Group Blog
 
<<
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
3 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
ตาม "ล้นเกล้าฯ" ข้ามอ่าวไทย ... เรือใบทางไกลสู่อ่าวเตยงาม






:: เกริ่น ::

เมื่อคืน (พฤ 2 เม.ย.) ใครได้ดูเจาะใจบ้าง หลังจากเอาดารามา Reality ในแบบต่างๆแล้ว คราวนี้มาถึงคิว พิธีกรในตำนานของเจาะใจบ้าง สัญญา คุณากร ในภารกิจแล่นเรือใบข้ามอ่าวไทย

จากใจจริงคือ ไม่ได้ดูรายการนี้มานานแล้ว เพราะต้องนอนเร็ว ไม่เกินสี่ทุ่มครึ่งก็นอนแล้ว แต่ด้วยความบังเอิญเปิดไปเจอ เลยต้องติดตามจนจบ ...จากคนที่เล่นเรือใบไม่เป็น และฝึกเล่นเรือใบแค่ 3 วัน (21-23 มี.ค. 52) แล้วจะแล่นเรือใบข้ามอ่าวไทย ในวันที่ 24 มี.ค. 52 เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ ...ชอบที่ครูฝึกบอกไว้แต่แรกแล้วว่า "เล่นให้ 'เป็น' ไม่ยาก แต่จะเล่นให้ 'เก่ง' ต้องใช้เวลา"

ใครจะคิดยังไงเราไม่รู้ แต่จากที่ดูเมื่อคืนนี้ บอกได้ว่า..ตั้งแต่ดู Reality มาหลายปี เพิ่งได้เห็นของจริงก็คราวนี้แหละ ...ที่ว่าของจริงคือ ทุกอย่างคุณต้องทำด้วยตัวเอง ไม่มีตัวช่วยใด ๆ เรือล่มคุณก็ต้องกู้เอง พลิกคว่ำพลิกหงายก็เพราะตัวเองทำเอง เป็นภารกิจที่ต้องใช้ 'แรงใจ' สูงมาก.. อย่างที่คุณสัญญา บอกกับกล้องว่า ภารกิจนี้ "ไม่เลิก ไม่ลาก และ ไม่หลอก(คนดู)" ขนาดนั่งดูอยู่ยังอยากจะต่อให้อีก 'ไม่' เลยว่า ...ไม่(น่า)รอด

สุดท้าย คุณสัญญาและเพื่อนร่วมทางอีก 2 ท่านก็สามารถข้ามอ่าวไทยจากสัตหีบไปชะอำ ระยะทาง 98 กม.ได้สำเร็จ ด้วยเวลา 12 ชั่วโมงกว่า ๆ ....ปรบมือแสดงความชื่นชมในความเพียรพยายามอย่างมาก และขอบคุณในภารกิจดี ๆ อย่างนี้ เมื่อคืนเลยได้นอนหลับอย่างเป็นสุข ...ขอบคุณรายการเจาะใจ คุณสัญญา คุณากร และทีมงานทุกท่านค่ะ


+ + + + + + + + + + + +



:: เรือใบทางไกลสู่อ่าวเตยงาม ::

ย้อนหลังไปในอดีตเมื่อ 43 ปีล่วงมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านการต่อเรือและแล่นใบ ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญให้โลกต้องจารึกไว้ เมื่อทรงนำเรือใบประเภทโอเคที่ชื่อ "เวคา" (VEGA) ซึ่งพระองค์ทรงต่อขึ้นเอง แล่นข้ามอ่าวเป็นระยะทาง 60 ไมล์ทะเล (ประมาณ 110 กม.) จากหน้าวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มุ่งสู่อ่าวเตยงาม ซึ่งอยู่ในหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยใช้เวลาในการแล่นใบกว่า 17 ชั่วโมง

เหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่พระมหากษัตริย์ทรงแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพ ในการต่อเรือใบ และใช้พระปรีชาสามารถในการนำเรือใบลำนั้น แล่นข้ามทะเลไปยังจุดหมายปลายทางตามลำพังด้วยพระองค์เอง

เวลา 04.28 น. 19 เมษายน 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรือใบเวคาด้วยพระองค์เองเพียงลำพัง จากพระราชวังไกลกังวลแล่นข้ามอ่าวไทยมาถึง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เวลา 21.28 น. ตลอด 17 ชั่วโมงเต็ม พระองค์ทรงแล่นเรือใบลอยเคว้งคว้างมองไม่เห็นจุดหมายอยู่กลางอ่าวไทย จะพบพานกับอุปสรรคใดบ้าง ?

