|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เรื่องของเรื่อง
ผมไปเที่ยวเขมรมาก็เลยอยากเขียนเรื่องให้เพื่อน ๆ อ่าน คำพูดอาจดูหยาบ เพราะอ่านกันใน web ของเพื่อนวิศวะด้วยกัน ความตั้งใจเที่ยวเขมรครั้งนี้เนื่องจากฟังวิทยุ 96.5 FM ตอนบ่าย 2 แล้วได้ยิน อาจารย์วีระ โฆษณาว่าจะมี อ. สุเนตร ชุตินธรานนท์ จะมาร่วม tripเป็นผู้บรรยายพิเศษด้วยก็นึกอยากไปทันที เพราะติใจตอนฟังเทปแกบรรยายเรื่อง ไทยรบพม่า เนื่องจากแกเป็นผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ แม้ว่าราคา 24000 ต่อคน(5 วัน 4 คืน เดินทางโดยรถยนต์) เมื่อเทียบกับเจ้าอื่น 17000-18000 บาท ก็คิดว่าคุ้มค่า ตั้งใจว่าไปเที่ยวแล้วจะกลับมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง แต่คงไม่ได้เน้นเรื่องราวประวัติศาสตร์มาก เนื่องจากชื่อบุคคลยากแก่การจดจำ เอาเป็นเรื่องเบา ๆ ก็แล้วกัน
เสียงโวยวายของเมียกู ปลุกกูขึ้นมาจากเตียงนอน กูลุกขึ้นงัวเงียมานั่งสักครู่แล้วถามว่ากี่โมงแล้ว เมียกูตอบว่า ตี 5.15 นาที กูงงสักพักก็ดีดตัวลุกจากเตียงนอนทันที่ จะไม่ดีดตัวได้อย่างไร ก็ทัวร์เขานัดเจอกันที่ รร. SC park ที่ตรงเลียบทางด่วน(ติดบ้านต้นซุง) ตอนตี 4.45 นึกในใจว่า ฉิบหายแล้วสงสัยไม่ได้ไปแน่เลย นึกด่าเมียในใจทำไมไม่ตั้งนาฬิกาปลุกวะ ธรรมดากูมักจะนอนไม่ค่อยหลับแล้วจะตื่นขึ้นมาฉี่ตอนประมาณตี 3-ตี4 แล้วก็จะหลับ ๆ ตื่น ๆ จนเช้า ทำไมวันนี้หลับเป็นตายเลย นึกเห็นภาพตอนนี้อีตา วีระคงด่าขโมงโฉงเฉงแหง ๆ
กูนั่งคิดอยู่สักพัก ก็ได้ยินเสียงแม่ยายกู(อยู่อีกบ้านหนึ่งใกล้ ๆ กัน)ข้างล่างนอกบ้านโวยวาย แกบอกว่าปลูกตั้งแต่ตี 3.30แล้วไม่ได้ยิน แกเคาะระฆัง (บ้านกูไม่ได้ติดกริ่ง ติดระฆังแบบโรงเรียนบ้านนอกที่ประตูบ้าน) กูนั่งนึกด่าตัวเองในใจว่าตอนทำบ้าน คิดได้ไงวะติดระฆังทำไมไม่ติดกริ่งที่ตัวบ้าน แบบนี้ไฟไหม้ได้ตายทั้งครอกแน่ กูรีบอาบน้ำไปคิดไป(ใช้เวลา ครึ่งนาที) จะทำอย่างไรดี อาบเสร็จยังไม่ทันได้แต่งตัวก็หยิบโทรศัพท์ที่ sharge แบ๊ต อยู่ข้างล่างขึ้นมาดู ปรากฏว่า มี miss call ตั้ง 5-6 ทีแล้ว กูก็เลยโทรกลับไป มีเสียงผู้หญิงตอบรับเสียงใสแจ๋วว่า พี่เรานัดกันตี 4.45 ไม่ใช่เหรอ กูไม่สามารถหาแพะรับบาปได้กูก็เลยกล่าวโทษประเทศจีนที่ทำนาฬิกาปลุกเฮงซวยให้กู เนื่องจากกูคาดว่าเขาน่าจะออกรถประมาณตี 5.30 กูก็เลยบอกให้เขาออกรถเลย กูคาดว่าเขาคงวิ่งไปอรัญประเทศออกมาทาง moter way บ้านกูอยู่แถวริม moter way ถ้าอย่างไรกูให้คนขับรถวิ่งรถตามไปนัดเจอกันกลางทางที่ใหนก็ได้ เป็นอันว่าตกลงว่าเขาจะออกรถเลยแล้วโทรติดต่อกันว่าจะไปเจอกันที่ใหน เสร็จแล้วกูก็โทรตามคนขับรถส่งของกูให้รีบลุกจากเตียงมาที่บ้านมาขับรถส่งกูหน่อย (คนขับนอนอยู่ที่ store ไม่ห่างจากบ้านเท่าไหร่) โชคดีที่คนขับรถตื่นแล้วจึงไม่ต้องรอกัน
