Group Blog
 
 
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
2 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 
ประตูสู่หิมาลัย





ตื่นเช้ามาแบบขี้เกียจๆ

ครั้งนี้ก็เหมือนทุกๆครั้งที่ออกดูนก ไม่ว่าจะเป็นทริปไหน ที่ไหน เวลาไหน คนที่ตื่นสายที่สุด…ก็คือตัวผมเอง พอตื่นแล้ว ทำภารกิจส่วนตัว ล้างหน้า แปรงฟันเสร็จเรียบร้อย เราก็ได้ฤกษ์ออกดูนกกันเสียที โดยเช้านี้คงดูกันรอบๆที่พักนี่ล่ะ


ลืมเล่าไปเลยว่าอันที่พักของเรานี้ ถึงแม้ว่าชื่อจะบอกว่าเป็น Camp แต่ขอบอกว่าเป็นแคมป์ที่หรูหราสุดชีวิต ใหญ่โตโอ่โถง มีเตียงนอนขนาดใหญ่ นอนได้สบายๆ มีชั้นวางของ ตู้เสื้อผ้า น้ำดื่ม ห้องน้ำส่วนตัว ห้องแต่งตัว ราวกับเป็นห้องๆหนึ่งของโรงแรมเลยทีเดียว ต่างกันแค่เวลาเข้าต้องแหวกผ้าใบเอานะครับ


ว่าแล้วก็ได้เวลาอันควร ผมค่อยๆแหวกผ้าใบ โผล่หัวออกมาดูโลกภายนอก อ่า...อากาศช่างเย็นสบาย สดชื่นน่ากลับเข้าไปนอนต่อยิ่งนัก แต่เฮ้ย! ไม่ได้แล้ว คนอื่นเค้าเดินออกไปไหนต่อไหนกันแล้ว ขนาดพ่อผมก็ยังทิ้งผมไปแล้วเลย อย่างนี้รอช้าไม่ได้แล้ว ต้องรีบตามไปสมทบ เพียงเดินออกมาก็ได้ยินเสียงน้องนกร้องกันระงมให้ลั่นป่า เหมือนเปิดคอนเสิร์ท ลำโพงเซอราวด์รอบทิศทาง


อืม...นี่ล่ะ อินเดียของจริง!

นกแขกเต้า (Red-breasted Parakeet) มากันเป็นฝูงหาน้ำหวานกินจากดอกทองหลางป่า นกขุนทอง (Hill Myna) แต่ไม่ได้ร้อง วู้ว... ก็มากันเป็นระลอกคลื่น อีกฝั่งก็มีนกเปล้าขาเหลือง (Yellow-footed Green Pigeon) ตัวอวบอึ๋มกำลังยกพวกกันมารุมทึ้งลูกไทรสุกอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะเดียวกันฝูงนกปรอดก้นแดง (Red-vented Bulbul) ที่ไม่มีโอกาสได้เจอในเมืองไทย ก็กำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวจิกกินลูกไทรอย่างมีความสุข และเหยี่ยวฮอบบี้ (Oriental Hobby) สีสวยก็กำลังเกาะนิ่งอยู่บนต้นไม้แห้งเหนือแคมป์...


เห็นนกมีความสุข คนก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย

เช้านี้เราก็มีบุฟเฟ่ต์เช่นเดียวกันกับเมื่อคืน...พูดถึงเรื่องอาหารเนี่ย การมาทริปครั้งนี้ผมนึกว่าผมจะสามารถปรับตัวเข้ากับความเป็นตัวของตัวเองสูงของอาหารอินเดียได้แล้วซะอีก ที่ไหนได้ ผมกลับอาการแย่กว่าเมื่อครั้งก่อน ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทำไมไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าที่ควร


