|
แนะนำเรื่องสั้นของเจียวต้าย ชุดเรื่องธรรมดาของคนธรรมดา .. ค่าของมิตรภาพ
เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา
ค่าของมิตรภาพ
เพทาย
น้ำใจแห่งมิตรอันควรอารี ก็คือคนที่เขามีเมตตา รู้จักเกื้อกูลและอุดหนุนซึ่งกันดังว่า ต้องทำใจรักกันไว้ดีกว่า เมื่อเราเกิดมาถือว่าญาติเดียวกัน....
วันนั้นผมก้าวเข้าไปในธนาคาร เมื่อเวลาได้ล่วงไปบ่ายมากแล้ว จึงหยิบบัตรคิวได้เบอร์ ๑๒๗ แล้วก็ต้องรอให้เจ้าหน้าที่เรียกตามระเบียบ เมื่อพนักงานสาวในช่องที่ ๓ เงยหน้าขึ้นเห็นผม เธอก็ยกมือไหว้และยิ้มอย่างดีอกดีใจ ผมพลิกบัตรให้เห็นหมายเลข เธอก็พยักหน้าบอกว่า
รอเดี๋ยวนะคะ จวนถึงแล้ว
แล้วเธอก็ก้มหน้าง่วนอยู่กับแป้นคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ต่อไปตามปกติ ผมจึงถอยออกมาหาที่นั่งคอยข้างฝาผนัง เมื่อเอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้แล้ว ผมก็คงเห็นแต่เพียงหน้าผากและแนวผมม้าของเธออย่างที่ผมเคยเห็นมาเป็นเวลานานเท่านั้น
**********
ดูเหมือนจะเป็นเวลานานมากกว่าสิบปี ที่ผมเป็นลูกค้าของธนาคารแห่งนี้ แต่เป็นคนละสาขา หลังจากที่ได้ย้ายสมุดฝากจากสาขาซึ่งใกล้ที่ทำงาน มายังสาขาที่ใกล้บ้านของผมแล้ว ผมก็ได้พบหน้าเธอเป็นประจำทุกเดือน
ผมสะดุ้งในใจตั้งแต่ได้พบเธอครั้งแรก ว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่คนเดียวที่ยิ้มให้ลูกค้า อย่างสดชื่นแจ่มใส อย่างที่ออกมาจากใจจริง ไม่ใช่ยิ้มตามสโลแกนของธนาคารที่แปะไว้ข้างฝา ผมรีบเดินเข้าไปหาเธอเพราะสมัยนั้นยังไม่มีบัตรคิว และผมก็รอเข้าคิวทุกครั้งที่ผมไปฝากไปถอนหรือไปลงรายการ ที่ช่องสอง นี้ทุกครั้ง
คงจะเป็นเทศกาลปีใหม่ปีหนึ่ง ที่ผมอยากจะตอบแทนความมีน้ำใจของเธอ ผมจึงหาหมูแผ่นจากร้านแถวนั้นใส่กล่องเป็นของขวัญปีใหม่ให้เธอ ซึ่งเธอยิ้มรับและไหว้ขอบคุณ ทำให้ผมปลื้มมากที่ตั้งใจดีต่อเธอ และเธอไม่ปฏิเสธ
ผมเพียงแค่อยากจะตอบแทนความมีน้ำใจ ที่เธอมีต่อผมซึ่งเป็นลูกค้าที่ไม่สำคัญคนหนึ่ง และเพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อคนเราได้กระทำความดีแล้ว ย่อมได้รับผลดีตอบแทน เท่านั้นเอง
หลังจากนั้นเมื่อผมไปติดต่อใช้บริการของสาขาธนาคารแห่งนั้น ซึ่งเป็นแห่งเดียว เพราะผมจะไม่ไปที่อื่นเลย ทั้ง ๆ ที่เขาใช้คอมพิวเตอร์ออนไลน์แล้วก็ตาม ผมจะต้องหาสิ่งของหรือขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปฝากเธอเสมอ ซึ่งบางทีเธอก็เตรียมของไว้ให้ตอบแทนผมบ้างเหมือนกัน
คราวหนึ่งผมถามเธอว่าชอบอ่านหนังสือไหม เธอบอกว่าชอบอ่านเหมือนกัน ตั้งแต่นั้นผมจึงมอบหนังสือให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่เธอทุกปี แต่ไม่กล้าถามว่าอ่านแล้วชอบหรือไม่ชอบ เพราะเป็นเรื่องที่ผมเขียนเองทั้งเล่ม
ความจริงผมไม่ได้ไปติดต่อกับเธอบ่อยนัก ที่แน่ ๆ คือวันสิ้นเดือน เพราะต้องไปถอนเงินเพื่อเอาไปส่งธนาณัติ บริจาคให้สาธารณกุศลหลายแห่ง แต่ละแห่งเป็นเงินจำนวนไม่มากนัก ต่อมาจึงรวมกันเป็นเดือนละแห่งเดียว และหมุนเวียนไปทุกเดือนจนครบสิบสองแห่งทั้งปี
นอกนั้นก็เป็นการเอาสมุดไปลงรายการที่ถอนทางเอทีเอ็มบ้าง ไปลงรายการเงินรางวัลที่ถูกสลากออมสินบ้าง ไปถอนเงินก้อนใหญ่เอามาทำธุรกิจ แล้วเอาเงินก้อนเล็กไปผ่อนใช้คืนตามเดิมบ้าง และเกือบทุกครั้งผมต้องหาของติดมือไปฝากเธอเสมอ