กูออกจากบ้านประมาณ ตี 5.30 (ความจริงพร้อมตั้งแต่ตีห้ากว่า ๆ แล้วแต่รอคนขับรถ) พอออกมาก็โทรติดต่อปรากฏว่าเขายังไม่ทันได้ออกกันมา เพราะกินอาหารว่าง-กาแฟกันอยู่ และรอฟังอาจารย์วีระ พูดแนะนำการไปเขมรสั้น ๆ เช่นเรื่องขอปฏิบัติต่าง ๆ ....ห้ามให้ทานเด็กที่อาจจะมาขอทานเป็นอันขาด ฯลฯ กว่าจะออกมาก็ 6 โมง (อันนี้กูมารู้ภายหลัง) กูก็เลยไปรอที่ต้นทาง moter way ตรงบริเวณแถวสะพาน u turn พอรถจอดกูก็รีบขึ้นรถ คาดว่าจะเจอสายตาตำหนิติเตียนจากลูกทัวร์ แต่ก็ไม่เจอ เพราะคนอื่นคิดว่ากูเป็นประเภท VIP ต้องมาแวะรับก่อน เป็นอันว่าเกือบเสียเงินฟรีเพราะตื่นสาย
ขบวนรถทัวร์เริ่มออกจากจุดที่มารับกูก็ประมาณ 6.15 ขบวนรถประกอบด้วยรถทัวร์ 2 ชั้นจำนวน 2 คัน คันละ 32-35 คน รวมทั้งสิ้น77 คน มีพนักงานทัวร์ประจำรถคันละ 4 คน พอขึ้นรถได้สักพักกูก็เริ่มง่วงนอนเนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่กูชอบสลึมสลือที่สุด รถทัวร์พาพักจอดให้คนทำธุระอีกครั้งกลางทาง ทัวร์ทริปนี้พักฉี่ตามทางถี่มากเนื่องจากส่วนมากเป็น สว.(สูงวัยขนาดพวกเรานั่นแหละ) ขบวนรถถึงโรงเกลือซื่งเป็นด่านชายแดนประมาณ 8.20 น. แถวโรงเกลือผู้คนยังเบาบางเนื่องจากยังเช้าอยู่และแม่ค้าจากฝั่งปอยเปตยังผ่านด่านไม่หมด
เนื่องจาก บ.ทัวร์เก็บ pass port เราไปทำ visa ตั้งแต่แรกแล้วการผ่าน ตม.ฝั่งไทยก็ไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ เพียงแต่พวกเราต้องเดินถือเอกสารพาสพอร์ตโชว์ให้พนักงานดูเคร่า ๆ อย่างไม่เคร่งครัดนัก (มีใต้โต๊ะเรียบร้อย) ในขณะที่พวกฝรั่งที่จะข้ามไปฝั่งเขมรเข้าแถวยืนรออยู่ 30-40 คน มองดูพวกเราเดินผ่านอย่าง amezing โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งเขมรเราเดินผ่านตม. โดยไม่ต้องโชว์อะไรเลย พวกกระเป๋าสำพาระก็มีรถเข็นลำเลียงโดยชาวเขมร ที่ขับโดยคนขับรถที่ขาขาดทั้ง 2 ข้าง รถดังกล่าวแทนที่จะถีบด้วยขา กลับยกขาถีบขึ้นแนวตั้งใช้ถีบด้วยมือแทน
สิ่งแรกที่ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่าง 2 ฝั่ง คือกลิ่นเหม็นอย่างเหลือร้าย ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร จะว่าเป็นกลิ่นตัวคนก็ไม่น่าจะฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ เป็นกลิ่นคล้าย ๆ สถานที่ตากปลา ผสมกับกลิ่นน้ำเน่า กูสังเกตเห็นคลองข้าง ๆ เข้าใจว่าเป็น "คลองลึก" น้ำแทบจะแห้งแล้วแต่ยังมีทางน้ำไหลอยู่เล็กน้อย 2ฝั่งที่สูงประมาณ 4-5 ม เต็มไปด้วยเศษพลาสติกกับโฟม กล่องข้าวจนขาวโพลนไปหมด สิ่งที่ดูจะศิวิไลขึ้นมาบ้างก็คือตึกบ่อนคาซิโน ที่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นทั้ง โรงแรมและคาซิโน บางจุดมีสะพานข้ามระหว่างตึก 2 หลังที่อยู่คนละฟากของถนนสายหลัก ปิดมิดชิดคล้าย ๆ กับทางเดินระหว่างตึกที่อาริน่าบางกอกแลนด์
กูจำได้ว่าเมื่อ 5 ปีก่อนกูมาที่ปอยเปตครั้งหนึ่งเพราะพี่ชายกูพามาดูสถานที่ที่จะลงทุนทำบ่อน เวลานั้นเพิ่งมีบ่อนอยู่ 3 บ่อน กล่าวกันว่าบ่อนแรกที่ก่อสร้างทำเป็นโรงหลังคาจั่วเฉย ๆ แต่มีผนังปิดมิดชิดไม่มีหน้าต่างไมมีแต่ทางเข้าด้านหน้าและประตูอยู่ด้านหลัง ความกว้างของอาคารก็ประมาณ 15 ม.x 25ม. ปรากฏว่าเปิดบ่อนได้ 3 เดือน ผู้คนต่างก็พากับไปเสียเงินให้บ่อนจนคนล้นออกมานอกอาคาร จนต้องขยายอย่างรวดเร็ว
พอพวกเราข้ามฝั่งมาฝั่งเขมรได้ก็พากันขึ้นรถบัส ของพวกเขมร รถฝั่งเขมรดูไม่ทันสมัยแบบรถฝั่งเรา ไม่มีห้องน้ำในตัว ไม่มีทีวีหรือคาราโอเกะ เหมือนฝั่งเรา เป็นรถ second hand นำเข้าจากญี่ปุ่น ไกด์ชาวเขมรที่ประจำรถชื่อ ซอ บอกว่าเป็นรถที่เลือกมาอย่างดีที่สุดเพื่อ รับใช้ทัวร์ชุดนี้ ระยะทางจากปอยเปตถึงเสียมเรียบ ประมาณ 160 กม. ถ้าเป็นไทยก็วิ่งประมาณ 2 ชม. แต่เป็นฝั่งเขมรไม่แน่ว่ากี่ชม อาจเป็น 4-5-6 ชมแล้วแต่สภาพถนน ถนนเส้นนี้กำลังทำการก่อสร้างโดย ช.การช่าง ทำมาหลายปีไม่เสร็จสักที่ ไกด์เล่าว่าที่ไม่เสร็จเพราะปราสาททองโอสถ ที่เป็นคนได้สัมปทานสนามบินไม่ยอมให้เสร็จ เพราะถ้าเสร็จคุณหมอนั่นแหละจะเสร็จ และอีกสาเหตุหนึ่งเนื่องจากถนนเส้นนี้มีทางน้ำไหลผ่านมาก ต้องสร้างสะพานหลายจุดทำให้งานช้าตาม สมัยก่อนถ้าคอสะพานขาดก็ต้องลงจากรถขึ้นเรือหรือเดินข้ามน้ำไปขึ้นรถอีกฝั่ง บางที่ไปถึงเสียมราฐ 2-3 ทุ่มก็มี รถเริ่มออกมาจากปอยเป็ต ถนนก็ยังคงราดยางไปได้ราว ๆ 15 กม หลังจากนั้นก็เป็นลูกรังไปตลอดทาง บ.ทัวร์แจกผ้าปิดจมูกให้เราตั้งแต่รถเริ่มออก ท่ามกลางความสงสัยว่าเราอยู่ในรถปรับอากาศแล้วทำไม่ต้องปิดจมูกด้วย พอเข้าช่วงถนนลูกรังเราถึงจะถึงบางอ้อ แม้ว่าจะเป็นรถแอร์ แต่หน้าต่างไม่ได้เป็นแบบรถทัวร์ของเราแต่เป็นหน้าต่างแบบเปิดได้ ฉะนั้นจึงมีฝุ่นเล็ดรอดเข้ามาได้ กูไม่ใส่ผ้าปิดจมูกได้สักพักก็ทนไม่ใหว เนื่องจากไอตลอดเลยต้องปิดจมูก ตอนถึงโรงแรมเอากระเป๋าออกมาปรากฏว่าฝุ่นจับกลายเป็นสีเหมือนกันหมดทุกใบ
