ขับรถล่องใต้ Day#1 : ล่องเรือกุ้ยหลินเมืองไทย
ทริปยาวววที่สุดตั้งแต่พ้นช่วงชีวิตเด็กมหาลัยมาเลยทีเดียว สำหรับทริปขับรถลงใต้ 9 วันทริปนี้ส่วนกี่ปีมาแล้วนั้นโปรดอย่าถามเพราะมะต่ำกว่า 10 แน่นอน 5555 จริงๆแล้วทริปนี้เกิดจากวงเพื่อนๆ ที่คุยกันเล่นๆว่าอยากขับรถไปเที่ยวกระบี่ แบบพาลูกๆเที่ยวกันไปเรื่อยๆ แวะเที่ยวแวะกินแวะตีกอล์ฟตามจังหวัดรายทางกันไป ป่าป๊าลาแล้ว แม่ว่างยาววววว ส่วนผู้ร่วมทริปเดิมไม่ว่างแถมท้องอ่อนๆด้วย คงตรากตรำกับทริปนี้ไม่ได้ตามแพลน ถึงเพื่อนไม่ว่างแต่ความอยากไปยังคงเดิม..เลยเอาเป็นว่าพาครอบครัวไปละกัน คุณย่าเลยมาเป็นผู้ร่วมทริปของเราด้วย โดยมีคุณปู่บิน & ขับรถมาแจมบ้างเป็นบางช่วง ส่วนคุณลูกสาวตื่นเต้นมากกับการขับรถลงใต้ทริปนี้ เที่ยวคุยโวให้คุณยายคุณตาฟังว่า “นั่งเครื่องบินอ่ะรอน๊านนน..ขับรถนะแป๊บเดียว หลับตื่นมาก็ถึงแล้ว” 55 ไม่รู้เด็ก 4 ขวบเอาความคิดนี้มาจากไหน ทำเอาคุณยายงงว่านั่งเครื่องมันรอนานตรงไหนกัน ส่วนจะแว๊บไม่แว๊บ เบื่อหรือไม่เบื่อ จะเข็ดกับทริปนั่งรถไกลไปกับป่าป๊ากับแม่หรือไม่เดี๋ยวจะได้รู้กัน !! เช้าตรู่วันเสาร์ที่ 8 ตุลา... วันนี้เด็กน้อยตื่นตี 4 เองโดยไม่ต้องปลุก ตาสว่างแปรงฟันล้างหน้า ลงมานั่งพร้อมบน car seat ทั้งชุดนอน ตอนแรกจะไม่ยอมหลับต่อด้วยซ้ำ ตี 4 ครึ่ง ได้ฤกษ์ออกจาก กทม. ขับไปเรื่อยๆ ถนนโล่งๆ ไปเช้าที่ตัวเมืองประจวบฯ พอดี เช้านี้เลยว่าจะหาอะไรเติมพลังกันก่อน แต่ด้วยไม่รู้จะหิวที่ไหนเลยไม่ได้เตรียม เลย search จากอากู๋ผู้รอบรู้เอาตรงนั้นเลยว่ามีต้มเลือดหมูตัวเมืองประจวบฯที่ไหนน่าหม่ำบ้าง มาลงตัวที่ “ต้มเลือดหมูยอดตำลึง” อยู่บนถนนสละชีพ ร้านอยู่เลยสี่แยกตลาดสดไปทางซ้าย 200 เมตร อยู่ขวามือเป็นเพิงไม้เก่าๆ มีทางเดินไปทะเลด้วย พี่แมนถามว่าถนนอะไรนะ?? ไม่กล้าไปกินเลย 55
ที่นี่นอกจากมีต้มเลือดหมูแล้ว ยังมีข้าวเหนียวหมู โจ๊ก กะข้าวหลามอร่อยๆขายใกล้ๆด้วยค่ะ โทรฟี่กับคุณย่าก็ได้ใส่บาตรพระกันแต่เช้า เอาฤกษ์เอาชัยขอให้เดินทางกันโดยสวัสดิภาพ
ซักพักก็ได้กลิ่นหอมๆ เสิร์ฟถึงโต๊ะ ต้มเลือดหมู (ไม่ใส่เลือด) ของแม่อร่อยดีเลยทีเดียว ราคาก็ไม่แพง ธรรมดา 25 พิเศษ 30 รีบจ้วงๆ ไม่มีเวลาถ่ายภาพกันเท่าไหร่เพราะต้องเดินทางกันต่อ
Next Station.. วัดพระบรมธาตุไชยาฯ จังวัดสุราษฎร์ธานี