พล.ร.อ.ยุทธนา เชิดบุญเมือง อดีตผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน คนที่ 8 วัย 83 ปี ผู้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น รู้เพียงว่า...วันนั้น "ลมอ่อน" ทำให้เรือใบแล่นได้ช้าลง เพราะเรือใบต้องอาศัยแรงลมในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย หากครั้งใดเจอปัญหาสภาพลมอ่อน จะต้องควบคุมเรือใบให้เดินทางสู่จุดหมายด้วยวิธีแล่นก้าว ซึ่งเป็นการแล่นเรือใบสลับฟันปลา เพื่อให้ใบเรือปะทะรับแรงลมแล่นไปสู่จุดหมายปลายทางนั่นเอง

"วันนั้นลมไม่เป็นใจถึงได้ช้า แถมสมัยก่อนมือถือยังไม่มี มีทหารเรือติดตามอารักขาแค่ลำเดียว การแล่นเรือข้ามอ่าวนั้นอันตราย แต่เมื่อรู้ว่าในหลวงมาถึงแล้ว ทุกคนปลาบปลื้มกันถ้วนหน้า ผู้บัญชาการทหารเรือสมัยนั้น ถึงกับลุยน้ำทะเลไปรับพระองค์ท่านเลยทีเดียว" พล.ร.อ.ยุทธนา ย้อนความทรงจำสมัยเป็นเสนาธิการทหารยศนาวาเอก

"ทุกคนเฝ้ารอคอยพระองค์ท่านด้วยความเป็นกังวล เป็นห่วงพระองค์ท่าน เพราะมันมืดแล้ว ปกติเรือใบมีความเร็วประมาณ 5 นอตต่อชั่วโมง ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง 4-5 โมงเย็นก็น่าจะถึง แต่พระองค์ท่านมาถึงตอน 3 ทุ่มเศษ" พล.ร.อ.ยุทธนา บอกหลังคำนวณระยะทางอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วในใจ

วินาทีที่พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรือใบมาถึงอ่าวนาวิกโยธิน นำความปลาบปลื้มมาสู่เหล่าข้าราชการกองทัพเรือ พระองค์ทรงฉลองพระองค์ชุดสนามทหารนาวิกโยธินเป็นครั้งแรก และนำธง "ราชนาวิกโยธิน" ซึ่งทรงนำข้ามอ่าวไทยมาด้วย ปักเหนือยอดก้อนหินใหญ่ที่ชายหาด ท่ามกลางเสียงบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ มาร์ชราชนาวิกโยธิน (Royal Marines March) และทรงลงพระปรมาภิไธยบนแผ่นศิลาจารึกบนก้อนหินใหญ่

หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ (พระอิสริยยศขณะนั้น) เมื่อสำราญพระราชอิริยาบถตามพระราชอัธยาศัย จนเวลาเที่ยงคืนจึงเสด็จฯ ไปประทับเรือหลวงจันทร เรือพระที่นั่งข้ามอ่าวไทยกลับพระราชวังไกลกังวล





ปัจจุบัน "พระปรมาภิไธย" เหนือก้อนหินใหญ่กลายเป็น "อนุสรณ์สถาน" เพื่อ รำลึกเหตุการณ์วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปักธงราชนาวิกโยธิน โดยมีการจารึกข้อความพระราชสดุดีและเฉลิมพระเกียรติ ความว่า

"ณ ที่นี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จอมทัพไทย ทรงนำเรือใบขนาด 13 ฟุต ด้วยพระองค์เองพระองค์เดียว จากหัวหินมาถึงสัตหีบ เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2509 เริ่มเวลา 04.28 น.ถึงเวลา 21.28 น. ทั้งนี้ เป็นพระปรีชาสามารถอย่างยอดเยี่ยม เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์กองทัพเรือ ได้ขอพระราชทานพระมหากรุณาให้ทรงลงพระปรมาภิไธยไว้เป็นสิริมงคล และเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่กองทัพเรือสืบไป"

กาลต่อมา... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานหางเสือเรือพระที่นั่ง "เวคา" แก่กองทัพเรือ และกองทัพเรือได้มอบหางเสือเรือพระราชทานให้สมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทย เพื่อเป็น รางวัลนิรันดร ในการจัดการแข่งขันแล่นเรือใบทางไกลชิงรางวัลหางเสือ เรือพระที่นั่ง "เวคา" เป็นประจำทุกปี





แต่ทว่าการแข่งขันเรือใบทางไกลปัจจุบันไม่ข้ามอ่าวไทยแล้ว เพราะมีพระราชกระแสรับสั่งต่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เรื่องความปลอดภัยของนักกีฬา เช่น เรื่องไม่มีลม และสัตว์ร้าย เมื่อต้องลอยเรือใบอยู่กลางทะเล