โปรแกรมหลักสำหรับวันนี้ของเราก็คือ การล่องแพตามหาอภิมหานกหายากแห่งลำธารหิมะละลายตีนเทือกเขาหิมาลัย อันมีปากโค้งดุจพระจันทร์เสี้ยว และพรางตัวได้เก่งราวเจเนต เขียว ณ แม่น้ำ Jai Bhoroli กันครับผม โดยเจ้านกตัวนี้มีชื่อเสียงเรียงนามเป็นภาษาอังกฤษไพเราะเสนาะหูว่า Ibisbill สั้นๆ แต่ถ้าจะให้แปลเป็นภาษาไทย ก็คงจะแปลได้ว่า นกปากนกช้อนหอย โอ้ว...มันยาวขึ้นมาทันตาเห็นเลย (จริงๆแล้วนกตัวนี้ไม่มีชื่อภาษาไทยหรอกครับ เพราะมันไม่มีในประเทศไทยเรา ผมเลยถือวิสาสะตั้งชื่อมันเอาเองซะเลย เพราะคำว่า “Ibis” แปลว่า “นกช้อนหอย” และ “bill” แปลว่า “ปาก” เอามารวมกันก็จะได้ว่า “นกปากนกช้อนหอย” นั่นเอง)


กินข้าวเสร็จเรียบร้อยกันแล้ว เราก็กระโจนขึ้นรถ (เดินขึ้นธรรมดานี่แหละ แต่ใช้ศัพท์ให้ฟังดูผจญภัยขึ้นมาอีกหน่อย) แล้วรีบบึ่งไปยังท่าน้ำ ที่ต้องออกไปไกลพอสมควร ระหว่างทางเราก็ได้เจอนกหลายๆชนิด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนกทุ่ง เพราะสภาพแถวนี้เป็นทุ่งนา ผสมผสานไปกับป่าดิบ และป่าโปร่ง แต่ที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจได้บ้างก็คือ นกกก (Great Hornbill) ซึ่งเป็นนกเงือกขนาดใหญ่ หากอยู่เมืองไทยถ้าจะดูก็ต้องเข้าไปในป่าที่อุดมสมบูรณ์จริงๆ เช่น เขาใหญ่ หรือแก่งกระจานถึงจะได้เจอ แต่ที่นี่เรากลับเจอมันกำลังบินกินลมหน้าระรื่นอยู่ข้างถนนระหว่างทางซะอย่างงั้น


สายๆเราก็มาโผล่ยืนตัวลีบเพราะลมเย็นๆที่พัดโชยมากันอยู่ริมท่าน้ำ แม่น้ำ Jai Bhoroli นี่ก็กว้างใช่ย่อย ถึงแม้จะเทียบกันไม่ติดกับอภิมหาแม่น้ำสายหลักๆของอินเดียก็ตาม แต่ถ้ามาอยู่เมืองไทย แม่น้ำสายนี้คงมีความสำคัญพอๆกันกับแม่น้ำโขง หรือเจ้าพระยาอย่างแน่นอน


เบื้องหน้าของเรามีแพยางนอนเรียงรายกันอยู่เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6 ลำด้วยกัน คราวนี้ผมก็ยังไม่ได้ใช้กล้องถ่ายรูปแบบเป็นเรื่องเป็นราวเสียที เพราะถ้าจะเอากล้องไปด้วยต้องเสียเงินเพิ่มอีก กลุ่มเราเลยมีกล้องติดตามไปด้วย 2 ตัว คือกล้องของพี่โอ๋ (อย่าสับสน หากต่อไปนี้จะเห็นว่าผมใช้คำนำหน้าว่า พี่ กับ ป้า สลับกัน...ขอให้รู้ว่าคือคนๆเดียวกันนะครับ) กับกล้องของ อ.ชัยรัตน์ เพราะฉะนั้นรูปภาพในตอนนี้ก็มาจากกล้องของทั้งสองท่านนี้นะครับ


หลังจากเก็บเอาสัมภาระ สัมภารกที่ไม่สมควรที่จะโดนน้ำขึ้นไปไว้บนรถกันเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ผมก็กระโจน (อีกแล้ว) ลงมายังแพ สวมเสื้อชูชีพให้เรียบร้อย แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนแพยางยืดหยุ่น ดึ๋งดั๋ง รู้สึกประหลาดพิลึก ตามสไตล์คนไม่เคยนั่งแพ


