~~ ชีวิตจบแล้ว..แต่เวลายังมีอยู่! อย่ายอมแพ้! ~~
Group Blog
 
 
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
30 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
✲✲VINCENT : Starrynight



ศิลปะแบบโพสต์-อิมเพรสชันนิสม์จะไม่เลียนแบบจากสิ่งที่เป็นจริง
โดยการสร้างรูปทรงใหม่ แต่นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้
เช่น การระบายสีด้วยเทคนิคขีด ๆ จุด ๆ เน้นสี แสง เงาให้เกิดมิติ
บรรยากาศ ความงามและความประทับใจ ศิลปินในกลุ่มนี้ ได้แก่
แวนโกะห์ (Van Gogh) มาติส (Matisse) บงนาร์ด (Bonnard)
เซซาน (Cezanne) โกแกง (Gauguin) เซอราต์ (Seurat)




~*~ Vincent Van Gogh ~*~

เกิดที่ประเทศฮอลแลนด์ ชีวิตเขาสั้นและเศร้าสลด
ภาพเขียนของเขา สีสันสดใส และมีฝีแปรงที่รุนแรง
เขาชอบวาดเส้นเสมอมา ชอบอยู่ตามลำพัง

งานเริ่มแรกเขา คืองานขายภาพเขียน ร้านกูพิลสาขากรุงลอนดอน
เขาเคยหลงรักลูกสาวเจ้าของบ้านเช่า ชื่ออูร์ซุลา โลเยอร์
แต่เธอมีคู่หมั้นแล้ว และหัวเราะเยาะเมื่อเขาเสนอตัวขอแต่งงาน
เป็นสาเหตุให้แวนโกะ มีอารมณ์ปั่นป่วน กลายเป็นเด็กหนุ่มเจ้าอารมณ์
และยากจะพอใจสิ่งใด จนทำให้งานที่เขาทำอยู่เสียหาย

ต่อมาเขาก็เป็นพระสอนศาสนา แต่ก็ทำได้ไม่นาน
เพราะเขาเสียงไม่ดี ทั้งท่าทางดูไม่สะอาด เรียบร้อย
ทำให้ทางคริสตจักรสภา ถอดเขาออกจาหน้าที่

พออายุได้27 ปี เขาตัดสินใจจะรับใช้มนุษยชาติโดยทางศิลปะ
เขาชื่นชอบจิตรกรชื่อมิเย ผู้ซึ่งเขียนภาพชีวิตชาวไร่-ชาวนา
เขาจึงเริ่มเขียนบ้าง เป็นภาพสีน้ำมัน โดยใช้ สีหนัก มืดคล้ำ
ภาพ.Potato Eaters





จนกระทั่ง เขาได้เห็นภาพของ รูเบนส์ ผู้ซึ่งใช้สีเปล่งปลั่ง นุ่มนวล
ในที่สุดเขาก็เลิกเขียนภาพสีมืดๆ ตามแบบเดิมโดยสิ้นเชิง

เขาได้อาศัยกับน้องชาย เธโอ ซึ่งเป็นพ่อค้า งานศิปะในกรุงปารีส
และอุปถัมป์จิตรกรแนวอิมเพลสชั่นนิสต์หลายคน
ซึ่งเขียนภาพความประทับใจ จากแสงสว่าง การเปลี่ยนแปลง
ตามกาลเวลาไม่หยุดยั้ง และแสงสว่างเหล่านี้เอง ได้อาบไล้เรื่องราว
ที่พวกเขาเขียน ภาพเขาจึงมีสีสว่างขึ้นและระบายสีเป็นขีดๆ อย่างว่องไว

ต่อมา เขาเริ่มเบื่อหน่ายแสงนุ่มนวล แต่โหยหาสีที่สดใสกว่า
จึงออกเดินทางไปทางภาคใต้ของฝรั่งเศส และที่นั่นเอง
เขาได้รู้จักโกแกงและพึงพอใจงานจิตรกรคนนี้ จากนั้นก็ได้รู้จัก เซซาน
ซึ่งเคยวิจารณ์เขาว่า เขียนภาพเหมือนคนบ้า

เขายึดห้องบางห้องในบ้านสีเหลืองเอาไว้เป็นที่ทำงาน







สีโปรดของเขาคือสีเหลือง เขาเขียน ภาพดอกทานตะวัน ไว้หลายภาพ
ซึ่งต่อมาได้ กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก
และมีมูลค่าที่ไม่สามารถประเมินได้