บางครั้งเป็นวุ้นอันเล็ก ๆ รูปหัวใจ บางครั้งเป็นเนื้อสวรรค์ บางครั้งเป็นหมูหยอง บางครั้งก็เป็นขนมเอแคร์ ซึ่งต่อมาผมก็ฝากให้เธอแบ่งแก่เพื่อนที่นั่งเคียงข้างเธอทั้งช่องหนึ่งและช่องสามด้วย แต่บางคราวก็เปลี่ยนเป็นพวงกุญแจ ห้อยรูปต่าง ๆ ส่วนหนังสือนั้นให้เมื่อขึ้นปีใหม่หรือวันเกิด ไม่ใช่วันเกิดของเธอเพราะผมเองก็ไม่รู้ แต่เป็นวันเกิดของธนาคารนั้นเอง
ผมไม่รู้ว่าเธอจะคิดอย่างไรกับการกระทำของผม เพราะผมไม่ได้ทำอะไรให้มากไปกว่านั้น ไม่เคยคุยกับเธอนอกเรื่องธุรกิจของธนาคาร ไม่เคยไปดักรอเวลาเลิกงาน ไม่เคยชวนไปกินข้าวกลางวัน เพราะเธอกินในสำนักงานนั้นเอง บางครั้งบางคราวผมจึงเอาขนมครกหรือแป้งจี่แถวหน้าสำนักงานนั้น ไปฝากเธอเป็นอาหารกลางวัน
ผมไม่เคยรู้ชื่อของเธอ ไม่รู้บ้านที่อยู่และสถานะทางครอบครัวของเธอ นอกจากสังเกตเห็นว่าเธอมีแหวนเพชรสวยงาม ผลัดเปลี่ยนกันสวมที่นิ้วนางซ้ายอยู่เสมอ ผมมองเห็นเมื่อเธอใช้นิ้วทำงานอยู่กับสมุดฝากของผม หรือเมื่อเธอส่งสมุดคืนให้ผม
ผมคอยมองดูเธอทำงาน ในเวลาที่ต้องรอคิวทุกครั้ง แม้เมื่อเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ผมก็อดที่จะมองตามไม่ได้ และผมไม่กังวลที่จะคอยคิวหลัง ๆ เพราะผมอยากอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย นั้น นาน ๆ
ในบางคราวที่ผมว่าง แม้เสร็จเรื่องที่จะทำแล้ว ผมก็ยังนั่งอ่านหนังสือที่เขาวางไว้บนโต๊ะ จนจบไปเป็นเล่ม ๆ
ผมทำเช่นนั้นเป็นประจำเรื่อยมา จากเดือนเป็นปี และหลายปีต่อมา ผมไม่สามารถจะปฏิเสธได้ว่าผมมีความสุขใจมาก ในขณะนั้น และตลอดวันนั้น ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรที่ชวนให้เห็นว่าผมมีความคิดนอกลู่นอกทางจากความเป็นมิตร
เป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์ อย่างที่นักปราชญ์ฝรั่งคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ ผมนึกออกแล้วเขาชื่อพลาโต้ ดูเหมือนจะเรียกกันว่าพลาโตนิคเฟรนด์ชิฟ หมายถึงมิตรภาพระหว่างชายหญิงที่ไม่มีความรู้สึกอื่นใดมาเจือปน ผมเชื่อว่าความรู้สึกของตนเองเป็นเช่นนั้น
แล้ววันหนึ่งซึ่งผมไปติดต่อธนาคารตามปกติ เมื่อสิ้นเดือน เธอได้บอกกับผมว่า เธอจะต้องย้ายไปอยู่ที่สาขาซึ่งห่างไกลออกไป ห่างไกลจากที่เดิม และห่างไกลจากบ้านของผม เธอย้ายพร้อมกันทั้งสามคน เบอร์หนึ่งย้ายไปทางทิศใต้ เบอร์สามย้ายไปทางทิศเหนือ และเบอร์สองคือเธอย้ายไปทางทิศตะวันออก
ความจริงก็ยังอยู่ในกรุงเทพ แต่ผมรู้สึกเหมือนว่าไกลเสียเหลือเกิน ไกลในความรู้สึกนึกคิดของผม ที่เคยชินกับความใกล้ชิดในจิตสำนึก
คราวนี้เองที่ผมเพิ่งจะกล้าพูดกับเธอนอกเรื่องของธนาคาร ผมถามเธอว่า ธนาคารเขาจะเลี้ยงส่งเมื่อไร เธอบอกว่าไม่มีการเลี้ยงส่งหรอก ผมประหลาดใจเพราะเธอเป็นเจ้าหน้าที่เก่ามาก อยู่ที่นี่มานับสิบปี เวลาย้ายเขาไม่อาลัยอาวรณ์กันเลยหรือ
ไม่เหมือนที่ทำงานเก่าของผม เวลามีการเลื่อนชั้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง ไปราชการพิเศษ หรือกลับจากราชการพิเศษ หรือย้ายออกนอกหน่วย เป็นต้องมีการเลี้ยงส่งเลี้ยงรับเลี้ยงแสดงความยินดีกันเป็นประจำ