ระหว่างทางเราได้เจอนกมากมายหลายชนิด หลายๆตัวที่เจอก็ล้วนแต่เป็นนกหายากระดับ 5 ดาวของเมืองไทยเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น นกนางนวลแกลบแม่น้ำ (River Tern) ที่บินโฉบเฉี่ยวไปมา ส่งเสียงร้องแหลมดัง ห่านหัวลาย (Bar-headed Goose) ที่พาเพื่อนๆมากันเป็นกลุ่มจำนวน 4 ตัว คอยบินนำหน้าเราไปเรื่อยๆ พอเราตามไปเจออีก มันก็พากันบินหนีไปอีก เป็ดพม่า (Ruddy Shelduck) ตัวอวบ ล่ำบึ๊ก สีสวยงามที่เราเจอกันตลอดทาง เป็นเป็ดที่มีเยอะมากๆ นกอินทรีหัวสีนวล (Pallas’s Fish Eagle) ตัวใหญ่โตมโหฬาร ที่เราเจอมันเกาะอยู่ข้างรัง ที่มีขนาดใหญ่จนน่าตกใจ

นอกจากนี้ก็ยังมีนกที่ไม่สามารถพบได้ในประเทศไทยด้วย โดยตัวเด่นก็คือ เป็ดปากเลื่อยธรรมดา (Common Merganser) ตัวนี้สวยมาก ยืนอาบแดดกันอยู่บนหิน ได้ดูอย่างใกล้ชิดเชียว ตัวสีเทาอ่อนๆดูเป็นผู้ดี ส่วนหัวสีส้มสด มีหงอนฟูที่ท้ายทอยด้วย


เราล่องกันมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็ได้เจอกับตัวเป้าหมาย Ibisbill นกน้ำแห่งหิมาลัย พวกมันซ่อนตัวอย่างกลมกลืนอยู่ตามก้อนหินสีเทาๆ ในแวบแรกเราเห็นว่ามันมีแค่สี่ตัว แต่เมื่อเราเข้าไปใกล้ๆ พวกมันกลับบินพรึ่บออกมาถึง 9 ตัว!!! ทำเอาอาหมอหม่องดีอกดีใจ ยิ้มแก้มปริไปยกใหญ่ พวกเราทุกคนก็ดีใจ กระดี๊กระด๊าไปตามๆกัน


นอกจากนกหายากระดับ 5 ดาวแล้ว พวก 4 ดาว 3 ดาวลดหลั่นกันลงมาก็มีให้เห็นได้ตามรายทาง ไม่ว่าจะเป็นนกกระเต็นขาวดำใหญ่ (Crested Kingfisher) ตัวใหญ่สมชื่อ ขนาดเท่าๆกับลูกหมาตัวหนึ่ง หรือนกนางแอ่นมาร์ตินพันธุ์เนปาล (Nepal House Martin) และนกนางแอ่นทรายสีน้ำตาล (Plain Martin) ที่บินกันให้ว่อนเต็มท้องฟ้า ทำให้การล่องแพครั้งนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความชื่นอกชื่นใจ ขึ้นฝั่งมาแต่ละคนก็หน้าบานเป็นกระด้งมาเชียว และที่สำคัญสิ่งที่เพอร์เฟกต์ที่สุดในการล่องแพครั้งนี้ก็คือ ไม่ร้อน แดดไม่ออกเลย มีเมฆครึ้มๆแต่ไม่มืดมาก ฝนไม่ตก แถมยังมีลมโชยมาตลอดเวลา...ช่างดีอะไรอย่างนี้