ไหว้พระธาตุกันเสร็จจะไปหาของทะเลอร่อยๆทานกันด้วย ถนนโล่ง ท้องฟ้าสีฟ้าวันนี้ จะทำให้ขับรถกันง่ายขึ้น ส่วนคุณลูกก็ไม่งอแงเลยนั่งชิวมาก ประมาณ 11 โมง เราก็มาถึงวัดพระธาตุไชยาราชวรวิหารกันแล้ว..... "วัดพระธาตุไชยาราชวรวิหาร"...เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรวิหาร เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสุราษฏร์ธานีและเป็นหนึ่งในสามของโบราณสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของภาคใต้ ที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เจดีย์ของวัดพระบรมธาตุไชยาฯ มีความสูงจากฐาน(ใต้ดิน)ถึงยอด 24 เมตร พระพุทธรูปทำด้วยศิลาปางสมาธิประทับอยู่บนฐานบัว เราสะดุดตาตรงลายปูนปั้นประดับซุ้มประตูองค์พระบรมธาตุฯ ดูสวยงามละเอียดลออ
มีพระพุทธรูปอยู่ที่ระเบียงวิหารคด รายล้อมตัวพระบรมธาตุฯ
โทรฟี่เปลี่ยนชุด ขอแว่นกันแดด ขอติดกิ๊ปที่ผมด้านหน้า เอ่อ เต็มยศไปป่าวลูกจนแม่ต้องเอาแว่น(ที่พ่อซื้อ)ไปแอบ
ส่วนด้านหน้ามีพระพุทธรูปศิลาแลงสมัยศรีวิชัยประดิษฐานอยู่เป็นพระพุทธรูป 3 พี่น้อง ด้านข้างมี "พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติไชยา" ตั้งอยู่ด้วย แต่เราไม่ได้เข้าไปดู
เมื่อเราชื่นชมกับความงามของพระบรมธาตุไชยาฯกันแล้วเรียบร้อยท้องก็เริ่มถามหาอาหาร กลิ่นทะเลก็โชยยยมา(ทะเลตั้งไกลนะ 55) ร้านที่เพื่อนที่ทำงานแนะนำมาคือร้านแถวๆ อ.พุมเรียง เลยตกลงปลงใจเอาเป็น "ร้านราตรีซีฟู้่ด" ละกัน.. ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆร้านพลับพลาเค้าว่าอร่อยพอกัน
แต่ที่เลือกราตรีเพราะอยากกิน “ปูไข่เผา” เห็นเค้ารีวิวกันไว้ในเว็บอ่ะ..แฮร่!! ไปถึงร้าน..รีบสั่งเลยเอาปูไข่เผาคร่า...ทางร้านเดินไปเช็คบอกว่าปูไข่ยังไม่ได้ที่ไข่ยังไม่เต็ม เลยหน้าเหี่ยวกันไปตามๆกัน แต่อย่างอื่นก็น่าหม่ำราคาไม่แพง ก็เลยให้คุณซะมีจัดการสั่งเลย ทั้งกั้ง กุ้ง ปลาสำลี น่ากินไปหมดดดด เราพาลูกไปเดินเล่นรอบๆ ลักษณะที่นี่จะเป็นร้านสร้างอยู่บนป่าชายเลนยื่นไปในทะเล มองเห็นวิวทะเลแบบ Panorama มีเรือวิ่งไปมาให้ดูกันเพลินๆ มีศาลาสร้างยื่นไปในทะเลระหว่างร้านราตรีกับพับพลา
คุณลูกสาวยึดหน้าที่แจกจาน ช้อนส้อม ถ้วยแบ่ง คีบน้ำแข็งใส่แก้ว เทน้ำให้เสร็จสรรพ โตอีกหน่อยแม่จะไม่ต้องจ้างแม่บ้านแระ
ส่วนอาหารที่สั่งมาก็หน้าตาประมาณนี้.......!!! ย่อมาลงไม่หมดเพราะมันทรมานใจเพราะน่ากินสุดๆ ขอบอกว่า อร่อยยย อาหารทะเลสดมากกก กั้งๆเนื้อเยอะไม่แห้ง กุ้งตัวโต ปลาสำลีก็เนื้อแน่นสุดๆ แต่ต้มยำกุ้งเราว่ารสชาติกลางๆไม่ได้เด่น เพราะอย่างอื่นเด่นกว่า ..คุณย่าบอกว่าขากลับขอแวะกินอีกรอบ