ผมจึงถามเธอไปด้วยความเคยชิน เมื่อเธอตอบเช่นนั้นผมจึงโพล่งออกไปว่า ถ้าอย่างนั้นอนุญาตให้ผมเลี้ยงได้ไหม ผมพูดออกไปแล้วก็นึกรู้คำตอบเป็นอย่างดี เธอปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ว่าเป็นการกระทันหันไม่มีเวลา
ความจริงผมมีเหตุผลที่จะโต้แย้ง และอ้อนวอนเธอได้ แต่ผมไม่พูด ผมฉุกคิดได้ว่า ผมควรจะต้องรักษาระยะห่างของมิตรภาพนั้นไว้ ให้ยาวนานที่สุด อย่าไปทำลายเสียในตอนนี้
**********
หลังจากวันที่เธอย้ายไปสองสามวัน ซึ่งเป็นวันจันทร์เปิดทำงานเป็นสัปดาห์แรก ในสาขาใหม่ของเธอ ผมจึงดั้นด้นเข้ามาในสถานที่ซึ่งไม่เคยได้ย่างกรายเข้ามาเลยในชีวิต ผมเห็นเธอในลักษณะที่เหมือนเดิม เปลี่ยนนิดเดียวที่เธอนั่งอยู่หลังช่องเบอร์สาม
เธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม ก็รีบยกมือไหว้และยิ้มอย่างปิติยินดี ผมพลิกบัตรให้เธอเห็นหมายเลข ๑๒๗ เธอก็พยักหน้าและบอกว่า
รอเดี๋ยวนะคะ จวนถึงแล้ว
ผมถอยไปนั่งรอที่เก้าอี้ข้างผนังห้อง และเริ่มคิดถึงเรื่องราวระหว่างผมกับเธอที่ผ่านมา ผมคิดอยู่อย่างเพลิดเพลิน จนไม่ได้ยินเสียงเรียกของเจ้าหน้าที่เบอร์สี่ และผู้ที่นั่งข้างเคียงต้องสะกิด
ผมส่งสมุดฝากให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้น เพื่อลงรายการที่ผมถอนทางเอทีเอ็ม เธอเปิดสมุดแล้วยิ้มพราย เมื่อเห็นว่าสมุดของผมเป็นสาขาไหน เธอพูดผ่านรอยยิ้มนั้น
แหม........ตามมาถึงนี่เชียวหรือคะ
ผมรู้สึกหน้าชา เพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้ ผมคงจะทำไม่ถูกต้องไปแล้วกระมัง ที่รีบร้อนมาที่นี่ในวันนี้ ห่างจากวันที่เธอย้ายเพียงแค่คั่นด้วยวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
ผมคงจะทำผิดไป ในสายตาของคนอื่น แต่ใจผมคิดว่าไม่ผิด ผมเป็นเพื่อนของเธอ ผมมีสิทธิ์ที่จะอยากรู้ว่าเธอมีความสุขสบายดีกับเก้าอี้ตัวใหม่ของเธอหรือไม่ ผมไม่น่าจะทำผิดนะ
ผมรับสมุดคืนแล้วบอกลาเธอ ใช่.......เธอที่อยู่เบอร์สาม ด้วยถ้อยคำอย่างไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว เพราะสมองมึนไปหมด ประโยคที่ว่า ผมผิด ผมไม่ผิด ก้องกังวานอยู่ในสมอง
ผมพยายามที่จะหาเหตุผลมาหักล้างกัน อยู่ตลอดเวลาที่เดินมารอรถเมล์ที่ป้าย
ในที่สุดก็เกิดความกระจ่างแจ้งในกมล
ผมรู้จักกับเธอที่สาขาใกล้บ้านผม เมื่อสิบปีก่อน และติดต่อมาตลอดทุกเดือน นับเป็นเวลามากกว่าร้อย สองร้อยครั้ง ผู้คนในสาขาแห่งนั้นเห็นหน้าผมทุกครั้ง จึงไม่แปลกใจในความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของผม ที่แสดงถึงวัยที่เพิ่มขึ้น เวลาสิบปีเป็นเวลาที่นานมาก สังขารของคนย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ผมไม่ทราบว่าเธออายุเท่าไร แต่ผมก็ไม่เคยเห็นเธอเปลี่ยนแปลงเลย ซึ่งผมเชื่อว่าเธอก็คงไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของผมเช่นเดียวกัน แต่เจ้าหน้าที่ในสาขาใหม่ เธอเพิ่งจะเคยเห็นหน้าผม เธอจึงยิ้มและพูดว่า
ตามมาถึงนี่เชียวหรือคะ
เธอคงจะเวทนาผมที่พยายามลากสังขารมาจากสาขาเดิม ทั้ง ๆ ที่สาขาใกล้บ้านนั้นก็ยังไม่ได้เลิกล้มไปไหน เธอไม่ได้เข้าใจซึ้งถึงเหตุผลในจิตใจของผมหรอก เธอดูจากสภาพภายนอกของผมเท่านั้น เธอน่าจะพูดว่า
ตามมาถึงนี่เชียวหรือคะ คุณตา...........