สำหรับแม่น้ำแถบเทือกเขาหิมาลัยนี้ มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากแม่น้ำอื่นๆก็คือจะเป็นแม่น้ำที่เกิดจากหิมะละลาย จะใสจนเห็นเป็นสีเขียวอมฟ้า และไหลแรงเพราะมีก้อนหินมาก แตกต่างไปจากแม่น้ำปกติในบ้านเราที่จะไหลเอื่อยๆ ไม่สิ่งกีดขวางมากนัก แต่การที่มีก้อนหินมากมายขนาดนี้ถือเป็นผลดีคือจะเป็นการช่วยเพิ่มออกซิเจนในน้ำ ทำให้กลายเป็นสวรรค์สำหรับเหล่าตัวอ่อนแมลงนานาชนิด ซึ่งเท่าที่เราได้เจอก็มีตัวอ่อนของ Stonefly ที่มีขนาดใหญ่มากๆ สำหรับเจ้าตัวนี้ อาหมอหม่องบอกว่าหายากมากๆในเมืองไทย เพราะมันต้องการแหล่งน้ำที่ใสสะอาดจริงๆเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการรักษาสมดุลจึงต้องมีนกหลายๆชนิดที่อาศัย หากินอยู่กับแหล่งน้ำ คอยทำหน้าที่กำจัดและควบคุมปริมาณของเหล่าแมลงเพื่อไม่ให้มีจำนวนมากจนเกินไป ธรรมชาติล้วนสร้างสรรค์ระบบการจัดการที่รอบคอบ ซับซ้อนและละเอียดอ่อนเอาไว้อย่างลงตัวอยู่เสมอๆ


และแล้วเราก็ล่องมาจนถึงจุดหมายปลายทาง ดวงตะวันก็ส่องแสงฝ่ากลีบเมฆมาพอดี ทีนี้ล่ะร้อนจี๋เลย ระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 13 กิโลเมตรครับ พอมาถึงเราก็นั่งพักรอรถมารับกลับ นั่งอยู่สักพักใหญ่รถก็ตามมารับเรากลับไปกินอาหารกลางวันกันที่แคมป์


หลังรับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จสรรพเรียบร้อย เราก็รีบเก็บข้าวเก็บของเพราะวันนี้เรายังจำเป็นจะต้องเดินทางต่อไปอีก ไปยังเมืองที่มีชื่อน่ารักว่า Tippi อันจะเป็นประตูสู่อรุณาจัล และความเป็นหิมาลัยทั้งปวง



แดดแรงเหลือจะทน

เรานั่งรถกันมาเรื่อยๆผ่านทุ่ง ผ่านป่า ผ่านบ้านเมือง ผู้คนยังคงเป็นคนแขก ผิวดำๆ เดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด จนกระทั่งมาถึงด่านตรวจที่คอยกักรถราที่ต้องการจะข้ามไปยังรัฐอรุณาจัล เพราะอย่างที่บอก รัฐนี้มีความเข้มงวดทางการทหารมาก เราจึงต้องนั่งรออยู่ในรถกันนาน...นาน...มากเหลือเกิน


เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้ได้ รู้แต่ว่าอาจี๊ดเริ่มกระสับกระส่ายเพราะอาการปวดฉี่กำเริบ จากการไปอินเดียเมื่อครั้งก่อน อาจี๊ดกับอาอู๋เป็นแชมป์เข้าห้องน้ำเร็วของทริป (คำว่าเข้าห้องน้ำในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงว่ามีห้องน้ำให้เข้ากันจริงๆหรอกนะครับ อย่าลืม...ว่าที่นี่คืออินเดีย และคนอินเดียปกติเค้าก็ไม่เข้าห้องน้ำกันหรอก เพราะฉะนั้น เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามครับ) แต่ในครั้งนั้นสภาพพื้นที่มันเป็นป่าเป็นเขาห่างไกลจากสายตาผู้คน แต่ ณ ที่นี้ ด่านตรวจระหว่างรัฐ ท่ามกลางตลาดสด ร้านค้าขายของชำ ผู้คนวัวควายเดินกันให้ควั่ก อาจี๊ดจะไปเข้าห้องน้ำได้ที่ไหนกัน


