การใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศทำให้ฉันจำเป็นต้องเดินทางไปมาอยู่บ่อยๆ ความจริงแล้วฉันเป็นคนเดินทางบ่อยมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ยังเล็กฉันเดินทางไปกลับระหว่างเชียงใหม่-กรุงเทพทุกปี ปีละประมาณ 2-3 ครั้ง พ่อของฉันเป็นคนกรุงเทพแต่ย้ายมาอยู่กับแม่ที่เชียงใหม่ เพราะฉะนั้นแต่ละปีเราจึงมักจะเดินทางไปเยี่ยมปู่กับย่าที่กรุงเทพเสมอๆ ต่อมาเมื่อฉันเริ่มดูนกฉันก็ยิ่งออกเดินทางบ่อยขึ้นกว่าเก่า ฉันเดินทางไปดูนกทั้งกับพ่อและกับนักดูนกคนอื่นๆที่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือต่างประเทศ ฉันออกดูนกทุกอาทิตย์เป็นประจำเป็นเวลาติดต่อกันนานหลายปี และแต่ละปีฉันมักจะร่วมเดินทางไปดูนกต่างประเทศอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เรียกได้ว่ากิจกรรมดูนกทำให้ฉันได้เดินทางทั่วประเทศไทย ตั้งแต่เหนือสุดของประเทศอย่างจังหวัดเชียงรายที่ฉันไปเยือนบ่อยมาก ไปจนถึงสุดปลายด้ามขวานอย่างผืนป่าฮาลา-บาลา จังหวัดนราธิวาสเลยทีเดียว การเดินทางในวัยเด็กของฉันนั้นจึงได้ปูทางให้ฉันกลายเป็นคนติดการเดินทาง และชื่นชอบการออกเดินทางอย่างในปัจจุบันนี้ไปโดยปริยายแต่หากจะพูดถึงการเดินทางในวัยเด็กของฉันแล้ว ฉันคงจะบอกได้ว่ามันช่างแตกต่างไปจากการเดินทางของฉันในปัจจุบันเสียเหลือเกิน ในวัยเด็กไม่ว่าฉันจะเดินทางไปไหนก็จะมีแต่คนคอยดูแลให้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน เรื่องความปลอดภัย เรื่องถนนหนทาง เรื่องที่พัก ทำให้ฉันไม่เคยต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอะไรเลย ถึงเวลาก็ขึ้นรถแล้วหลับปุ๋ยไปจนสุดทาง พอถึงที่ก็ก้าวลงรถเพียงเท่านั้น ยิ่งโตขึ้นฉันก็ยิ่งรู้ว่าฉันจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองให้มากขึ้นตามอายุ ฉันเริ่มพยายามจดจำถนนหนทาง จำชื่อสถานที่ ที่พัก ร้านอาหาร จดจำราคาสิ่งของที่จำเป็น เพราะหลายครั้งเมื่อคนอื่นถามฉันเกี่ยวกับรายละเอียดของการเดินทาง ฉันจะได้ไม่ต้องตอบว่าพ่อหรือแม่เป็นคนจัดการ...ฉันไม่รู้ การตอบคำถามแบบนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันไม่ชอบเอาเสียเลยในวัยเด็ก แต่หลายๆครั้งก็ต้องตอบไปเพราะความไม่รู้จริงๆ มาวันนี้ ในวันที่ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็จำเป็นที่จะต้องวางแผนเอง จัดการเอง ฉันพบว่าความรู้สึกของฉันที่มีต่อการเดินทางแต่ละครั้งได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงฉันจำได้ถึงช่วงเวลาที่ฉันเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกๆ ฉันมักจะป้องกันตัวเองจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ที่นั่น