เพราะวันนี้ของลูกมีวันเดียว

 
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
20 กันยายน 2553
 

ประโยชน์น้ำมันมะพร้าว ช่วยลดน้ำหนัก ** ต้องอ่าน

วิธีลดน้ำหนักด้วยการรับประทานน้ำมันมะพร้าวให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เป็น ที่ทราบกันดีแล้วว่า การรับประทานน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์วันละประมาณ 3 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ และ 2 ช้อนโต๊ะสำหรับเด็กนั้นมีประโยชน์มากมาย เพราะน้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคร้ายต่างๆ อุดมด้วยเอนไซม์ ไวตามิน แร่ธาตุ เป็นสารแอนตีออกซิแดนท์ ไม่ส่งผลเสียต่อคอเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย น้ำมันมะพร้าวยังให้พลังงานสูง ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ไม่สะสมตามเซลล์ไขมัน จึงสามารถช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้

แต่ หากท่านรับประทานน้ำมันมะพร้าวแต่ไม่หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้ อ้วน น้ำหนักตัวของท่านอาจเพิ่มหรือกลับมาอ้วนได้อีก แล้วอาหารอะไรล่ะที่ทำให้อ้วน? คำตอบคือ น้ำมันอื่นๆนั่นแหละที่เป็นตัวการทำให้อ้วน น้ำมันพืชที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้นั่นแหละ ที่เป็นตัวการทำให้อ้วน เพราะย่อยได้ยากและสะสมตามเซลล์ไขมัน บางชนิดนำไปผ่านกรรมวิธีอย่างไม่ถูกต้อง จะเปลี่ยนโครงสร้างเป็นไขมันทรานส์ซึ่งนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆเช่น โรคหัวใจและโรคมะเร็งอีกด้วย

สาเหตุที่ต้องนำน้ำมันไปผ่านกรรมวิธีก็เพราะน้ำมันไม่อิ่มตัวนั้นเหม็นหืนง่ายนั่นเอง น้ำมัน ผ่านกรรมวิธีในรูปแบบอื่นเช่นเนยเทียม ถูกนำไปใช้ทำขนม ทำเบเกอรี่ต่างๆ จะเห็นได้ว่าเด็กสมัยนี้ ซึ่งเป็นสมัยที่ขนมขบเคี้ยวในรูปแบบของว่างต่างๆหาได้ง่ายและน้ำมันพืชผ่าน กรรมวิธีได้รับความนิยม จะมีรูปร่างอ้วนกว่าเด็กรุ่นพ่อแม่ หรือที่เห็นได้ชัดเด็กในรุ่นปู่ย่าตายายอยูเป็นจำนวนมาก

สำหรับ น้ำมันมะพร้าวนั้น ไม่ต้องนำไปผ่านกรรมวิธีเพราะเป็นไขมันอิ่มตัวไม่เหม็นหืนง่ายเหมือนน้ำมัน พืชชนิดอื่นๆ และไม่ต้องห่วงเรื่องคอเลสเตอรอล เพราะไขมันอิ่มตัวจากพืช เช่นน้ำมันมะพร้าว จะไม่เพิ่มคอเลสเตอรอล ต่างจากไขมันอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์เช่น น้ำมันหมู หรือไขมันอิ่มตัวที่อยู่ในเนยหรือนม (ผู้ที่รับประทานน้ำมันมะพร้าวเพื่อลด LDL และเพิ่ม HDL จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานไขมันอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์ด้วย)

ดังนั้น หากต้องการลดน้ำหนักด้วยการรับประทานน้ำมันมะพร้าวให้ได้ประโยชน์สูงสุด ท่านควร

