุนกลับมา
|