| งานศิลปะในซีรีย์ Nimbus ของศิลปินชาวดัชต์ ชื่อ Berndnaut Smilde ซึ่งเสกเมฆก้อนละมุมมาไว้ใจกลางห้องจัดแสดงศิลปะได้อย่างน่ามหัศจรรย์ | | | ใครก็ตามที่มักต้้งคำถามว่า ทำไมวิศกรคอมพิวเตอร์ถึงต้องเรียนชีววิทยา? ทำไมนักชีววิทยาถึงต้องเรียนเขียนโปรแกรม? แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ทำไมต้องถูกบังคับให้เรียนศิลปาศาสตร์เป็นวิชาเลือก? คุณลองถามตัวเองดูสิว่าแล้วจำเป็นไหมที่ศิลปินและจิตรกรต้องเรียนแค่ศิลปะ? สัปดาห์ก่อนมีคนแชร์ภาพจากบล็อกวิทยาศาสตร์ชื่อดังในสังคมออนไลน์กันอย่างคึกครื้น นายปรี๊ดเองก็สะดุดตากับภาพเมฆก้อนงามลอยเด่นอยู่กลางห้องโล่ง เป็นศิลปะการจัดวางที่สร้างจุดเด่นด้วยเมฆอันบางเบา แต่หนักแน่นด้วยความคิดที่แยบยลของการรวมเทคนิควิธีการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้สื่อสารงานศิลปะให้มีความน่าสนใจอย่างมหัศจรรย์ งานที่นายปรี๊ดพูดถึงเป็นงานศิลปะในซีรี่ย์ Nimbus ของศิลปินชาวดัชต์ ชื่อ Berndnaut Smilde ที่ทำงานในรูปแบบศิลปะแบบจัดวางร่วมสมัย จนได้รับเชิญให้ไป สร้างเมฆ ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะและหอศิลป์ทั่วยุโรป และอเมริกามาตั้งแต่ปลายปี 2555 ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นอย่างมาก เพราะการแสดงงานของ Smilde ดำเนินการในลักษณะศิลปะเชิงประจักษ์ (Interactive Art) โดยผู้ชมจะได้มีส่วนร่วมและเห็นวิธีการสร้างเมฆทุกชั้นตอน ตั้งแต่การยืนรอคอยในห้องจัดแสดงโล่งๆ ไร้ภาพเขียนและปติกรรมใดๆ จนกระทั่งศิลปินเข้ามาเสกเมฆก้อนใหญ่ให้ลอยวนเวียนเปลี่ยนรูปร่างอยู่กลางห้อง เมื่อเสริมบรรยากาศแห่งการเสพศิลปะด้วยการจัดแสงให้เกิดจังหวะสวยงาม จึงยากที่จะปฏิเสธว่า เป็นห้วงเวลาที่สร้างความประทับใจให้ผู้ชมอย่างไม่รู้ลืม Smilde ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง BBC News ถึงแรงบันดาลใจว่า เค้าอยากทำงานศิลปะสักอย่างหนึ่งในห้องโล่งๆ ที่ผู้ชมสามารถสัมผัสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และสาธิตวิธีการทำเมฆอย่างง่ายๆ โดยไม่ปิดบัง เริ่มต้นด้วยการจัดการกับลำแสงจากสปอร์ตไลท์หรือแสงธรรมชาติที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เพื่อทำให้เกิดจังหวะของแสงที่ส่องลงบนมวลเมฆอย่างนุ่มละมุน จากนั้นก็เป็นการบังคับลมและอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศและพัดลมให้เกิดความเย็นเหมาะสม และมีแรงลมที่หมุนเวียนไปรอบห้องเพื่อบังคับเมฆให้ลอยอยู่กลางห้องหรือตำแหน่งที่ต้องการ ต่อไปก็ใช้น้ำเปล่าพ่นเป็นละอองตรงตำแหน่งที่ต้องการให้เกิดเมฆซึ่งละอองน้ำนี้จะทำให้เมฆถูกกักอยู่กับความชื้น และลอยอยู่เหนือพื้นตามลักษณะที่ศิลปินต้องการ จากนั้นในขั้นสุดท้ายจึงปล่อย ควัน จากเครื่องทำควันที่ใช้ทั่วไปตามเวทีการแสดงคอนเสิร์ต ไม่กี่นาทีเมฆก้อนงามก็ถูกเสกให้ลอยอยู่กลางห้องจัดแสดง ท่ามกลางสายตาของผู้ชมที่แสดงความตื่นเต้นประทับใจกับภาพตรงหน้า เหมือนสายตาของเด็กน้อยที่นั่งมองมวลเมฆเปลี่ยนรูปร่างเป็นม้า เป็นต้นไม้ ไปตามแรงลม แต่ในห้องจัดแสดงมีเพียงศิลปินที่คอยพ่นละอองน้ำไปตามที่ต่างๆ และคอยควบคุมแรงลม อุณหภูมิ และแสงให้ผู้ชมได้ชื่นชมกับก้อนเมฆกลางหอศิลป์ เป็นประสบการณ์ใหม่ที่จับเอาเทคนิคทางวิทยาศาสตร์มารวมกับศิลปะได้อย่างน่าสนใจ เมื่อเทียบภาพมหัศจรรย์ที่เห็นกับเทคนิคที่ศิลปินทำหลายคนคงเริ่มคิดในใจว่า ฉันก็ทำได้ แต่ทำไมเราถึงไม่เคมีใครคิดใครทำมาก่อน? เพราะเจ้าเครื่องพ่นควันก็ราคาแค่หลักพัน โดยมีหลักการง่ายๆ จากการปั๊มสารละลายกลีเซอรีนหรือกลีเซอรอลขึ้นมาทำให้เกิดการระเหยผ่านแผ่นอลูมิเนียมที่ถูกทำให้ร้อน และมีขอลวดทองแดงเป็นตัวปรับอุณหภูมิก่อนถูกพ่นออกมา ส่วนน้ำยาสำเร็จทำควันรูปก็หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพงและค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็มีสูตรลับตามแต่ละบริษัทจะผลิตขึ้นมาเพื่อให้กับเครื่องสร้างควันของตนเอง แต่หากใครสนใจจะสร้างควันเองก็สามารถหาสูตร D.I.Y. ได้จากอินเทอร์เน็ต โดยใช้สารตั้งต้นง่ายๆ ภายในบ้าน แต่นายปรี๊ดขออุบไว้ เพราะหากเด็กๆมาอ่านเจออาจนำไปทดลองสร้างเมฆโดยปราศจากผู้ใหญ่ดูแล จนเมฆน้อยอาจกลายเป็นระเบิดควันได้ ความตั้งใจดีก็กลายเป็นร้ายโดยไม่ตั้งใจ หลายคนอาจมองว่า การที่วิทย์พบศิลป์ มันก็เป็นเพียงดีไซน์ ศิลปะทำให้วิทยาศาสตร์ดูอ่อนโยนน่าสนใจ หรือวิทยาศาสตร์ทำให้ศิลปะดูมีอะไรน่าค้นหา... แต่สิ่งที่นายปรี๊ดอยากสะกิดชวนท่านทั้งหลายคิด คือ วิธีคิด ไม่ใช่เพียงการที่ศิลปินนำเครื่องพ่นควันมาทำอะไร? แต่ สิ่งที่น่าคิดกว่าคือ เค้าคิดได้อย่างไร? และผ่านกระบวนการทดลองอย่างไรให้ได้ผลงานที่ต้องการได้? นายปรี๊ดเชื่อว่า ศิลปินต้องผ่านการทดลองมาหลายครั้งก่อนที่จะพบว่าสิ่งที่ตนเองต้องการทำได้อย่างไร ด้วยวิธีการใดและสิ่งแวดล้อมแบบไหนจะดีที่สุด และต้องละเอียดละออกับการควบคุมปัจจัยต่างๆ ให้ได้ตามที่ต้องการ ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น และแรงลมที่พอเหมาะจะอุ้มเมฆไว้กลางที่โล่ง
|