อาจี๊ดทนไม่ไหวแล้ว เปิดประตูรถเดินลง สายลมเย็นๆข้างนอกพัดเข้ามาภายในรถวูบใหญ่ทำให้เรามัวแต่เคลิบเคลิ้มอยู่กับความเย็นนั้น จนกระทั่งอาจี๊ดเดินกลับมายังรถอีกที “เรียบร้อยแล้ว” อาจี๊ดยิ้มแฉ่ง ปล่อยให้เราได้แต่นั่ง อึ้ง ทึ่ง และเสียวแทน แล้วอาจี๊ดไปเข้าตรงไหนล่ะเนี่ย คนเดินกันเต็มไปหมด ว่าแล้วอาจี๊ดก็ชี้นิ้วไปยังซอกเล็กๆข้างร้านขายของริมถนน โอ้ว...พระเจ้า อาจี๊ด...You Rock!


กว่าเราจะผ่านด่านมหาภัยนั้นไปได้ เวลาก็ผ่านไปเกือบชั่วโมง เพียงแค่เราลอดผ่านไม้กระดกของด่านมา หัวใจของเราทุกคนก็เริ่มพองโต จากผู้คนหน้าดำๆที่เห็นกันจนชินตา เริ่มกลายเป็นผู้คนหน้าขาวๆเหลืองๆ อาตี๋ อาหมวยเริ่มมีให้เห็น สภาพบ้านเรือนก็เปลี่ยนไปหมด กลายเป็นบ้านหิน โอ้ว นั่น! ธงมนต์ตามสไตล์ต้นตำหรับธิเบต นี่เรามาถึงกันแล้วหรือ หิมาลัย!

































Create Date : 02 ธันวาคม 2550
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 19:05:30 น. 3 comments
Counter : 505 Pageviews.

 
นับไม่ถูกว่ามีกี่ตัว เฉลยหน่อย



โดย: แพนด้ามหาภัย IP: 125.25.196.219 วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:14:29:35 น.




มาแฝงตัวไปดูนกด้วยคน

ปกติเคยเห็นนกที่มีพื้นหลังเป็นสีเขียวของแม่น้ำ

มาเจอสีเทาๆแถบริมแม่น้ำดู Classic ไปอีกแบบ

อินเดีย เนี่ยรวมทุกอย่างเอาไว้จริงๆ

วัฒนธรรม แบ่งชนชั้น ศาสนา ผู้หญิงขอผู้ชายแต่งงาน

แล้วก็มี นก หน้าตาแปลกๆริมฝั่งแม่น้ำ

ประทับใจจัง รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อ





โดย: แปง IP: 125.25.164.222 วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:16:05:50 น.





สวยทุกภาพเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ



โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:16:32:02 น.




เป็ดพม่า ท่าทางเหมือนเป็ดปูนปั้นเลย
อ่านมาหลายบล็อก เพิ่งเข้าว่า ไปดูนกสวยๆ ก็จะได้ดูรอบตัวสวยๆ ด้วย ใช่ไหม



โดย: อั๊งอังอา วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:16:46:38 น.




แวะมาดูคนชอบเที่ยวเหมือนกันครับ





โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:16:52:28 น.




ภาพสวยมากเลยค่ะ น่าเที่ยวอีกต่างหาก



โดย: prangprang วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:17:47:24 น.






ว๊าว .. น้องต้น เห็นนกสวยๆแปลกๆ แล้วก้อทริปมันๆ คงเริงร่าน่าดู
โหดแค่ไหนก้อไม่หวั่นนะ โลกกว้างใหญ่รอให้ไปค้นหาอยู่ทุกเมื่อ

เมื่อก่อนตอนที่ไม่ประสา เดินตามชาวบ้านเข้าป่าไป พวกเค๊าก้อมีกล้องดูนกนั่นแหละ
แล้วก้อเดินช้ามากๆ ส่องไปตรงฟ้า ตรงพุ่มไม้ใหญ่ๆ มีสมุดวาดหรือตำรา
แล้วก้อมานั่งถกกันว่า "นี่มันใช่ตัวนี้ พันธ์นั้นหรือเปล่า"

อีกพวกก้อ ถือกขาตั้งกล้อง แบกอุปกรณ์เจออะไรนิดๆแม้เพียงธุลี ก้อหยุดถ่ายๆ
พอเริ่มโตขึ้น ออกไปกะเค๊าบ่อยๆ ถึงไม่มีอุปกรณ์ครบมือ แต่ความสนุกก้อเริ่มมาเยือน สุขจริงๆ





โดย: ดาวทะเล วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:18:02:31 น.







