สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทูตสันถวไมตรีไทยจีน
เมื่อปี 2547 สมาคมมิตรภาพวิเทศสัมพันธ์ประชาชนจีน ได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระสมัญญานาม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้ทรงเป็น ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน จากพระราชกรณียกิจ ในการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและจีน ทั้งโดยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนมากกว่า 20 ครั้ง ในขณะนั้น และความรู้ ความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้ง ในเรื่องศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนภาษาจีน ปี 2552 ชาวจีน 2 ล้านคน ลงคะแนนผ่านอินเทอร์เน็ต ให้พระองค์ เป็น มิตรที่ดีที่สุดในโลกอันดับที่สองของชาวจีน สมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ เสด็จเยือนจีนครั้งแรกในปี 2524 และเสด็จอีกหลายครั้งในปีต่อๆ มา จนถึงปัจจุบัน มากกว่า 30 ครั้ง ครอบคลุมดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของจีน ครบทุกมณฑล สมเด็จพระเทพฯ หรือที่คนจีนกล่าวขานพระนามพระองค์ว่า สิรินธร ยังทรงให้ความสำคัญกับภาษาและวัฒนธรรมของจีนอย่างมาก ทรงเรียนภาษาจีนตั้งแต่ปี 2523 ทั้งยังทรงเคยเสด็จฯ ไปศึกษาภาษาและวัฒนธรรมจีนเพิ่มเติมถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เป็นเวลา 1 เดือน เมื่อปี 2544 พระองค์ทรงเคยเล่าให้อาจารย์และนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งฟังว่า ตอนแรกไม่ได้คิดอยากเรียนภาษาจีน เพราะคิดว่าป็นภาษาที่ยากมาก แต่มาคิดว่าตัวเองเป็นคนเอเชีย ในเอเชียมีประเทศใหญ่อยู่ 2 ประเทศ คือ อินเดียและจีน การเรียนภาษาอินเดียและจีนจึงสำคัญมาก ประกอบกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้รับสั่งว่า เรียนภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ล้วนเป็นภาษาตะวันตก คิดว่าน่าจะเรียนภาษาจีน พระองค์จึงทรงปรึกษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็ทรงเห็นด้วย ในที่สุดจึงขอให้ทางสถานทูตจีนช่วยจัดอาจารย์มาถวายการสอน พระองค์เคยตรัสว่า ภาษาจีนนั้นสามารถนำคนเข้าสู่อาณาจักรแห่งความรู้อันอุดมไพศาลแหล่งหนึ่งของโลกได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งศึกษาก็ยิ่งตระหนักในขอบเขตอันกว้างขวางลุ่มลึกนั้น หลังจากช่วงเวลา 1 เดือนแห่งการร่ำเรียนภาษาและวัฒนธรรมจีนเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สิ้นสุดลง ทางมหาวิทยาลัยก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระองค์ เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2544 ในฐานะที่ทรงมีคุณูปการอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความเจริญของประเทศไทย ส่งเสริมความก้าวหน้าและสันติภาพของมนุษยชาติ ทั้งยังทรงมีบทบาทโดดเด่นในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจีน-ไทย ยังความภาคภูมิใจแด่พระองค์เป็นอันมาก โดยตรัสว่า แต่นี้ไปภายหน้า จะไม่เพียงพยายามทำงานส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีนให้มากขึ้นเท่านั้น จะพยายามมีส่วนในการสร้างความเจริญก้าวหน้าแก่วัฒนธรรมของโลกและมนุษยชาติให้มากยิ่งขึ้นด้วย นอกจากภาษา-วัฒนธรรม และดนตรีจีนแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ยังได้ทรงเรียนการเขียนอักษรจีนด้วยพู่กัน หรือ ลายสือศิลป์จีน การวาดภาพแบบจีน และฝึกรำมวยไทเก๊ก ซึ่งพระองค์ทรงรู้สึกสำราญพระทัยในการเรียนทุกวิชา และทรงรู้สึกว่า ลายสือศิลป์จีน รำมวยจีน และดนตรีจีน สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ ทำให้เกิดสมาธิ ยามใดที่ทรงรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์ร้อน เมื่อได้คัดลายสือศิลป์จีนแล้วจะทำให้กลับมาอารมณ์ดีได้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ไม่เพียงแต่ทรงเชี่ยวชาญด้านภาษา-วัฒนธรรม และวรรณคดี หากยังสนพระทัยในด้านประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งทรงมีจุดยืนที่ชัดเจนเที่ยงธรรมด้วย ทรงเคยตรัสกับนักศึกษาชาวจีน ที่กำลังทำวิทยานิพนธ์เปรียบเทียบนโยบายชาวจีนโพ้นทะเลของประเทศไทยและอินโดนีเซียหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่า คนจีนในประเทศไทยไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคนต่างชาติ พวกเขามีสิทธิเท่าเทียมกับคนไทยทุกประการ นายกรัฐมนตรีไทยหลายคนก็เป็นลูกหลานจีน พวกเขามีเชื้อสายจีน แต่ยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สั่งปิดโรงเรียนจีน ไม่ยอมให้เรียนภาษาจีน คนจีนก็เลยต้องแอบเรียน นโยบายอย่างนี้ไม่ถูกต้อง การเสด็จฯ เยือนจีนหลายครั้ง พระองค์จะทรงถ่ายทอดประสบการณ์เป็นหนังสือให้คนไทยได้อ่านด้วย ตั้งแต่การเสด็จครั้งแรก เมื่อ ปี 2524 ซึ่งทรงเขียนหนังสือ ย่ำแดนมังกร เผยแพร่ให้ประชาชนได้อ่าน และอีกหลายเล่มในเวลาต่อมา เช่น มุ่งไกลในรอยทราย, เกล็ดหิมะในสายหมอก , ใต้เมฆที่เมฆใต้, เย็นสบายชายน้ำ, คืนถิ่นจีนใหญ่ และ เจียงหนานแสนงาม เป็นต้น พระราชนิพนธ์ทุกเล่มของพระองค์ มีส่วนช่วยให้คนไทยมีความเข้าใจในประเทศจีน-คนจีน และวัฒนธรรมจีนมากขึ้น สมกับพระสมัญญานาม ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน "ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระชนมานสืบยืนสี่หมื่นวัน" ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์ สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ
Create Date : 06 เมษายน 2558 |
Last Update : 6 เมษายน 2558 9:17:00 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1614 Pageviews. |
|
|