รัฐสภาไทย
| วันก่อนเห็นความวุ่นวายในรัฐสภาแล้วก็รู้สึกสนุกไปด้วย การประชุมสภาฯ ไทยเรายังดีกว่าของไต้หวันแยะ ที่นั่นมีการชกต่อยกระทืบกันเลยทีเดียว สภาฯ ที่ฝ่ายรัฐบาลมีเสียงข้างมากเด็ดขาดก็เป็นอย่างนี้ ฝ่ายค้านต้องอาศัยกลวิธีต่างๆ ที่จะหน่วงเหนี่ยวเวลาไว้เพราะไม่มีหนทางอื่น ในอเมริกาการถ่วงเวลาด้วยการอภิปรายเช่นนี้เรียกว่า Filibuster บางคนถึงกับเอานวนิยายมาอ่านให้ฟังก็มี เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว สภาฯ ไทยอ่อนแอมากเพราะรัฐบาลทหารไม่ให้มีการเลือกตั้งนานถึง 10 ปี เมื่อมีสภาฯ ก็มี ส.ส.ประเภทแต่งตั้งรวมอยู่ด้วย เวลานั้นสภาฯ ยังอยู่ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ส่วนสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาก็อยู่ในบริเวณนั้นเป็นตึกชั้นเดียวเล็กๆ และมีสโมสร มีโต๊ะบิลเลียด ส.ส.สมัยนั้นมีดาวสภาฯ อยู่ไม่กี่คน ที่ผมจำได้ก็คือคุณใหญ่ ศวิตชาติ ส.ส.นครสวรรค์ สภาผู้แทนราษฎรในเวลานั้น มีเพียงเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นพนักงานชวเลข และพิมพ์ดีด พูดง่ายๆ ก็คือมีหน้าที่จดรายงานการประชุมอย่างเดียว มีห้องสมุดเล็กๆ อยู่ใต้ถุนพระที่นั่งอนันตสมาคม ส่วนมาก ส.ส.จะไปใช้ห้องสมุดอ่านหนังสือพิมพ์ คอยดูข่าวและอาศัยข่าวนั้นมาตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี สรุปว่า ส.ส.ต้องทำงานคนเดียวไม่มีผู้ช่วยเหมือนกับสมัยนี้ สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาในยุคนั้น มีคนจบปริญญาตรีสัก 2 คน มีจบปริญญาโทคือ คุณบุรีรักข์ นามวัฒน์ อดีตเลขาธิการซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว คนทำงานมีประมาณ 50 คน ส่วนใหญ่ไม่จบปริญญา หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกิดขึ้น ความคิดที่จะปฏิรูปการเมืองโดยส่งเสริมบทบาทของ ส.ส.ก็เริ่มมีขึ้น โดยดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ และผมได้ช่วยกันหานักศึกษาปริญญาโทประมาณ 12 คนเข้าไปเป็นผู้ช่วยคอยค้นคว้าข้อมูล และทำความเห็นให้แก่สมาชิกสภานิติบัญญัติ เป็นการทดลองให้เห็นว่า สมาชิกสภาฯ ควรมีคณะที่ปรึษาไว้คอยช่วยค้นคว้าทำรายงานประกอบการพิจารณากฎหมาย จากโครงการนี้ จึงมีการจัดตั้งคณะกรรมการของสภาฯ ขึ้นทำการปรับปรุงสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาในเวลาต่อมา ผมเองได้เข้าไปช่วยงานนี้ โดยเป็นผู้เสนอรายงานในระหว่างนั้นได้ ร่วมกับอาจารย์ไปดูงานรัฐสภาอเมริกัน โดยศึกษาที่สำนักงานของสภาคองเกรส และที่มลรัฐฮาวายด้วย รายงานการปฏิรูปรัฐสภานี้ ทำให้สำนักงานเลขาธิการรัฐสภามีการขยายขอบเขตงานออกไปไม่จำกัดอยู่เฉพาะการจัด และจดรายงานการประชุมเท่านั้น ห้องสมุดรัฐสภาก็ได้รับการปรับปรุง มีเอกสารกฎหมายและงานวิจัยต่างๆ มากขึ้น ที่สำคัญก็คือได้มีศูนย์วิชาการ และศูนย์กฎหมายขึ้นช่วยค้นคว้า การปรับปรุงนี้ทำให้เกิดอัตราใหม่ 200 อัตรา อันเป็นฐานสำคัญของรัฐสภาตราบเท่าทุกวันนี้ โดยปกติแล้ว ส.ส.มักจะไม่มีเวลามาค้นคว้าด้วยตนเองที่รัฐสภาอเมริกัน มีเจ้าหน้าที่ช่วย ส.ส. เจ้าหน้าที่เหล่านี้มีอิทธิพลพอสมควรเพราะเป็นผู้เตรียมเอกสาร และเป็นผู้บรรยายสรุปให้ ส.ส. นักศึกษาปริญญาเอกทางรัฐศาสตร์ส่วนใหญ่จะนิยมไปสมัครเป็นผู้ช่วย ส.ส. ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ก็เคยทำหน้าที่นี้มาแล้ว ส.ส.ไทยส่วนใหญ่มักสนใจดูแลประชาชนในพื้นที่มากกว่าการเสนอร่างกฎหมาย แต่ในระยะหลังๆ การเสนอร่างกฎหมายจะมีมากขึ้น และการตั้งกระทู้ถามก็เริ่มหมดความสำคัญลง ภูมิหลังของ ส.ส.ในปัจจุบันคือ การเป็นนักธุรกิจต่างกับสมัยก่อนซึ่ง ส.ส.มักจะเป็นทนายความและครู ในสมัยนี้ความจำเป็นในการที่สภาฯ จะมีคณะผู้ช่วยคอยค้นคว้ากฎหมายให้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ในปัจจุบันนอกจาก ส.ส.จะมีคณะผู้ช่วยประจำอยู่ในสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาแล้ว ก็ยังสามารถมีที่ปรึกษาและผู้ช่วยเป็นเลขานุการได้อีก 3 คน มีคำกล่าวว่า หาผู้ไว้ใจยาก แต่คนมีความรู้นั้นฝึกหัดเอาได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ ส.ส.เอาคนใกล้ชิดอาจเป็นบุตรหลานเข้ามาเป็นเลขานุการ ในอังกฤษนอกจาก ส.ส.จะมีผู้ช่วยแล้ว พรรคการเมืองอังกฤษก็ยังมีความเข้มแข็ง มีหน่วยวิจัยคอยทำหน้าที่ค้นคว้าวิจัยประเด็นปัญหาสำคัญให้แก่ ส.ส. ต่างกับพรรคการเมืองไทยซึ่งยังไม่พัฒนาสมรรถนะด้านนี้ แต่จะนิยมใช้ที่ปรึกษานักวิชาการเป็นรายบุคคลเป็นครั้งเป็นคราวมากกว่า นอกจากนั้นในการพิจารณากฎหมาย ก็มีการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นกรรมาธิการวิสามัญ ผมได้มีโอกาสเห็นการพัฒนารัฐสภาไทยมาตั้งแต่เริ่มแรก นับว่าจาก 50 ปีที่แล้วถึงปัจจุบัน นับว่าเรามาได้ไกลพอควร ส.ส. มีคุณวุฒิสูงขึ้นมาก แต่พฤติกรรมของ ส.ส.บางส่วนก็ยังคงเหมือนเดิม
ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ
Create Date : 26 สิงหาคม 2556 |
Last Update : 26 สิงหาคม 2556 10:42:42 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1318 Pageviews. |
|
|