ลืมบอกไป เพลง อิน ตะ ระ เดี๊ย .. อิน ตะ ระ เดีย





โดย: ดาวทะเล วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:18:04:22 น.




ดีจัง
ได้ไปเที่ยว
ไปเจอกับธรรมชาติด้วย



โดย: weraj วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:18:21:46 น.




แหงะ ลาลายจากน้ำแข็งบนภูเขาเลยหรอ

หนาวแน่เลยอ่ะ

ตัวเองใช่คนที่ใส่กางเกงเลป๊ะ





โดย: Nicholaus วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:18:55:57 น.




โทดทีต้องเรียกว่ากางเกงสดอ ดิเนอะ

ลืมบอกเค้าอัพบล็อกแล้วนะ



โดย: Nicholaus วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:18:58:58 น.




แพนด้ามหาภัย รูปนั้นมี 3 ตัวคร้าบ

แปง ฮิฮิ ตอนต่อไปยังไม่ได้เขียนเลยอ่ะ

ทิวาจรดราตรี ขอบคุณมากครับ

อั๊งอังอา ใช่แล้วครับ ปกติผมไม่ค่อยซีเรียสกับนกมากเท่าไหร่หรอก คืออย่างน้อยถึงไม่มีนกแต่เราก็ยังได้ไปหาความงามของธรรมชาติรอบๆตัว

มิสเตอร์ฮอง ยังไม่เคยไปฮ่องกงเลย

prangprang ขอบคุณครับ

ดาวทะเล อ้าว ดูนกด้วยเหรอครับเนี่ย ดีใจจัง ปล.แต่เพลงนี้เป็นภาษาสเปนนะครับ

weraj อิอิ

Nicholaus น้ำน่ะเย็นเจี๊ยบเลยล่ะ ใช่แล้วคนที่ใส่กางเกงสะดอนั่นแหละ



โดย: Unravel วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:19:55:53 น.




หงิง... ที่ Nameri Camp ห้องหรูจิงดิ ไหงของเราไม่เหมือนอ่ะ แถมมีแมงมุมด้วย

หนุกอ่ะ เหมือนได้ไปอีกรอบเลย ต่อๆๆๆ



โดย: พี่โอ๋ (โป่งวิด ) วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:21:24:13 น.




^
^
ฮ่าๆๆ จิงดิ
แต่ห้องที่พี่โอ๋กับชมพู่นอนก็เล็กกว่าจริงๆแหละ



โดย: Unravel วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:21:45:05 น.




เที่ยวนี้ไม่ค่อยถ่ายตัวเองมาลงเลยนะ 555+



โดย: nanoguy วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:22:47:36 น.




ชอบดูรีวิวที่เที่ยวที่ยังไม่ค่อยมีคนไปแบบนี้มากครับ เพราะยังเป็นธรรมชาติมากครับ ดูแล้วอยากไปเหมือนกันนะครับ อ้อ เพลงประกอบเพราะมากครับ ทำนองเหมาะกับบล็อคไปเที่ยวแบบนี้มากครับ



โดย: ซอร์บอนน์ (ซอร์บอนน์ ) วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:0:04:02 น.




โห.........ถ่ายรูปสวยมากๆ

ลองทำโปสการ์ดดูสิจ๊ะ





โดย: หิมะสีดำ วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:14:17:20 น.




สวยมั่ก ๆ อิจฉาจังงะ




โดย: ann (ดอกฝิ่นสีชมพู ) วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:15:44:49 น.




สวยมั่ก ๆ อิจฉาจังงะ




โดย: ann (ดอกฝิ่นสีชมพู ) วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:15:45:07 น.