1. เลิกใช้น้ำมันอื่นทำอาหารและเปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะพร้าวแทน (หากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีราคาแพงเกินไปสำหรับทำอาหาร ท่านสามารถใช้ โคโค่แคร์ เป็นน้ำมันมะพร้าวสำหรับทำอาหาร ไม่ผ่านกรรมวิธี (ไม่ใช่น้ำมันมะพร้าว RBD) ราคาไม่แพง เหมาะทีสุดสำหรับใช้ทอด)
2. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรท โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรทฟอกขาวเช่น ข้าวขัดขาว น้ำตาลฟอกขาว แป้งฟอกขาว ขนมหวาน เบเกอรี่ ของว่างต่างๆ เพราะนอกจากจะอุดมไปด้วยไขมันทรานส์ในรูปของเนยเทียมแล้ว ยังอุดมด้วยน้ำตาลอีกด้วย
3. รับประทานอาหารสดให้มาก ผักสดและผลไม้สด (ที่ไม่ผ่านการอาบรังสี) จะอุดมด้วยเอนไซม์ เป็นประโยชน์กับร่างกาย
4. ไม่ควรละเลยการออกกำลังกาย การออกกำลังกายเบาๆแต่สม่ำเสมอเป็นประจำ นอกจากช่วยการเผาผลาญแล้ว ยังทำให้ท่านมีร่างกายแข็งแรงอีกด้วย


ที่ กล่าวมาทั้งหมดดูจะไม่เหมือนสูตรการลดน้ำหนัก แต่ดูเหมือนการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือเปลี่ยนการดำเนินชีวิตกันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ ซึ่งหากทำสำเร็จการมีน้ำหนักเกินดูจะเป็นเรื่องเล็กน้อย สิ่งที่ท่านจะได้มาคือการมีสุขภาพดี และเมื่อท่านมีสุขภาพดี น้ำหนักของท่านก็จะอยู่ในเกณฑ์มาตราฐานคือลดลงเองโดยอัตโนมัติ.


สูตรอาหารลดน้ำหนักด้วยน้ำมันมะพร้าว
หุ่นดีกับวิธี.. Coconut Diet



วิธี ใหม่เอี่ยมสำหรับวงการไดเอท คิดค้นโดย "เชอรี่ คัลบอม" นักโภชนาการชื่อดัง วิธีนี้กำหนดว่าเราต้องไดเอท ด้วยอาหารไขมันต่ำที่ปรุงจากน้ำมันมะพร้าวเท่านั้น ข้อดีของน้ำมันมะพร้าวที่เป็นไขมันอิ่มตัวคือสามารถกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญ ของร่างกายเราได้ดี ทำให้น้ำหนักลดเร็ว ยิ่งถ้าทานคู่ไปกับอาหารไขมันต่ำ หุ่นก็จะยิ่งเพรียวขึ้น วิธี Coconut Diet แผนการนี้มีกำหนด 3 สัปดาห์ โดยให้เลือกทานอาหารจากรายการต่อไปนี้ หลังจาก 3 สัปดาห์นี้แล้ว สามารถทานคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้นได้ โดยเลือกจากรายการอาหารในสัปดาห์ที่ 4-5

สัปดาห์ที่ 1-3
อาหารเช้า - ไข่คน 2 ฟอง ใส่น้ำกะทิ 1 ช้อน กับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น หรือไข่ดาวทอดน้ำมันมะพร้าว 2 ใบกับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น
อาหารกลางวัน - ไก่ไร้หนังทอดด้วยน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ กินคู่กับสลัดผักสดเยอะๆ หรือปลาย่าง 1 ตัวกับผักสลัด และน้ำสลัดทำจากน้ำมันมะพร้าว หรือหมูสะเต๊ะ กับสลัดผักสด หรือสลัดกุ้งราดน้ำสลัดจากน้ำมันมะพร้าว
อาหารเย็น - สเต๊กปลา (ปลาทาน้ำมันมะพร้าวเอาไปอบหรือย่าง) ทานกับผักต้ม หรือยำวุ้นเส้นกินกับผักสดคลุกน้ำมันมะพร้าวเล็กน้อย หรือแกงจืดตามใจชอบ และอกไก่ทอดน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ หรือผัดถั่วงอกใส่กุ้งกับพริก ใช้น้ำมันมะพร้าวในการผัด