ที่น่าทึ่งคือรถที่วิ่งสวนมาเป็นรถ Toyota camry เสียเป็นส่วนมาก บางคันยังเอาไว้บรรทุกของทั้งข้างในตัวรถ ส่วนข้างนอกก็ทำกะบะไว้บรรทุกของเช่นผักผลไม้ เทินเสียเต็มหลังคา สอบถามไกด์ได้ความว่า การซื้อรถที่นี้ต้องใช้เงินสด ไม่มีระบบผ่อน รถcamry เป็นรถ second hand จากญี่ปุ่น ราคา 2-3 แสนบาท ถ้าเป็นรถกะบะ คันละ ล้านกว่าบาท อย่ากระนั้นเลยลงทุนใช้ camry คุ้มค่ากว่า-โก้กว่าแยะ ถ้าเป็นรถโดยสารก็เห็นมีรถ 2 แถวแบบเรา แต่หลังคาก็มีผู้โดยสารแน่นเต็มไปหมด ค่าโดยสารคนละ 100 กว่าบาท รวมแล้วรับคน 30 กว่าคนต่อเที่ยว บางทีก็เห็นรถขนหมูกับไก่วิ่งผ่านมา มีกฎหมายระบุว่า รถมอเตอร์ไซด์ 1 คันขนหมูได้ไม่เกิน 3 ตัว ขนไก่ได้ไม่เกิน 100 ตัว ฉะนั้นเขาก็เลยขนหมูโดยให้มันนอนหงายท้องเรียงกันที่เบาะหลัง 3 ตัว เหตุผลที่ผูกนอนหงายหลังเพราะหมูมันดิ้นไม่ได้ ส่วนถ้าเป็นไก่ ก็จะผูกมัดขาไว้ห้อยลงเป็นพวงเต็มทั้ง 2ฝั่งรถ ห้ามเกิน 100ตัว ไกด์เล่าเรื่องตลกให้ฟังว่า ถ้าเกิดขนหมูมากับเมียแล้วเกิดรถล้ม ผัวจะต้องรีบไปดูหมูก่อน ไม่ใช่ว่าเพราะหมูมีราคา แต่เป็นเพราะ หมูกลับบ้านเองไม่ได้ แต่เมียถ้าเป็นอะไรไปยังกลับบ้านเองได้
รถโดยสารคันแรกที่กูนั่งมาด้วยวิ่งออกมาจากปอยเป็ดได้ ประมาณ 20 กว่ากิโล ก็เกิดยางแตกเสียงดังสนั่นถนน จนคนขับมอเตอร์ไซด์ข้างหน้าเหลียวกับมาดู อาจจะกลัวว่าวิ่งไปทับทุ่นระเบิด ต้องจอดรถลงเปลี่ยนยางอะไหล่ รถบัสคันที่ 2 ซึ่งวิ่งเลยไปก่อนหน้าต้องรีบกลับมาจอดรอเพราะทั้งขบวนชักไม่แน่ใจว่าจะไปรอดหรือไม่ ตามติด ๆ กันไปดีกว่า ล้อที่แตกปรากฏว่าเป็นรอหลังด้านนอก(ล้อหลังมี2ล้อคู่) กูลงไปดูก็ปรากฏว่าล้อมันไม่มีดอกแล้ว โลนจนไม่มีจะโล้นแล้ว พอเปลี่ยนล้อเสร็จ คนขับรถก็ขอวิ่งกลับไปเติมลมยางก่อนเพราะไม่แน่ใจล้ออะไหล่ว่าจะแข็งพอหรือเปล่าวิ่งกลับไปสักพักก็เจอร้านรับปะยาง มีปั้มลมให้เติมลม แต่เนื่องจากถนนนี้ทั้งสายแม้จะมีเสาไฟผ่านตลอดสายแต่ก็หามีสายแรงต่ำแวะลงข้างทางซักกะจุด ปั้มลมที่นี่ก็จะเดินด้วยเครื่องคูโบต้า แทนที่จะเดินด้วยมอเตอร์ หมู่บ้าน 2 ข้างทางตลอดเส้นทางจะไม่มีไฟฟ้าใช้ ส่วนมากจะใช้แบตตารี หรือถ้ามีเงินหน่อยก็มีเครื่องปั่นไฟเล็ก ๆ ติดบ้าน แต่ตลอดทั้งสายจะไม่ค่อยมีบ้านให้เห็น เนื่องจากถนนเส้นนี้สมัยสงครามมีการดักซุ่มโจมตีกันบ่อย ชาวบ้านกลัวลูกหลงไม่กล้าปลูกบ้านใกล้ ๆ ถนน จะถอยออกไปปลูกไกล ๆ ริบมองจากถนนก็ไม่เห็น
รวมความว่าเราเสียเวลาเรื่องยางแตกครั้งแรกไปชั่วโมงกว่า ๆ รถเราวิ่งมาสัก50 กม. ก็ถึงเมืองศรีโสภณ เมืองนี้เดิมทีเป็นของไทยเราตั้งแต่ต้น ๆรัตนโกสินทร์(ปกครองแบบหัวเมือง ไม่ใช่ประเทศราช มีเจ้านายคนไทยมาปกครอง) เพิ่งเสียให้ฝรั่งเศสตอน ร. 5 ลักษณะบ้านเมืองวัดวาอารามจึงเป็นแบบไทย ๆ ถ้าไม่สังเกตตัวหนังสือเขมรก็อาจนึกว่าเป็นเมืองไทยแถว ๆ ตำบลอะไรสักอย่าง เนื่องจากลูกทัวร์เป็น สว. เสียส่วนมาก รถจึงจอดให้ฉี่อีกทีหนึ่งที่ร้านอาหารชื่อไทยว่าประกายพฤกษ์ แปลว่าดาวพระศุกร์ จะมาลองชิมฝีมือแม่ครัวชาวเขมรที่นี้ขากลับ ขาไปนี้เราขอฝากแค่ฉี่เอาไว้เท่านั้นยังไม่มีคำติคำชมทิ้งไว้ ห้องน้ำที่นี้แม้ว่าเป็นห้องอาหรที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดศรีโสภณ แต่ห้องน้ำก็สร้างเอาแบบง่ายๆ มีโถฉี่ cotto อันเล็ก 4 อัน กับผนังกันแบบก่ออิฐฉาบปูนเฉย ๆ ไม่มีกระเบื้องปู หลังคามุงสังกะสี ตัวห้องน้ำก็เป็นส้วมนั่งยองไม่มีการปูกระเบื้องให้สุดสวยเหมือนห้องน้ำตามปั้มน้ำมันของไทย พื้นและผนังเป็นปูนซีเมนต์ขัดมัน แต่ถ้าจะว่าไปแล้วก็ดีกว่าห้องน้ำตามทางของประเทศจีนที่มีกระเบื้องปูเรียบร้องก็จริงแต่กลางโถนั่งมีขี้กองใหญ่ (ประมาณ 4คนขี้ ) ทับกันพอให้รู้ว่าเมื่อ ชม. ที่แล้วใครได้กินอะไรเข้าไปบ้าง
To be continued
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2552 |
|
13 comments |
Last Update : 15 ธันวาคม 2552 15:11:48 น. |
Counter : 4388 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: วรรณเกษม 5 พฤศจิกายน 2552 7:56:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: โมจิ*-* IP: 114.128.20.57 18 ธันวาคม 2552 16:57:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: โมจิ IP: 117.47.12.150 3 กุมภาพันธ์ 2553 9:16:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่โตเอง IP: 203.144.144.164 2 มีนาคม 2553 16:02:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: โมจิ IP: 124.157.148.174 28 เมษายน 2553 19:16:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: casinobet99 IP: 112.142.163.138 26 กรกฎาคม 2553 15:09:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปุ๊ก IP: 58.11.46.109 2 กันยายน 2553 10:35:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: กุลปภัสสร์ IP: 110.164.163.23 9 พฤษภาคม 2554 14:35:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปีติกาญจน์ วรรณเกษม IP: 110.168.93.222 18 ธันวาคม 2554 8:35:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: kiet IP: 113.53.172.188 5 กุมภาพันธ์ 2555 4:38:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: วรรณเกษม 9 กุมภาพันธ์ 2555 11:54:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: Mariofef IP: 203.10.98.33 28 มีนาคม 2567 5:07:26 น. |
|
|
|
|
|
|
|
บรรยายซะเห็นภาพเลย