+ แหงะ อ่านไม่ทันง่ะ พี่แปะโป้งไว้ก่องเน้อ เด๋วพรุ่งนี้มาอ่านนะคร้าบผม



โดย: บลูยอชท์ วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:21:42:59 น.




nanoguy แหง่ะ ไม่เห็นต้องเอาลงเลย อายเค้า

ซอร์บอนน์ ขอบคุณมากครับ ทั้งคำชมของเพลง และเนื้อเรื่อง

หิมะสีดำ ผมก็ทำอยู่เหมือนกันครับ แต่ภาพชุดนี้ไม่ใช่ฝีมือผมนะ

ดอกฝิ่นสีชมพู อิอิ

บลูยอชท์ ตามสบายเล้ย



โดย: Unravel วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:21:48:00 น.




เย็นนี้ อาการ เป็นหวัดเข้าขั้นเต็มตัวซะเลยซิ



โดย: Nicholaus วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:22:05:27 น.




เหอะเหอะ ยาวจริงๆด้วย

เข้ามาทักทายก่อน ว่างๆจะมาอ่าน ทั้งตอนสองและสามเลย (อาจจะรวบตอนสี่ทีเดียว ถ้างานยังไม่เสร็จ)

หลับฝันดีครับ



โดย: fzero วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:0:03:01 น.




เป็ดพม่า
โกอินเตอร์
ไปอินตะระเดีย



โดย: คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:0:06:54 น.




พี่อยากเห็นตัวอ่อนสโตนฟลายจัง ฟังว่าหาได้ยากในเมืองไทยเพราะน้ำไม่ใสพอแล้วแซดเยย

นกสวยๆทั้งนั้นเลยอ่ะจ้ะ บางตัวไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

นึกตามว่ามีเสียงนกร้องระงมลั่นป่าราวคอนเสิร์ทแล้ว...
รู้สึกดีจัง



โดย: Hobbit วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:10:44:18 น.




ผมชอบนะ

คุณถ่ายรูปได้น่าชมมากครับ

ผมชื่นชมเลย

สู้ต่อไปนะครับ ไม่แน่อาจได้เป็นช่างภาพหรือไม่ก็ผู้กำกับก็ได้ครับ


ผมก็มีประสบการณ์ไปยิงนก เอ้ยดูนกนะครับ

ตอน ม สองไปเขาใหญ่

ได้ดูนกอะไรก็ไม่รุ้จำชื่อไม่ได้ด้วย

แต่สวยมากๆครับ

อากาศดีมากๆ



โดย: เราหล่อมาก วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:16:44:15 น.




+ ฮุๆ ถ้าได้ไปเที่ยวด้วยกัน พี่กับต้นคงได้แย่งตำแหน่ง 'คุณชายนิทรา' กันล่ะครับ ว่าใครจะตื่นสายกว่ากัน เหอๆๆ
+ อาหารอินเดีย กินยากครับ ... เป็นพี่หาไรไม่ได้ คงล่อแต่ "ซาโมซา" อย่างเดียวแหละ (แต่ของแท้ ก็รสชาติกับกลิ่นแปลกๆ อีกง่ะ )
+ แหม ... อ่านซะเพลิน จนมาถึงช่วงรูปเลยแฮะ

+ รูปแรก (ด้านล่าง) ตอนนับตอนแรก พี่ทายว่า 7 ตัวแน่ะ! 555 เห็นหินเป็นหัวนกไปได้วุ้ยตรู!
+ "เป็ดพม่า" ในแคนโต้ที่เติ้งเขียนไว้ ... ตอนอ่านแว้บๆ ตอนเช้า นึกว่าหมายถึง(แซว) จขบ. ซะอีก พอได้อ่านทั้งเรื่องตอนนี้ ถึงได้รู้ว่าเป็น เป็ดพม่า ตัวจริงเสียงจริง!
+ เพลงเพราะได้อารมณ์ เข้ากับเนื้อหาบล็อกสุดๆ ครับ ฟังแล้วทั้งหนุกหนาน ทั้งเพลินดีจังง่า



โดย: บลูยอชท์ วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:20:34:11 น.