สัปดาห์ที่ 4-5
อาหารเช้า - ไข่คน 2 ฟอง ใส่น้ำกะทิ 1 ช้อน กับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น และขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น หรือไข่ดาวทอดน้ำมันมะพร้าว 2ใบกับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น และขนมปังโฮลวีต 1 แผ่นหรือฟรุตสลัด (ผลไม้ตามใจชอบหั่นเป็นลูกเต๋าคลุกกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ)
อาหารกลางวัน - ไข่ต้มกับปลา (ทากะทิ) ย่าง หรือปลาผัดพริก (ผัดด้วยน้ำมันมะพร้าว) กับผักต้ม หรือสเต็กอกไก่ทอดน้ำมันมะพร้าวกับสลัดผัก หรือสลัดกุ้งกับผักสด น้ำสลัดทำจากน้ำมันมะพร้าว
อาหารเย็น - กุ้งผัดพริกแกง (ใส่กะทิ) ทานกับผักสดหรือผักต้ม หรือแกงเผ็ดอกไก่ (ใส่กะทิ) จะใส่หน่อไม้หรือไม่ก็ได้กับข้าวกล้องหรือสลัดปลาทูน่ากับมันอบตามใจชอบ

..Tip..
- สามารถทานผักสลัดได้ทุกชนิด ยกเว้นข้าวโพดหวาน ถั่วลันเตา และมันฝรั่ง เพราะมีคาร์โบไฮเดรตสูง
- งดน้ำชา กาแฟ และน้ำอัดลม และควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว


น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีกำลังคุกคามสุขภาพคนไทย (เรื่องนี้ไม่อ่านไม่ได้)
บทความจากสถาบันวิจัยโรคเรื้อรัง (CDRI)


เมื่อ ข้าพเจ้าเป็นเด็ก จะเห็นแม่สาละวนกับการเจียวน้ำมันหมูทุกๆ 7 วัน เพื่อใช้ผัดกับข้าวให้พวกเรารับประทาน น้ำมันหมูนี้มันเก็บได้ไม่นานเพราะไม่มีตู้เย็นเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งการใช้ก็ตักทีละน้อย เพราะน้ำมันที่ผัดหรือทอดแล้วจะดำและเหม็นหืนง่าย

แต่ พอข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น บรรดานักวิชาการสุขภาพก็เริ่มประกาศความมีพิษภัยของน้ำมันหมูและน้ำมัน มะพร้าว โดยโฆษณาชุดแรกๆ ก็เน้นที่ความไม่เป็นไข (แข็งตัว) เมื่ออุณหภูมิเย็นตัวลงของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เมื่อเทียบกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาเน้นเรื่องโคเลสเตอรอล ให้คนดูตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพเรื่องโรคหลอดเลือด และหัวใจ

จะ ด้วยความโง่หรืออ่อนต่อโลกก็มิทราบได้ ทั้งน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวมิได้จับตัวเป็นไขในร่างกายคน เพราะอุณหภูมิ สูงถึง 37 องศา C (น้ำมันทั้ง 2 ชนิดจะเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศา C) แต่ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนน้ำมันทั้ง 2 ชนิด ที่เคี่ยวเองได้หันมากินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (Refined, Bleached, Deodorized) ด้วยความเชื่อนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่า รู้จริง รู้ดี จึงกล้าแนะนำประชาชน

หลาย สิบปีผ่านไป การตรวจเลือดหาปริมาณโคเลสเตอรอล ยังคงได้ตัวเลขสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากขึ้นทุกปี ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็ไม่อ้วนหรือน้ำหนักเกินดัชนีมวลกาย และได้เลิกใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าวไปนานแล้ว อีกทั้งร้านอาหารทุกแห่งไม่ว่าริมถนนหรือภัตตาคารก็ไม่มีใครทำน้ำมันใช้เอง อีกแล้ว