น้ำเสียงอันนุ่มทุ้มของ สมยศ ทัศนพันธ์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว กังวานแว่วอยู่ในสมองของผม
...........น้ำใจแห่งมิตรอันควรอารี ก็คือคนที่เขามีเมตตา..........
มิตรภาพอันบริสุทธิ์ระหว่างผมกับเธอ จะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ ในเมื่อ.............
อีกไม่ถึงสามสิบปี อายุของผมก็จะครบร้อยแล้ว.
######
โดย: เจียวต้าย วันที่: 12 ตุลาคม 2554 เวลา:9:53:35 น.
Create Date : 12 ตุลาคม 2554 |
|
8 comments |
Last Update : 12 ตุลาคม 2554 10:09:39 น. |
Counter : 596 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: นาถ (sirivinit ) 12 ตุลาคม 2554 10:30:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่นาถ (sirivinit ) 12 ตุลาคม 2554 10:32:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: nart (sirivinit ) 12 ตุลาคม 2554 12:54:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: nart (sirivinit ) 12 ตุลาคม 2554 12:59:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: nart (sirivinit ) 13 ตุลาคม 2554 7:32:54 น. |
|
|
|
|
|
|
/
2558
2556
2555
น้ำใจจากคุณ krittut 2554
2553
สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ
ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ
เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ
๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์
ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ
เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552
08.27 - 250811
207 flags collected 300316
|
|
|
|
|
|
|
|
มันเป็นธรรมดาของคนคุ้นเคยกันในด้านการให้บริการ
เราชอบที่จะไปใช้บริการในช่องที่ จนท.ยิ้มแย้มแจ่มใส
หรือมีลักษณะท่าทาง ว่าอารมณ์ดี
นาถส่งของไปเมืองไกลบ่อยๆ สมัยที่ยังไม่มีบัตรคิวให้กด
หรือหยิบเป็นแผ่นๆ จากกระจาด
ก็ชอบที่จะไป เข้าคิวคนที่เราชอบ
และใจดีให้นำแสตมป์สวยๆ ไปติดรวมกับที่ต้องซื้อเพิ่ม
ก็ลังหนึ่งสิบกิโลมันตกสามพันเก้าร้อยบาทค่ะ
มีลังหนึ่งเกือบยี่สิบกิโล ต้องติดแสตมป์เจ็ดพันสี่ร้อยบาท
ได้มีโอกาสติดดวงละ ๕๐๐ พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง
ทั้ง ปณ.มีดวงละ ๕๐๐ เพียงสี่ดวง
แถมเป็นสี่ดวงยาวเป็นพืด ไม่เป็นบล็อกสี่เสียอีกค่ะ
เลยติดแสตมป์แบบอื่นผสมพราวไปทั้งกล่องเลยค่ะ
พนักงานปากพล่อยคนนั้น เดาว่า เป็นสาวแก่ขี้อิจฉาค่ะ
แหม เป็นนาถไม่ได้ มันต้องมีรายการ "ตอกหน้า" เกิดขึ้นแน่ๆ
อาจจะเป็นคำพูดที่ว่า "ใช่ค่ะ ตามมาเพราะติดใจในน้ำใจให้บริการ
แต่อาจจะไม่มาอีก เพราะเกรงจะได้เข้าช่องคุณอีก" ฯลฯ
ว่าแต่ว่า ... อยากกินหมูแผ่นน่ะซีคะ
ทำไงดี ...