เขาวิกลจริตเป็นพักๆ ถึงกับเฉือนใบหูของตัวเอง จึงถูกจับส่งโรงพยาบาล
ผลจากความเจ็บป่วยทำให้ภาพเขียนเขา ลดความสนใจลง
ครั้งหนึ่งเป็นโรคจิต ได้กลืนสีน้ำมันลงไป เริ่มเขียนเป็นรูปบิดไปบิดมา
และเป็นภาพยามพายุจัด พร้อมต้นไม้ที่ให้ความรู้สึกทนทุกข์ทรมาน
จากความเจ็บปวด และมีท้องฟ้าให้ความรู้สึกเป็นลางร้าย







ฝีแปรงเขาเริ่มสับสนอลม่าน ภาพเขาจะดูรู้สึกเศร้าและว่างเปล่า
พลังอำนาจทางศิปะเริ่มลดน้อยลง เริ่มมีอารมณ์เสียและดีสลับไปสลับมา
จนในที่สุดยิงตัวเองตาย ขณะนั้นเขามีอายุได้ 37 ปี

แม้ว่าชีวิตเขาจะเต็มไปด้วยความทรมาน แต่เขาก็เหลือผลงานไว้เบื้องหลัง เป็นภาพที่เปี่ยมความปิติยินดีมากที่สุด อย่างที่ไม่เคยมีใครเขียนกันมาก่อน

@~~ภาพ "คืนที่มีดาว" ( Starrynight ) เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก









ภาพสุดท้านของเขา ก่อนฆ่าตัวตาย ถ่ายทอดอารมณ์และ
ความรู้สึก ผ่านจดหมาย ที่ถึงน้องชาย...ได้อย่างชัดเจน



“.....พี่พยายามหักใจและเริ่มลงมือเขียนรูป แต่ไอ้เจ้าภู่กันเจ้ากรรม
มันกลับเลื่อนหลุดไปจากนิ้วมือ มันคงรู้จิตใจพี่ดีว่า
ขณะนี้กำลังต้องการที่จะทำอะไร ถึงกระนั้นพี่ก็พยายามเขียนรูป
ขนาดใหญ่เสร็จไปสามภาพด้วยกัน รูปหนึ่ง เป็นภาพท้องทุ่งข้าวโพด
อันเวิ้งว้าง ภายใต้ท้องฟ้าที่ปั่นป่วนหนักอึ้ง ซึ่งพี่ไม่อยากจะบรรยาย
ย้ำความรู้สึกที่แสนเศร้า,และอารมณ์เปล่าเปลี่ยว
ที่ ครอบงำจิตใจอยู่ในขณะนี้ พี่หวังว่าน้องคงจะเห็นมันในไม่ช้านี้
ถ้าไม่มีอุปสรรคใดๆ พี่จะขนเอาเข้าไปให้ดูที่ปารีสด้วยตนเอง

ภาพนี้มันคงจะบอกเล่าความในใจของพี่ให้น้องฟังเอง
ส่วนพี่นั้นไม่อาจจะบรรยายเป็นคำพูดใดๆ ออกมาได้…”


~Wheatfield with Crows~






Don McLean

~Vincent~
(Starry Starry Night)


Starry, starry night
ค่ำคืนดวงดาวพร่างพราว
Paint your palette blue and grey
แต้มแต่งจานสีเป็นสีฟ้าและเทา
Look out on a summer’s day
มองออกไปข้างนอกในวันหนึ่งของฤดูร้อน
With eyes that know the darkness in my soul
ด้วยดวงตาที่รู้ว่ามีความมืดมนในใจ
Shadows on the hills
เงามืดทาบทาบนเนินเขา
Sketch the trees and daffodils ร่าง (วาด)
ภาพต้นไม้หลากหลายและดอกแดฟโฟเดิล
Catch the breeze and the winter chills
สัมผัสสายลมที่แสนเย็นสบายและไอหนาวยามเหมันต์
In colours on the snowy linen land
แต้มสีสันบนพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

Now I understand
ถึงตอนนี้ ผมเข้าใจแล้ว
What you tried to say to me
ว่าคุณจะบอกอะไรในตัวผม
And how you suffered for your sanity
คุณต้องทนทุกข์เพียงไรเพื่อคงไว้ซึ่งสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์
And how you tried to set them free
คุณต้องพยายามเพียงไรเพื่อปลดเปลื้องพวกเขาให้เป็นอิสระ
They would not listen
พวกเขาเหล่านั้นปฏิเสธที่จะรับฟัง
They did not know how
และไม่รู้ว่าจะฟังอย่างไรเพื่ออะไร
Perhaps they’ll listen now
บางทีพวกเขาอาจรับฟังแล้วในตอนนี้