แม่ ของข้าพเจ้าป่วยตายด้วยโรคมะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจเมื่ออายุ 81 ปี แต่ข้าพเจ้ากลับป่วยด้วยอาการของโรคไต (nephrosis) และมีอาการคล้ายกับเป็นแผลเบาหวานทั้งๆที่น้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงเพียง 90 หน่วย (mg./dl) ดังนั้นแผลที่หายยากนั้นจึงเรียกว่า"โรคเส้นเลือดฝอยอักเสบเรื้อรัง"

ข้าพเจ้า โชคดีที่พบสาเหตุและยาแก้ แม้ว่าจะเป็นยาสมุนไพรที่กินยาก แต่ข้าพเจ้าก็หายได้เพราะความอดทน เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ข้าพเจ้าเลิกกินอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีนาน 1 ปี ระดับคอเลสเตอรอลก็ลดลงต่ำกว่า 150 มก./ดล.(ค่าปกติ 150-200 มก./ดล.) ทั้งๆ ที่ น้ำมันพืชทุกชนิดมักจะอ้างว่าไม่มีโคเลสเตอรอลก็ว่าได้

ข้าพเจ้า ได้ตั้งคำถามถึงสาเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นโรคไต แล้วค้นคว้าจนพบความจริงว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี นี้แหละเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ข้าพเจ้าป่วย เพราะกินน้ำมันนี้วันละ 3 มื้อ มากกว่าอาหาร หรือ ยาชนิดใดใด และ น้ำมันพืชฯ นี้มันถูกเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated) ทำให้ทอดอาหารได้กรอบอร่อย ใช้ได้หลายครั้ง ไม่เหม็นหืน แต่ก็เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะโครงสร้างเคมีเปลี่ยนไปหลังผ่านกรรมวิธี

เมื่อ กินเข้าไปในร่างกาย กลายเป็นคราบทำให้น้ำซึมผ่านไม่ได้ ไม่เหมือนอย่างน้ำมันมะพร้าวที่คั้นน้ำกะทิแล้วเคี่ยว จนเป็นน้ำมัน แม้น้ำมันมะพร้าวจะมีสัดส่วนไขมันอิ่มตัวสูง แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีเพราะใช้ความร้อนสูง อีกทั้งยังละลายน้ำได้ จึงไม่เป็นคราบฝังแน่นในลำไส้และหน่วยไต

ท่าน อาจจะยังไม่เชื่อข้าพเจ้า จึงอยากให้ทดลองเองที่บ้าน นำน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธียี่ห้อไหนก็ได้ ลองใส่ภาชนะแล้วตากแดดให้อุณหภูมิใกล้เคียงกับภายในร่างกายของมนุษย์ แล้วตรวจดูความเหนียวหนึบของมัน ลองกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวเองแล้วเปรียบเทียบกัน แม่บ้านหลายคนกล่าวว่าการล้างจานชามที่เปื้อนน้ำมันหมู น้ำกะทิ และน้ำมันมะพร้าว ทำได้ง่ายกว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมาก

คราบ เหนียวหนึบยึดติดนี้ จะเกิดในลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ หลอดเลือดฝอยไต (ติดในหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ติดในหลอดเลือดฝอยไต ทำให้เป็นโรคไตวายเรื้อรัง) จะเห็นได้ว่าปีหนึ่งๆ มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเป็นอันดับหนึ่ง ติดตามด้วย โรคมะเร็ง

เมื่อ น้ำไม่สามารถซึมผ่านคราบน้ำมันในลำไส้เล็ก ร่างกายก็จะขาดน้ำซึ่งควรจะมีอยู่ 2/3 ของน้ำหนักตัว สารละลายน้ำเช่น วิตามินบี ซี กรดอะมิโน ก็จะกลายเป็นภาระของไตต้องกรอง ไตทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆเพราะเรากินมากขึ้นตามความเรียกร้องของสมอง เพราะร่างกายที่ขาดสารอาหารละลายน้ำ ยิ่งกินมาก น้ำมันก็ยิ่งอุดตัน ไตก็ทำงานหนักขึ้น

