.... “ท่านวาลาน” คำเรียกของหญิงสาวเกือบเป็นแค่น เซรีนน์ยันกายขึ้นยืน หมุนตัวกลับไปสบตาของอีกฝ่าย แม้การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งจะยากเย็นเจ็บปวดเพียงไร เสียงหัวเราะฝืดฝืน บอกอารมณ์ผิดหวังและไม่อยากเชื่อจนวาลานต้องนิ่วหน้า “ท่านคิดว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่? สมคบกับเฮนาเบรียน...” “ข้าก็แค่หยุดท่าน” วาลานขัดขึ้นมาเรียบๆ ดวงตาสีควันซึ่งแลตรงมาบอกอารมณ์ยากจะอ่านยามเขาบิดมุมปากขึ้น เอ่ยคำ “ท่านรู้มากไปกว่าที่ควรจะรู้ แต่น้อยไปกว่าที่น่าจะเป็น ข้ารู้ว่าท่านคิดอะไร ท่านเซรีนน์ ท่านฉลาดจริง แต่ก็ยังใจร้อนเกินไป ท่านสรุปเรื่องผิดหมด” “ข้าไม่ได้สรุปอะไร...” “จริงหรือ? แล้วคำว่า ‘สมคบกับเฮนาเบรียน’ ที่ท่านพูดออกมาเมื่อกี้มันหมายความว่าอะไร?” เซรีนน์ปิดปากฉับ เม้มเข้า และประกายตาที่สบแน่วมาในตาเขาก็ทำให้วาลานหัวเราะขึ้นนิด ยักไหล่ เสียงเอ่ยใจเย็นเฉื่อยปนยั่วล้อเกือบทำให้หล่อนหูอื้อไปด้วยแรงโทสะ “ท่านกำลังคิดจะย้อนถามข้าสิ ว่าแล้วถ้าท่านสรุปเรื่องผิด เรื่องที่ถูกมันคืออะไร?” “แล้วมันคึออะไรไม่ทราบ” น้ำเสียงของเซรีนน์เริ่มออกแววกรุ่น บอกความอดทนซึ่งงวดเข้าทุกขณะ หากอีกฝ่ายก็ยังคงตอบเรียบ ราวไม่ปรารมภ์และไม่สะทกสะท้านกับอำนาจใดก็ตามที่หล่อนมี “เสียใจ ข้าบอกท่านไม่ได้ มันเสี่ยงเกินไป” “งั้นก็หุบปาก สิ่งที่ท่านบอกข้าไม่ได้ มันก็เสมือนไม่มีอยู่ ข้าไม่อยากฟังเรื่องเหลวไหลไม่มีประโยชน์” ถ้อยนั้นกระแทกหนัก เย็นชา เปี่ยมอำนาจและแรงโทสะ หล่อนยืดกายตรงเชิดศีรษะเต็มความสูง อย่างนักบวชสูงสุดพึงเป็น อย่างคนที่รู้ดีว่าตนเองสืบสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ยาวนานอันเป็นที่เคารพมาในคาเลร่า ...อย่างเซรีนน์คนที่ชายหนุ่มรู้จัก แม้จะในเวลาเพียงไม่มาก ไม่นานมานี้... “จริง ข้าขอโทษ” วาลานยังคงยิ้ม และเสียงเอ่ยยังนุ่มนวล ทว่ารอยยั่วล้อลบออกจากในแววตาราวถูกจับกระชาก เขาน้อมศีรษะลง บอกเบา “เอาเป็นว่า ข้าไม่ต้องการให้ท่านรู้เรื่องมากไปกว่านี้ มันไม่ดีต่อข้า และไม่ดีต่อท่านเอง ถึงอย่างไรข้าก็ให้เกียรติท่าน ถ้าท่านยอมหยุด ข้าก็จะไม่ทำอะไรรุนแรงไปกว่านี้” “ท่านต้องการแค่คำสัญญา?” ดวงตาสีเขียวอ่อนจางของเซรีนน์หรี่ลงอย่างเคลือบแคลง และชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มขึ้น...แม้จะเป็นยิ้มเพียงปาก...ยามเขาสั่นศีรษะ “ข้าไม่ใช่คนโง่ ถ้าข้าขอแค่คำสัญญา ท่านก็คงจะสัญญา ออกไปจากที่นี่และพลิกลิ้นในทันที จริงไหม ท่านเซรีนน์?” “คราวนี้ท่านหาว่าข้าเป็นพวกไม่มีสัจจะสินะ” เซรีนน์กดเสียงหนักจนเกือบเป็นฉุนเฉียว สายตาที่ส่งมาเหมือนเคืองและไม่อยากเชื่อ หากวาลานก็แค่ยิ้มมากขึ้น รอยขันระคนชื่นชมแวบขึ้นในดวงตา วาบเดียว ก่อนจะจางไป “บลัฟฟ์ได้ดี แต่เสียใจ ข้าไม่มีเวลาเล่นเกม ที่ข้าต้องการ คือให้ท่านหยุด และไม่ใช่แค่คำพูด” “หมายความว่ายังไง?” หญิงสาวไหวตัวขึ้นอย่างหวาดระแวง อากัปซึ่งทำให้อีกฝ่ายถอนใจ บอกด้วยเสียงกึ่งเสแสร้ง “ท่านช่างเต็มไปด้วยคำถาม” “ท่านคิดว่าข้าจะยอมให้ท่าน ‘หยุด’ ข้าง่ายๆ หรือ ท่านวาลาน” คราวนี้หล่อนสืบเท้าเข้ามาใกล้ขึ้น มือกำรวบเข้าขณะหล่อนเงยหน้า บอกด้วยน้ำเสียงท้าทาย ประกายตาจรัสเรืองเข้มข้นราวกับแสงฟอสฟอรัส และก่อนที่ชายหนุ่มจะขยับตัว หญิงสาวก็ตวัดมือของตนรวดเร็ว เหวี่ยงฟาดลงในท่าเหมือนฟันบนอากาศว่าง เพียงแต่แทนที่อากาศจะก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นคม ตวัดบาดฉับเข้าใส่เขาเช่นที่เซรีนน์ตั้งใจ พลังนั้นกลับสลายวับไปราวกับไม่มีตัวตน...หรือถูกดูดดึงแปรรูป และวาลานก็เป่าปากออก ระบายลมหายใจยาว “สมกับเป็นท่าน คิดจะฆ่ากันให้ถึงตายเลยหรือ?”....