ได้เห็นนกที่แปลกๆหายากและสวยๆทั้งนั้น ท่าทางจะเป็นสวรรค์ของคนดูนกจริงๆ

ไม่เคยดูเลยครับ แต่พอจะรู้ว่า ภาพและสีสันของนกด้วยตาเราจริงๆ งดงามกว่าภาพที่ถ่ายมาหลายเท่านัก ต้องหาโอกาสไปดูบ้าง

ปล. ขำกับ อาจี๊ด...You Rock!




โดย: fzero วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:22:15:33 น.




รูปสวย คนสวย เรื่องสนุกค่ะ



โดย: miss Florence in Venice วันที่: 9 กันยายน 2550 เวลา:6:46:53 น.


โดย: Unravel วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:12:16:54 น.  

 
ฮ่ะๆๆๆๆ ฮาค่ะ ฮาหลายอย่าง เรื่องชักเข้มข้นขึ้นไปทุกทีแล้วนะคะเนี่ย

"นกปากนกช้อนหอย" เหรอคะ...หน้าตามันก็น่ารักดี ไม่น่าชื่อยากเลย
เป็ดพม่าก็สวยจังเลยนะคะ หัวส้มเชียะ...ไม่เคยเห็นในเมืองไทยจริงๆ

จริงนะคะ ชอบที่ว่า "อาหารอินเดียเป็นอาหารที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง"
...ยังไงก็ชินไม่ได้ง่าย ๆ แน่ ๆ แต่ว่าถ้าใครชอบแล้ว ก็ชอบเลยนะคะ
เหมือนกับประเทศอินเดียเหมือนกัน ใครหลงเสน่ห์แขกก็ติดใจไม่เลิก
เห็นว่ากันว่าอย่างนั้น...ตัวเองอยากไปเยือนอินเดียสักครั้งเหมือนกันค่ะ
ถึงแม้ว่าจะได้รับคำเตือนมากมายทั้งห้องน้ำ อาหาร แขกเหม็น สกปรก
แต่ว่าคนอีกมากมายก็ยังติดใจและหลงเสน่ห์นี่นา...สักวันค่ะ สักวัน
ยิ่งอ่านอย่างนี้ ยิ่งอยากไปเข้าไปใหญ่เลย...อืมม...น่าสนใจมาก ๆ


โดย: นางสาวดุ่บดั่บ วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:6:24:03 น.  

 
^
^

เพื่อนบล็อกท่านอื่นเค้ามาอ่านกันเป็นปีละ นี่ค่อย ๆ ทยอยมาอ่านย้อนหลังก็สนุกดีค่ะ เพราะยังไงมันก็เป็นบันทึกการเดินทางที่ไม่ต้องอ่านเพื่ออัพเดท วันนี้ก็มาต่อจากสัปดาห์ก่อนละกันนะคะน้องต้น

ไม่ได้มีอคติกะแขกหรืออะไรใด ๆ ทั้งสิ้นแต่ว่าเป็นคนหนึ่งที่บอกได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่ชอบอาหารอินเดีย มีอยู่หนไปปีนังอยู่เป็นอาทิตย์ในย่าน Little India กินแกงกะหรี่เค้าจนผอมกลับไทย 555

เพิ่งรู้ว่านกขุนทองมีชื่อว่า Hill Myna เคยมีประสบการณ์ทะเลาะกับนกขุนทองอยู่หน เอาเป็นเอาตายมาก บังเอิญเจ้าของสอนแต่คำเมืองที่หยาบคายเสียด้วย

อย่าบอกนะคะว่าภาพนกนั่นสเก็ตเอง

ไว้ว่าง ๆ มาต่อค่ะ...


โดย: prunelle la belle femme วันที่: 13 กันยายน 2552 เวลา:4:28:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Unravel
Location :
Beppu, Oita Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Unravel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.