แนว โน้มคนป่วยโรคไต ไตวายเรื้อรังมีมากถึง 22 ล้านคน ถ้าไม่หักคนป่วยที่ตายไปแบบเฉียบพลันหรือที่เรียกว่า โรคไหลตาย และไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่ต้องฟอกไต (3 ปี) แล้วตาย ประมาณว่า กึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะป่วยเป็นโรคไตใน 10-20 ปี ขึ้นอยู่กับอัตราการบริโภคน้ำมันพืชฯ ส่วนอีกกึ่งหนึ่งก็ตายเพราะโรคมะเร็ง เพราะสารอาหารสำคัญที่ ละลายน้ำไม่ถูกดูดซึมเป็น 10 ปี (สังเกตจากกรณีพระประชวร ของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ ที่ทรงเสวย พระกระยาหารแบบเรียบง่าย เหมือนพสกนิกรทั่วไป หลังจาก เคยหายจากโรคมะเร็งไปนานถึง 10 ปี)

คน ไทยร้อยละ 70 กำลังเป็นโรคอ้วน เพราะการบริโภคน้ำมันพืชฯ ค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันพืชฯ ต่อคนต่อเดือนสูงถึง 1.1 กก. หรือประมาณ 1 ลิตร นั้นหมายความว่ามีคนเมืองจำนวนมาก ที่กินน้ำมันพืช มากกว่า 1.1 กก. เพราะในชนบทห่างไกล คนไทยจำนวนหนึ่งมิได้ใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี แต่ใช้น้ำมันหมูบ้าง น้ำมันมะพร้าวบ้าง

ใน ราวต้นปี 2550 บริษัทฟ้าสฟู้ด KFC ในต่างประเทศ ได้ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจน โดยไม่บอกเหตุผลจึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า เพราะเหตุใดธุรกิจจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรการปรุงอาหาร เพิ่มต้นทุนการผลิตของตนเอง ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงทางการตลาดและกำไรที่ลดน้อยลง

ทำไมน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีจึงมีอันตรายสะสม ?

คำ ตอบก็คือ การสกัดด้วยความร้อนทำให้เกิดการไหม้เกรียมและดำ ทำให้ต้องใช้เคมี เช่น โซดาไฟ ฟอกขาว และการเติมไฮโดรเจนทำให้น้ำมันพืชเก็บไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืนง่าย แต่ ไฮโดรเจนก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี ทำให้น้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัวกลายเป็นน้ำมันพืชอิ่มตัว และมีลักษณะหนืด เหนียว จับกุมเป็นก้อนแข็งในอุณหภูมิ 37-40 องศาเซลเซียส

ดร. ณรงค์ โฉมเฉลาได้เขียนบทความ ''น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตรายหรือประโยชน์ต่อสุขภาพ" ในวารสาร "เกษตรกรรมธรรมชาติ" ใจความว่า ประเทศที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวมีตัวเลขการตาย จากโรคหัวใจและมะเร็งต่ำกว่าประเทศที่บริโภคน้ำมันพืชอื่น แล้วทำไมจึงมีงาน วิจัยในอดีตที่กล่าวหาว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นสาเหตุของโรคหัวใจวายในอดีต จนทำให้ใครๆ ต่างหวาดผวาน้ำมันมะพร้าว และเชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวมีไขมันอิ่มตัวสูง มีคอเลสเตอรอลสูง

ก็ เพราะ American Soybean Association ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในอเมริกา วิจัยผลเสียของน้ำมันมะพร้าว เพื่อส่งออกถั่วเหลืองในตลาดโลก

ข้าพเจ้า อยากเตือนคนไทยทั้งหลาย โปรดสำรวจตนเองว่าท่านกินน้ำมันวันละกี่ซีซี มันระบายออกมาได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าท่านไม่หยุดกิน โรคไต โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคภูมิแพ้ โรคความดันเลือดสูง โรคมะเร็ง ฯลฯ จะมาเยือนท่านไม่ช้าก็เร็ว

