ภาพจากหนังสือ The Science of Interstellar
ภาพจากหนังสือ พุทธจักรวาล
ดังนั้น โดยแนวคิดนี้ มนุษย์ปกติไม่สามารถไปที่มิติที่ 5 ได้ เนื่องจาก 'ถูกกักขัง' ในมิติทั้ง 4 คือ กว้าง-ยาว-สูง และเวลา แต่ผกก.โนแลน ก็พยายามสื่อว่า พวกเขาในมิติที่ 5 นี้คือมนุษย์ในอนาคตนั่นเอง ที่หาทางทลายขีดจำกัด คือพูดง่ายๆ ทลายคุกนี้ออกไปในมิติที่ 5 ได้
ที่ผมตื่นเต้นเพราะอะไร เพราะจากการศึกษาข้อมูลในพระพุทธศาสนา ผมพบข้อสรุปบางอย่างครับ
โดยอ้างถึงเบรนที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ตามที่ฟิสิกส์ใหม่นำเสนอแนวคิดนี้ รวมกับปริศนาสำคัญทางฟิสิกส์ตอนนี้เรื่องหนึ่งคือ สสารมืด (Dark Matter) ที่กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในแต่ละกาแล็กซีนั้น สสารทั่วไป เช่น คน สัตว์ สิ่งของ น่าจะคิดเป็น 10 เปอร์เซนต์ ของสสารทั้งหมดที่จำเป็นต้องมี เพื่อให้กาแล็กซีเกาะตัวกันได้ นั่นคือ มีสสารที่เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่สามารถหาได้ด้วยคลื่นแสง ซึ่งมีอยู่ถึง 90 เปอร์เซนต์ โดยรอบแต่ละกาแล็กซีเป็นทรงกลด (ฮาโล)
ถ้าเรานำข้อมูลทางพระพุทธศาสนาไปรวมเพื่อเติมเต็มข้อมูลที่หายไป ผมพบว่า หากเราพิจารณา ภพทั้งสาม และเฉพาะกามภพ เมื่อเทียบกับข้อมูลสสารปกติและสสารมืดทางวิทยาศาสตร์ ก็พบว่าแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันอย่างน่าแปลกใจ ดังภาพด้านล่าง
บางส่วนจากหนังสือ พุทธจักรวาล
ข้อมูลเปอร์เซนต์นี้ เช่น เฉพาะกามภพ ประกอบด้วย เทวดา 6, มนุษย์, สัตว์, เปรต, อสุรกาย และนรก 8 รวมเป็น 18 ซึ่งถ้าแบ่งเป็นสสารที่มองเห็นได้คือ 2 (มนุษย์ และสัตวฺ์) ดังนั้น สสารที่ตามองไม่เห็น ก็จะเท่ากับ 16 คิดเป็น 11% และ 89% ตามลำดับ
ถุ้าเราใช้แนวคิด เบรนซ่อนเป็นชั้นจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ มารวมกับข้อมูล สวรรค์อยู่บน นรกอยู่ล่าง ซึ่งห่างกันเป็นชั้นๆ เช่นกัน ก็จะพบว่า ในแต่ละกาแล็กซี จะประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตเป็นชั้นๆ (เฉพาะกามภพ) ดังนี้
ภาพจากหนังสือ พุทธจักรวาล
และที่น่าทึ่งคือ ทั้งสองข้อมูลให้คำตอบที่ตรงกันว่า มนุษย์โดยทั่วไปไม่สามารถข้ามไปในมิติที่สูงกว่าได้ และตามนุษย์มองไม่เห็นพวกเขาในมิติที่สูงขึ้นไป เนื่องจากลักษณะทางกายภาพที่ต่างกัน
ส่วนข้อเสนอของผกก.โนแลนที่กล่าวว่า พวกเขาในมิติที่ 5 คือมนุษย์ในอนาคตนั้น ก็น่าสนใจ เพราะมีข้อมูลในพระพทุธศาสนาเช่นกันที่ระบุว่า เคยมีเหมือนกันที่มนุษย์ขึ้นไปอยู่ในมิติที่สูงขึ้นไปแบบไม่ถาวร ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ได้กล่าวถึงในบางแง่มุมในหนังสือ ' พุทธจักรวาล' ในบทอื่นเช่นกันครับ