"เมื่อ 10 ปีก่อน เคยจัดการแข่งขันเรือใบทางไกลข้ามอ่าวไทย ปล่อยเรือใบตั้งแต่เช้า จวบจน 2 ทุ่มแล้ว เรือใบยังลอยอยู่กลางทะเล ต้องเอาเรือออกตามหากัน และการแข่งขันก็ไม่ใช้เรือใบเล็กเหมือนพระองค์ท่าน เพราะเสี่ยงอันตราย" น.อ.สุธีพงศ์ แก้วทับ ประชาสัมพันธ์สมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่าให้ฟัง

การแล่นเรือใบข้ามอ่าวไทยตลอด 17 ชั่วโมง ขณะที่ทรงเรือใบเล็ก ๆ ต่อสู้กับความแปรปรวนของสภาพอากาศและคลื่นลมกลางทะเลนั้น น.อ.สุธีพงศ์ สะท้อนว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ใครจะทำได้อย่างพระองค์ท่าน พระวรกายต้องตากแดด ตากลม หากเจอสภาพลมอ่อนต้องใช้วิธีแล่นก้าว ซึ่งเป็นการแล่นเฉียงกับลม ปรับเรือใบในทิศที่รับลม ต้องใช้พละกำลังในการโหนเรือ และยังต้องใช้ความคิด ประมวลความรู้เรื่องอุทกศาสตร์และทิศทางลม เพื่อให้เรือใบแล่นไปถึงเป้าหมายโดยอาศัยแรงลม เพราะเรือใบไม่ได้ติดเครื่องยนต์ หากเรือล่มพระองค์ต้องทรงกู้เอง ต้องทำทุกอย่างด้วยพระองค์เอง



:: ‘เตยงาม’ อ่าวศักดิ์สิทธิ์แห่งสยาม ::

น้ำทะเลสีมรกต ซัดผืนทรายเม็ดละเอียดบริเวณชายหาดอ่าวนาวิกโยธินแห่งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยศึกษาแล้วเห็นว่า เป็นสถานที่ที่มีภูมิสถาปัตย์ที่ดีมาก เพราะมีภูเขาล้อมรอบ แถมมีเขาสูงอยู่ด้านหลังเหมือนขาสิงห์ยื่นออกมาทั้งซ้ายและขวา ที่เรียกกันว่า "หน้ามีน้ำหลังพิงเขา" และเมื่อมองจากที่สูงจะพบว่า บริเวณกลางอ่าวมีการไหลวนของน้ำ พัดจากแหลมปู่เจ้าวนเข้าสู่กลางอ่าว เข้าลักษณะที่เรียกว่า "สะดือมังกร" ถือเป็นพื้นที่ที่มีพลังธรรมชาติสูง หากใครมีโอกาสชุบตัวในทะเลบริเวณนี้ จะสามารถเพิ่มพลังธรรมชาติ ปกป้องรักษาตัวเองให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง มีสุขภาพพลานามัยดี และมีบารมีกล้าแกร่ง

ร.ท.อนนท์ ตุลารักษ์ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์และมัคคุเทศก์ กิจการศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาทรัพยากรบุคคลและการกีฬา หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เล่าขานตามความเชื่อเรื่องสะดือมังกรว่า คนจีนสมัยก่อนแล่นเรือสำเภามาค้าขายในเมืองไทย มักจะมาแช่น้ำบริเวณนี้ เพราะจะช่วยเพิ่มพลัง เสริมบารมีให้แก่กล้า และเพิ่มพลังธรรมชาติ แม้จะผ่านมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ความเชื่อดังกล่าวยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้


+ + + + + + + + + + + +


ขอบคุณข้อมูลจาก
//www.navy98.com
//www.eduzones.com



Create Date : 03 เมษายน 2552
Last Update : 6 เมษายน 2552 8:16:46 น. 1 comments
Counter : 1464 Pageviews.

 
ข้อมูลดีจังเลย เพราะไม่เคยได้รู้รายละเอียดนี้มาก่อน
สามารถโยงเรื่อง 2 เรื่องเข้าหากันได้เป็นอย่างดีเลย
ขอบคุณมากเลยค่ะ



โดย: busabap วันที่: 5 เมษายน 2552 เวลา:20:21:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าการเวกเสียงหวาน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สิ่งไหนยากกว่ากันระหว่าง
การหาคำตอบ
กับ
การพิสูจน์ว่าคำตอบ
ที่คนอื่นหามาได้นั้นถูกต้องหรือไม่
Friends' blogs
[Add เจ้าการเวกเสียงหวาน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.