นิตยสาร หมอชาวบ้าน ปีที่ 25 ฉบับที่ 291 ประจำเดือน ก.ค. 2546 ลงบทความ "น้ำมันพืชใช้อย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัย" แนะนำว่า การผัดอาหารควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงเช่น น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว แต่หากจะทอดอาหารแล้วควรใช้น้ำมันพืชหรือสัตว์ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะการทอดใช้ความร้อนสูง และจุดเดือดน้ำมันพืชประมาณ 180 องศาเซลเซียส จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด เรียกรวมๆว่า โพลาร์คอมเพาวด์ (Polar Compound) สารเคมีชนิดนี้ข้าพเจ้าเคยพบด้วยกลิ่นที่ทำให้แสบจมูก มีพ่อค้าทอดขนมกู๋ไช่คนหนึ่ง มีอาการตาพร่ามัวจึงไปพบจักษุแพทย์ และได้รับคำแนะนำให้เลิกอาชีพขายอาหารทอดอาหารผัดอย่างถาวร มิฉะนั้น จะตาบอดได้

ทำไมน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อย่างน้ำมันหมู และน้ำมันมะพร้าว จึงเหมาะแก่การทอด ?

คำ ตอบก็คือ น้ำมันทั้งสองชนิดนี้เป็นน้ำมันที่มี กรดไขมันอิ่มตัวสูง (น้ำมันหมู 40% น้ำมันมะพร้าว 88%) มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่จับกับธาตุคาร์บอน (C) ในลักษณะแขนเดี่ยว (single bond) เมื่อโดนความร้อนสูง ก็ทำให้อาหารกรอบ อร่อย ไม่มีสารเคมีเป็นพิษ และน้ำมันที่ใช้ทอดแล้วก็เก็บไว้ทอดซ้ำเกิน 2 ครั้งไม่ได้เพราะจะดำและเหม็นหืน ซึ่งผิดกับน้ำมันพืชอื่นๆ ซึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งมีโครงสร้างเคมีเป็นแขนคู่ (double bond) ในการจับกับธาตุคาร์บอน จึงสามารถจับกับ ธาตุไฮโดรเจนเพิ่มได้อีก 2 อะตอม จึงเหมาะกับการเติมไฮโดรเจน ( Hydrogenation) ซึ่งเรียกว่า Trans Fatty Acid (TFA)

'Trans Fat' นี้เป็นผลลัพธ์ของความพยายามที่จะทำให้น้ำมันพืช มีลักษณะเหมือนน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ที่ทำให้อาหารทอด กรอบอร่อย แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน มะเร็งเต้านม เพราะน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี เหล่านี้ไม่สามารถขับออกจากร่างกาย ได้ง่ายๆ เหมือนน้ำมันมะพร้าวที่ละลายน้ำได้

บาง คนที่เป็นปู่ย่าตายายในขณะนี้ (อายุ 70 ปีขึ้นไป) จะบอกกล่าวว่า พ่อแม่ของท่านใช้น้ำมันหมู และน้ำมันมะพร้าว ทำอาหาร และท่านก็มีอายุถึง 90 ปีกว่าก่อนเสียชีวิต ไม่ได้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเลย แต่ก็มีอายุยืนยาวได้ ในทางกลับกัน คนไทยในสมัยนี้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมานานกว่า 30 ปี กลายเป็นโรคเบาหวานกันทั่วประเทศทุกหมู่บ้าน เด็กๆ ก็กลายเป็นโรคอ้วน เบาหวานในเด็ก ก็ลุกลามใหญ่โต จนในปีนี้องค์การเบาหวานโลก ได้เน้นการรณรงค์เบาหวานในวัยรุ่น ปีหนึ่งๆ จะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นในโลก ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน

สาร เคมีที่กินเข้าไปคือ polar compound ยังไม่มีใครประกาศออกมาเลยว่ามีผลร้ายอย่างไร แต่ที่แน่ๆคือ มันหนืดเมื่อโดนความร้อนสูง และติดหนึบหนับในลำไส้เล็กของเรา จนทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารที่ละลายน้ำเช่น กรดอะมิโน วิตามินบี ซี เป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยต่างๆโดยเฉพาะ การเจ็บป่วยแบบสะสม ค่อยเป็นค่อยไปซึ่งยากต่อการสังเกตเห็น