จะสั่งหอยนางรมสดมาทานเพิ่มก็ไม่ไหวแล้ว อิ่มมาก มาไม่กี่คนสั่งกันซะเต็มโต๊ะเลย ส่วนราคารวมออกมาก็ไม่แพงเลยค่ะ พันนิดๆ คุ้มค่ามากมายจนคุณย่าขอขากลับอีกซักรอบ ฮุๆ เราก็หมายตา ปูไข่ ปูไข่ โฮะๆๆ บ้าไปแว้ว... คืนนี้เราจองที่พักไว้ที่ “ภูผาและลำธาร” ส่วนที่เที่ยวตอนแรกก็ว่าจะไปเขื่อนเชี่ยวหลานนั่นแหละแต่ก็ล้มเลิกไปแล้ว แต่ก็ 2 จิต 2 ใจอยากไปก็อยาก แต่ที่ไม่อยากก็เพราะต้องนั่งเรือ ลูกก็แค่ 4...ขวบ บอกตามตรงว่ากลัวเรือล่มมากๆเพราะดูเรือลำเล็กๆ แต่คุณย่าเชียร์สุดๆ เพราะคุณย่าเคยไปท่านบอกว่าสวยยยยยย ไม่อันตรายหรอกน้ำมันเรียบไม่เหมือนทะเล พี่แมนก็บอกว่ามาทั้งทีไม่ไปได้ไง...ก็โอวเชเป็นอันว่าตกลง แต่เอิ่มมพักเดียวฝนตกหนักมากๆ มองท้องฟ้ามีส่วนเมฆทะมึน กับเมฆสีฟ้าใสปิ๊ง ก็เสี่ยงดวงกันว่าเขื่อนอยู่โซนไหน
พอถึงเขื่อนปรากฏว่าฟ้าใส ฝนนิดหน่อยเข้าห้องน้ำห้องท่ากันเสร็จก็หยุดตกพอดีเป็นอันว่าได้ออกเรือค่ะ ป่าป๊าแวร๊บไปดูสนามกอล์ฟ กะมาออกรอบจะได้ไม่เสียแรงแบกถุงกอล์ฟมาด้วย ปรากฏว่าปิดแข่ง น่าเสียดายแทนป่าป๊าฟี่มากกก เพราะเราคงไม่ได้มาที่นี่กันบ่อยๆ ปล่อยให้ตาละห้อยไป "เขื่อนรัชชประภา" มีชื่อเรียกดั้งเดิมว่า เขื่อนเชี่ยวหลาน โดยชื่อเขื่อนรัชชประภาได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนามใหม่จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความหมายว่า “แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร” เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 และเสร็จในเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2530 สร้างปิดกั้นลำน้ำคลองแสง ที่บ้านเชี่ยวหลานโดยพื้นทีส่นใหญ่ติดอุทยานแห่งชาติเขาสก
ค่าบริการเหมาเรือ 1,400 บาท ไปดูกุ้ยหลิน-แพซักที่นึงจำไม่ได้แล้ว ไม่รวมอาหารนะคะ เสียค่าเข้าอุทยาน 40 บาทสำหรับคุณย่าและคุณลูกฟรีค่ะเด็กกับผู้สูงอายุเกิน 60 ปีไม่เสียเงิน พอเข้าไปใกล้ๆเรือจริงๆ โอ้วววลำไม่ได้เล็กนะก็วางใจนี๊สสสนุง คนขับเรืออัธยาศัยดีทีเดียวค่ะ จัดการเป่าปอกแขนว่ายน้ำให้ลูกใส่เอาไว้เพราะเค้าใส่ชูชีพแล้วหน้าทิ่มลงน้ำตลอดท่าทางโทรฟี่ดี๊ด๊ามากเพราะไม่เคยมาเขื่อน ไม่เคยนั่งเรือลำขนาดนี้ เพราะที่เคยนั่งคือเรือที่พายเข้าออกจากบ้านคุณตาคุณยายที่อยุธยา เพราะน้ำท่วมในขณะที่เท่านั้นแหละ น้ำก็ใสปิ๊ง โทรฟี่มีคำถามกับต้นไม้ที่อยู่ใต้น้ำมาก หน้าตาครุ่นคิดตลอด เพราะมันเป็นต้นไม้ มะช่ายยยสาหร่าย แบบว่าคงผิด logic เด็กไปนิด 555 เรือค่อยๆเคลื่อนเข้าไปในเขื่อน แล้วก็แบบที่คุณย่าบอกไว้จริงๆ สวยมากลูกก็ชอบนั่งเรือมากๆด้วย ยังคิดอยู่ว่าฝนอย่าตกตอนนี้น้า ฟ้าใสๆอย่างนี้หละดีแล้ว ถึงแดดจะแรงแต่เย็นสบายมากๆ ทัศนียภาพล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินปูนสวยงาม ตัดกับฟ้าสีฟ้า น้ำในเขื่อนสีเขียวมรกต พื้นที่อ่างเก็บน้ำมีทัศนียภาพอันงดงาม ประกอบด้วยยอดเขาหินปูนที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมามากมาย จนได้รับฉายาว่า "กุ้ยหลินเมืองไทย" สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทยจริงๆ
แต่กุ้ยหลินเมืองจีนอันนี้เป็นไงไม่รู้นะไม่เคยไป 55 ต้นไม้เขียวครึ้มอยู่บนยอดเขาหินปูน และลายหิน ลักษณะหินย้อยลงมาดูสวยงามมากๆสภาพอากาศในเขื่อนตอนขับเรือเข้าไปคือฟ้าใส มองไกลๆไปที่ยอดเขาเบื้องหน้ากลับมีหมอกให้ได้เห็นกันแบบนี้ คนขับเรือบอกว่า ถ้าเที่ยวจริงๆ ทริปนี้ก็ราวๆ 2 ชั่วโมงค่ะ ไปที่กุ้ยหลินกันก่อน แล้วไปที่แพ พอขับมาถึง หิน 3 ก้อน Landmark "กุ้ยหลินเมืองไทย" ของที่นี่ คนเรือก็จอดให้ถ่ายรูปกัน พอคนเรือบอกสามารถลงเล่นน้ำได้สบายใจ ทั้งตรงที่เป็นกุ้ยหลิน หรือว่าที่แพ โทรฟี่ได้ยินดังนั้น หันมาบอกแม่ โดดเลยได้มั๊ยอยากเล่นน้ำ มีปอกแขนไม่กลัวจม T^T เอ่อออ ลูกขา รู้มั๊ยว่าสิ่งที่แม่กลัวที่สุดคือน้ำในเขื่อนนี่แล คือแบบว่าเคยมี ปสก. ส่วนตัว ตอนเด็กๆ เคยไปติดแพท่ามกลางฝนตกตอนกลางคืนในเขื่อนเขาแหลมอ่ะ เป็นแพที่ไม่ใช่แพรีสอร์ตอยู่กลางเขื่อนเลยเดี่ยวๆ 2 แพ ฝน น้ำพัดมาทีซัดเข้ามาในพื้นแพด้วย เค้าต้องเอาเรือลำใหญ่เข้ามาตามกลับไปที่ฝั่งท่ามกลางความมืด หลอนสุดๆ เลยหวาดๆกับน้ำในเขื่อน เราใช้เวลาซักพักบริเวณนี้ก่อนไปที่แพ แต่พอขับเรืออกมาแล้วเห็นเมฆครึ้มๆกำลังลอยมาพอดี ก็เลยตัดสินใจหันหัวเรือกลับกันดีกว่า ห่วงว่าถ้าต้องอยู่กลางฝนในเขื่อนโทรฟี่จะไม่สบาย เพราะตอนเพื่อนมาคราวที่แล้วฝนตกด้วยที่ล่องเรือประทะฝนด้วยเพื่อนบอกหน้าชากลับมาเลย..น่าจัว ขึ้นมาแล้วโทรฟี่เห็นรูปของที่ระลึกเป็นรูปตัวเองกับป่าป๊า รีบคว้าเอาไว้เลย บอกแม่ว่าจะเอาไปตั้งไว้ที่หน้าทีวี..หืมมม ความปรารถนาแรงกล้า เลยได้มาราคา 100 บาท เสร็จจากภารกิจเขื่อน เราก็ขับมุ่งหน้าไปที่ "ภูผาและลำธาร" กันค่ะ เอาไว้มาต่อ Blog หน้านะคะ สัญญาว่าทริปลงใต้ 9 วันครั้งนี้ จะไม่ให้เป็นมหากาพย์ (เท่าที่จะสามารถทำได้นะ 55) Free TextEditor
Create Date : 18 ตุลาคม 2554 |
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2554 16:57:23 น. |
|
6 comments
|
Counter : 2597 Pageviews. |
|
|