เพียงเพราะความไม่คุ้นเคย เพียงเพราะความกลัว ฉันพบว่าการเดินทางที่เต็มไปด้วยความกลัวแบบนั้น นอกจากจะทำให้เราเหนื่อยโดยใช่เหตุแล้ว เรายังไม่ได้สัมผัสถึงความเป็นสถานที่นั้นอย่างแท้จริงอีกด้วย ทุกวันนี้ฉันไม่ค่อยวางแผนสำหรับการเดินทางมากนัก ฉันเพียงค้นหารายละเอียดพื้นฐานทั่วๆไปเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ เช่นถนนหนทางและที่พัก แล้วออกไปเสี่ยงเอาดาบหน้า เพราะฉันคิดอยู่เสมอว่าคนที่นั่นเขาอยู่กันได้ แล้วทำไมเราจะไปอยู่แบบเขาบ้างไม่ได้ก็เท่านั้น ความกลัวเมื่อต้องอยู่ต่างถิ่นจะหายไป เมื่อเราสามารถปรับความคิดของเราให้รู้สึกเหมือนเป็นคนในท้องที่ได้เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ที่นั่นก็คือ บ้าน ของเราเสมอ ความรู้สึกนี้เองที่จะทำให้เราสบายใจและไม่หวาดกลัวต่อให้อยู่ห่างจาก บ้าน ที่แท้จริงสักเพียงใดก็ตามเมื่อปรับความคิดได้ดังนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายได้ทุกครั้งเมื่อต้องออกเดินทางไปไหนมาไหนตามลำพัง ความรู้สึกมั่นใจนี้เกิดขึ้นหลังการเดินทางแบบฉายเดี่ยวครั้งแรกของฉัน และสุดท้ายหล่อหลอมให้ฉันกลายเป็นคนที่ชื่นชอบการเดินทางคนเดียวไปโดยปริยาย การออกท่องเที่ยวตามลำพังในสถานที่ไม่คุ้นตา นำพามาซึ่งความสุขที่มีรสชาติหวานเฝื่อน ฉันเสพติดการทอดสายตาออกไปกลางทุ่งกว้างและป่าเขาลำเนาไพร ที่เลื่อนไหลผ่านลานสายตาของฉันซึ่งนั่งอยู่ตามลำพังในรถไฟไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกของอิสรภาพในวินาทีที่ได้ก้าวเท้าออกเหยียบแผ่นดินใหม่ และการได้สูดหายใจเอาอากาศของพื้นที่ที่ไม่เคยเห็น ฉันจะค่อยๆผสานตัวให้กลายเป็นหนึ่งในทัศนียภาพของสถานที่แห่งนั้น และทำตัวราวกับว่ากำลังเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดที่จากมานานแสนนาน และเพราะเมื่อฉันยื่นความไว้วางใจให้กับสถานที่แห่งนั้นอย่างหมดหัวใจ ฉันมักจะกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่แสนประหลาดราวกับว่าฉันลืมอะไรทิ้งเอาไว้ก็มิปาน ไม่ว่าจะเป็นทุกครั้งที่ฉันกลับบ้านที่เชียงใหม่ หรือที่หอพักที่ญี่ปุ่น หรือที่ชิเรโตโกะ ฉันมักจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูก แรกเริ่มมันเป็นอารมณ์ที่ฉันหาคำตอบไม่ได้ ฉันจึงมักตีความไปเองว่าฉันต้องลืมสิ่งของบางอย่างเอาไว้เป็นแน่ ฉันใช้เวลาอยู่นานกว่าที่จะหาคำตอบได้ว่า สิ่งที่ฉันหลงลืมอยู่ตามที่ต่างๆที่ฉันได้เดินทางไปเยือนและใช้ชีวิตอยู่นั้น แท้จริงแล้วคือชิ้นส่วนเล็กๆของจิตใจและความทรงจำ ที่ร่วงหล่นอยู่ตามรายทางในยามที่ฉันไม่รู้ตัว และพวกมันยังคงฝังแน่นอยู่กับสถานที่เหล่านั้นตราบชั่วนิรันดร์