บาง คนอาจจะสงสัยว่าทำไมบทความนี้ เชียร์แต่น้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวเคี่ยวเอง น้ำมันปาล์ม ก็มีระดับกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึง 48% ไม่เหมาะกับการทอดหรืออย่างไร ? จริงๆ แล้วก็เหมาะสม ถ้าผ่านการหีบเย็น แต่น้ำมันปาล์มที่ขายอยู่นั้นผ่านกรรมวิธี refined, bleached, deodorized จึงมี polar compound เมื่อทอด

น้ำมัน พืชที่ได้จากการสกัดแบบธรรมชาติ คือ หีบเย็น (Cold press) หรือ การบีบคั้นโดยไม่ใช้ความร้อน ส่วนใหญ่แล้วดี มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่เมื่อเอาไปดัดแปลงทางเคมี เติมไฮโดรเจนเข้าไปก็เลยเป็นโทษ น้ำมัน พืชที่หีบเย็นถ้านำมากิน โดยไม่ผ่านการผัด การทอดก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย สปาหลายแห่งจึงนำไปใช้เสริมสวย บำรุงผิวให้ลูกค้า

นิตยสาร 'เกษตรกรรมธรรมชาติ' ฉบับ 2/2548 บทความพิเศษ "น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตรายหรือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ" โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา กล่าวไว้ว่า "น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันพืชที่ ประเทศต่างๆ ในเอเชียและแปซิฟิกใช้เป็นแหล่งพลังงาน และการหุงหาอาหารมาช้านานโดยไม่ปรากฏอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2521 ประเทศ ศรีลังกา เป็นเทศที่ใช้น้ำมันมะพร้าวมากที่สุดประเทศหนึ่ง มีอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ อุดตันเพียง 1 ในแสนคน เปรียบเทียบกับ 187 ในแสนคนในประเทศที่ไม่ได้ใช้น้ำมันมะพร้าว"

ดร. ณรงค์ยังกล่าวด้วยว่า "น้ำมันมะพร้าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เนื้อมะพร้าว กับน้ำมะพร้าวลดระดับโคเลสเตอรอลอย่างมีนัยสำคัญ น้ำมันมะพร้าวเพิ่มปริมาณของ High density lipoprotein (HDL) ได้มากกว่าน้ำมันถั่วลิสง น้ำมันมะพร้าวไม่เพิ่มอัตราส่วนของ LDL ต่อ HDL ในขณะที่ไปลดระดับของไตรกลีเซอไรด์"

ข้าพเจ้า คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย แม้ว่าท่านทั้งหลาย จะไม่ได้บันทึกการทดลองทางเคมี ชีวะ ไว้ให้เราศึกษา แต่อย่าลืมว่าท่านได้ใช้ร่างกายของท่าน ทดลองเพื่อพวกเรามานานแสนนานแล้ว

ข้าพเจ้าได้คัดลอกความเห็นตอบกระทู้ของ ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา มาเพื่อท่านจะได้อ่านสะดวกดังนี้ :

