ผู้นำคนหนึ่งบอกกับ "วิษณุ" ว่า " ร.5 มีเวลาทรงงานยาวนาน 42 ปี แต่ตัวผมเหลือไม่กี่วัน"
สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มูลนิธิพระยาอรรถกระวีสุนทรและคุณหญิง ร่วมกับ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และวังวรดิศ จัดเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ พระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปาฐกถาพิเศษ โดย ศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประธานกรรมการพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณของพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย เนื่องในโอกาสครบรอบวันประสูติ 150 ปี ณ ห้องประชุมชั้น 6 อาคารรำไพพรรณี พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถนนหลานหลวง ดร.วิษณุ เครืองาม ปาฐกถาตอนหนึ่งว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2405 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 57 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และจอมมารดาชุ่ม ในรัชสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นยุคสมัยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็น ผู้นำ มีการปรับเปลี่ยนบ้านเมืองให้เป็นอารยประเทศ ที่ทันสมัยตามแบบอย่างของตะวันตก โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางน้อยใหญ่ เป็นกลไกหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงรับผิดชอบเรื่องกิจการภายในประเทศ การจัดการศึกษาให้ราษฎร การศาสนา และการปกครองหัวเมือง อีกทั้งยังมีความสำคัญในการรวบรวมและเขียนประวัติศาสตร์บ้านเมือง ส่วนสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ทรงเป็นกำลังสำคัญในการจัดการด้านต่างประเทศ เรียกได้ว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นมือขวา และสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการทรงเป็นมือซ้ายของรัชกาลที่ 5 เป็นเบื้องหลังผู้ขับเคลื่อนคนสำคัญในยุคนั้นก็ว่าได้ ทั้งนี้ ดร.วิษณุ เครืองาม ได้บรรยายถึงพระอัจฉริยภาพในหลากหลายด้าน ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีน้อยพระองค์นักที่จะทรงเป็นทั้งสมเด็จและเป็นกรมพระยา ซึ่งถือว่าเป็นพระเกียรติคุณยิ่งใหญ่และสูงสุด สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นพระกำลังที่สำคัญที่สุด ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ในทุกทางที่พัฒนา ทรงเป็นเบื้องหลังของความเป็นมหาราชของ ร.5 องค์ประกอบที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ ต้องมีเวลาและมีเสนา(การรู้จักใช้คน) มีจักขุมาร (หรือวิสัยทัศน์) จึงจะประสบความสำเร็จได้ เพียงพระชนมายุ 25 พรรษา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านได้รับมอบหมายให้ดูแลกรมศึกษาธิการ กรมธรรมการ ดูแลภาษาดูแลหนังสือ ในขณะที่คนอายุ 25 ในสมัยนี้ เรียกได้ว่ายังทำอะไรไม่ได้มาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีความคิดมานานที่จะมีการปฎิรูปการปกครองประเทศอำนาจในการปกครอง เมื่อครั้นต้นรัชกาล มีการปันอำนาจมีการคุมเชิงถ่วงดุลกันอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนวังหลวง ส่วนวังหน้า และส่วนธนบุรี รัชกาลที่ 5 ก็ทรงใช้ความอดทน รอคอยและพยายามแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส ซึ่ง ดร.วิษณุ เองเคยได้พบเจอมากับคนที่ทำงานใหญ่ๆมามาก ทั้งประเภทที่สั่งคนทำไม่ได้ 3 วัน 7 วัน แล้วย้ายทันที เห็นมาเยอะแล้วว่าพลาด รัชกาลที่ 5 ทรงมีความอดทน จะทำการใดๆ ก็ทำได้ แต่ท่านก็ไม่รีบร้อน ตัวอย่างในยุครัชกาลที่ 5 ทรงคิดจะปฏิรูประบบราชการในสมัยนั้น ดร.วิษณุ ได้เคยนำกรณีศึกษาในการทรงงานของรัชกาลที่ 5 มาถ่ายทอด นายกรัฐมนตรีหลายคน ซึ่ง ดร.วิษณุ กล่าวว่า ผมอยู่กับนายกรัฐมนตรีมาหลายคน เจอประเภทคนที่คิดเช้าจะทำบ่ายแล้วจะเอาให้เสร็จพรุ่งนี้เช้า " ผมก็ต้องไปแนะว่ารัชกาล ที่ 5 ทรงอดทนอดกลั้น แต่นายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งตอบกลับมาว่า รัชกาลที่ 5 ท่านมีเวลาทรงงานยาวนานถึง 42 ปี แต่ตัวผมเองเหลือไม่กี่วัน ดร.วิษณุก็แนะนำว่าการคิดจะปฏิรูประบบหรือการทำงานใหญ่ๆ ต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ สร้างความเข้าใจให้เข้าถึงแล้วจึงพัฒนา ซึ่งสวนทางกับแนวคิดของนายกฯ สมัยนั้นที่ "ต้องคิดใหม่ทำใหม่" นอกจากนี้ ศ.ดร.วิษณุ ยังได้สรุปพระอัจฉริยภาพ 7 ด้าน ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดังนี้ 1.ทรงเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในการวางรากฐานการปกครองส่วนกลาง ควบคุมดูแลกระทรวงมหาดไทย และเป็นกระทรวงแบบอย่างส่วนกลางให้แก่กระทรวงอื่นๆ (Model Ministry) 2.วางระบบการจัดการส่วนภูมิภาค เนื่องจากทรงตระหนักว่าประเทศสยามไม่ได้มีเฉพาะกรุงเทพฯ การจัดการปกครองหัวเมือง( ภูมิภาค) เปลี่ยนเมืองให้เป็นจังหวัดเปลี่ยน ให้หลายจังหวัดรวมกันเป็นเทศาภิบาล 3.ทรงเป็นหนึ่งในผู้ที่นำความคิดในการจัดตั้ง การปกครองส่วนท้องถิ่นมาใช้ตั้งเป็นสุขาภิบาล จนสืบทอดและพัฒนามาในปัจจุบัน 4.พระปรีชาสามารถในการใช้คน เลือกคนปลูกฝังคน เลือกคนทำงาน ประเด็นนี้ ดร.วิษณุ สะท้อนไปถึงรัฐมนตรีในสมัยปัจจุบันว่าการเลือกใช้คน และการทำตัวให้คนรัก ไม่ใช่ยึดติดแต่เรื่องอำนาจ 5.พระอัจฉริยภาพ ด้านหนังสือ ภาษา ศาสนา วรรณคดี 6.ด้านประวัติศาสตร์ 7.ด้านความจงรักภักดี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้รับยกย่องให้เป็นทั้ง นักประวัติศาสตร์ นักการศึกษา นักปราชญ์ เมื่อพระอัจฉริยภาพหลายด้าน อีกทั้งการเลืกใช้คนการปลูกฝังพัฒนาคน และสำคัญที่สุดคือความจงรักภักดี ทั้งหมดนี้ เกิดในคนๆ เดียว จึงสมควรได้รับการขนานนามว่า รัฐบุรุษ ขอบคุณ มติชนออนไลน์ สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ
Create Date : 02 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2555 23:21:18 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3236 Pageviews. |
|
|