Starry, starry night
ค่ำคืนดวงดาวพร่างพราว
Flaming flowers that brightly blaze
มวลดอกไม้อวดสีสันสดใส
Swirling clouds and violet haze
หมู่เมฆม้วนตัวในม่านหมอกสีม่วง
Reflect in vincent’s eyes of china blue
สะท้อนออกมาในดวงตาของวินเซ็น ของเครื่องลายครามสีฟ้า
Colours changing hue morning fields of amber grain
สีสันเปลี่ยนความเข้มข้นไปเป็นทุ่งรวงทองในยามเช้า
Weathered faces lined in pain
ใบหน้าที่กร้านแดดและลม เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเจ็บปวด
Are soothed beneath the artists’ loving hand
ได้บรรเทาลงภายใต้ความใส่ใจของศิลปิน

Now I understand
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They did not know how
Perhaps they’ll listen now

For they could not love you
พวกเขามิอาจรักคุณน๊ะ(แวนโก๊ะ)
But still your love was true
แต่ความรักของคุณก็เป็นความรักที่แท้จริง
And when no hope was left in sight
และเมื่อไม่มีความหวังหลงเหลือให้เห็น
On that starry, starry night
ในค่ำคืนที่ดาราพร่างพราย
You took your life as lovers often do
คุณก็ปลิดชีพตนเองเหมือนคู่รักทำกัน
But I could have told you vincent
แต่ผมก็ได้บอกคุณแล้วน๊ะ วินเซนต์
This world was never meant for one as beautiful as you
โลกใบนี้ไม่ได้สร้างมาสำหรับคนงามเช่นคุณ

Starry,starry night,portraits hung in empty halls
ค่ำคืนดาราพร่างพราย ภาพวาดมากมายแขวนอยู่บนห้องโถงที่ว่างเปล่า
Frameless heads on nameless walls
ภาพศีรษะไร้กรอบแขวนบนฝาผนังที่ไม่มีชื่อภาพเขียนติดไว้
With eyes that watch the world and can't forget
ด้วยสายตาที่เฝ้ามองโลกและไม่อาจลืมเลือนได้
Like the strangers that you’ve met
ราวกับคนแปลกหน้าที่คุณเคยพบ
The ragged men in ragged clothes
ชายที่ร่างกายทรุดโทรมในเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น
The silver thorn of bloody rose
หนามสีเงินของกุหลาบสีเลือด
Lie crushed and broken on the virgin snow
ถูกบดขยี้ และวางทิ้งไว้บนหิมะขาวบริสุทธิ์

Now I think I know
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They’re not listening still
Perhaps they never will...

~~~~**~~~**~~~~**~~~~






เพลงนี้ได้บรรยายภาพวาดของแวนโก๊ะว่า ทำให้โลกใบนี้ งดงาม
มีสีสัน สดใส ได้จำลองความงามของธรรมชาติไว้บนภาพวาด
และได้ชี้ให้เห็นถึงชีวิตของแวนโก๊ะ ภายในใจเขาต้องต่อสู้
กับความรู้สึกที่หดหู่ เพราะคนทั่วไปรวมทั้งคนในครอบครัว
มองว่าเขาเป็นคนแปลก ไม่ยอมรับในตัวเขา

รูปที่เขาวาดก็ไม่มีใครในยุคนั้นยอมรับ ไม่เพียงเท่านี้
เพื่อนสนิทที่สุดก็ได้เดินจากไป ไม่มีที่ให้ยึดเหนี่ยว
เขาจึงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง คงเหลือไว้แต่
อนุสรณ์ภาพวาดให้คนรุ่นหลังรำลึกถึง ตราบจนทุกวันนี้

~~~~~*~~~~~*~~~~~*~~~~~*~~~~~







Create Date : 30 กันยายน 2554
Last Update : 14 ธันวาคม 2554 1:57:42 น. 2 comments
Counter : 6598 Pageviews.

 
เข้ามาเยี่ยมชมครับ


โดย: BoonsermLover วันที่: 16 ตุลาคม 2554 เวลา:6:05:58 น.  

 
คุณ Boonsermlover ครับ เมื่อกี้นี้
จะเข้าไป เยี่ยมชม Blog ท่าน..
แต่ปรากฎว่า "งดใช้ชั่วคราว"

ไม่รู้ว่าเพราะ น้ำท่วมหรือป่าว ? ถ้าใช่ก็ขอให้
ปลอดภัย คลาดแคล้ว นะครับ..เป็นห่วงครับ


โดย: ทวนกระแส วันที่: 17 ตุลาคม 2554 เวลา:21:57:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทวนกระแส
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





Friends' blogs
[Add ทวนกระแส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.