คน ไทยใช้กะทิประกอบอาหารหวานคาวมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยไม่ปรากฎว่ามีใครเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคอ้วน จนกระทั่งเราเปลี่ยนมาบรโภคนำมันไม่อิ่มตัว กะทิกับน้ำมันมะพร้าว เป็นสารตัวเดียวกัน แต่อยู่ในรูปต่างกัน มีข้อดีคือ
1.มี ความอิ่มตัว ทำให้ออกซิเจน และไฮโดรเจนเข้าแทรกไม่ได้ จึงไม่เกิด trans fat และไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งและทำอันตรายต่อเซลในร่างกาย
2.เป็น โมเลกุลขนาดกลาง จึงเคลื่อนย้ายในร่างกายได้รวดเร็ว จากกระเพาะไปลำไส้ และเข้าไปเปลี่ยนเป็นพลังงานในตับ จึงไม่สะสมเป็นไขมัน ดังเช่นน้ำมันไม่อิ่มตัว
3.มีภูมิคุ้มกันเกิดจากกรดลอริก ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับนมแม่ที่ช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันโรค อีกทั้งยังทำลายเชื้อโรคแทบทุกชนิดได้
4.มีวิตามินอี ที่มีอานุภาพช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำลายเซลล์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และโรคแห่งความเสื่อมอีกหลายโรค
มี ประจักษพยานมากมายจากชนชาติที่บริโภคกะทิ และน้ำมันมะพร้าวมาเป็นเวลานับพันปี โดยไม่มีผู้ใดเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ฯลฯ จนกระทั่งพวกเราหันไปบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว ภูมิปัญญาของคนไทยคือการใช้กะทิในอาหารไทย ช่วยให้ปลอดโรค ร่างกายแข็งแรง และไม่อ้วน

เกือบ 30 ปีมาแล้วที่เราถูกเขาหลอกให้บริโภค น้ำมันไม่อิ่มตัว เพราะผลประโยชน์อันมหาศาล แต่ได้ทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันมะพร้าวและกะทิของเรา รวมทั้งรายได้ของชาวสวนมะพร้าว ตลอดจนต้องเสียเงินอีกมาก ในการสั่งซื้อน้ำมันไม่อิ่มตัวเข้ามาบริโภค และในการรักษาโรคที่เกิดจากการบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว ถึงเวลาแล้วที่เราจำต้องตอบโต้ กับการปรักปรำกะทิและน้ำมันมะพร้าว และรณรงค์ให้คนไทยหันกลับมาบริโภคกะทิ ดังที่บรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติมาเป็นแล้วช้า

Ref : //www.ladyinter.com/forum_posts.asp?TID=4776&PN=10&title=85


Create Date : 20 กันยายน 2553
Last Update : 20 กันยายน 2553 22:10:45 น. 2 comments
Counter : 1748 Pageviews.  
 
 
 
 
ไว้จะลองซื้อน้ำมันมะพร้าวมาทำอาหารทานบ้าง
ใช้ได้ทั้งผัดและทอดนะคะ
วันก่อนเลือกไม่ถูกระหว่างน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันมะกอก
 
 

โดย: หมีสีชมพู วันที่: 22 กันยายน 2553 เวลา:16:54:44 น.  

 
 
 
 
 

โดย: คนเดินดิน (หน้าใหม่อยากกรอบ ) วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:16:31:13 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

เพราะวันนี้ของลูกมีวันเดียว
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชื่อ เปิ้ล ค่ะ

มีลูก 2 คนแล้ว คนโตน้องป้าง อายุ 2.8ปี คนเล็กน้องปรายฟ้า 2 เดือนครึ่ง

ตัดสินใจสมัคร slimup เพราะทนสภาพตัวเองไม่ไหวแล้ว มันอ้วนเป็นหมูมานานมาก อยากจะผอมๆ ใส่เสื้อผ้าสวยๆ กับเค้าบ้าง เบื่อ size xxl แล้ว....

เป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย แต่ตอนนี้มีเวลามากขึ้น เพราะไม่ได้ทำอะไร เลยคิดว่า เข้า slim up เป็นประจำ + ควบคุมอาหาร น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้างนะ

part 1. อยากลดให้ได้ซัก 10 กิโล ก็พอใจแล้วค่ะ (consult บอกว่าน่าจะใช้เวลา 2 เดือนนะ) เอ้า สู้ๆๆ

13/9/2553
น้ำหนักแรกเริ่ม 83.0 กก.

มีเพื่อนๆ ที่เข้า slimup มาเขียนบล๊อกบ้างมั้ยคะ อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง treatment ว่าชอบตัวไหน ตัวไหนใช้ดี อย่างไร แอ๊ดมาคุยกันนะคะ
[Add เพราะวันนี้ของลูกมีวันเดียว's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com