Bloggang.com : : ตุ้งแง่ว :

ประเดิม "คุกหลักสี่" สถานที่คุมขังใหม่ ลุ้นจับตาใครบ้าง! 50 ผู้ต้องขังชุดแรก

หลังจากเป็นที่แน่นอนแล้วว่า “เรือนจำชั่วคราวหลักสี่” หรือ “สถานควบคุมพิเศษ” กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จะได้ฤกษ์เปิดใช้งานในช่วงหลังปีใหม่ พ.ศ.2555 ทำให้ประชาชนต่างให้ความสนใจไม่น้อย โดยมีประเด็นถกเถียงว่า “ใครบ้าง” จะมีสิทธิได้มีโอกาสเป็นผู้ถูกเลือก ให้ได้มีโอกาสย้ายเข้ามาอยู่ ณ สถานที่คุมขังแห่งนี้ แต่ถ้าหากย้อนกลับไปดูเจตนารมณ์ของ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่ระบุว่าไม่ได้เจาะจงเอื้อประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่หมายรวมถึง “ผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 37 เปอร์เซ็นต์ จากผู้ต้องขังทั้งหมดกว่า 2 แสนคน เนื่องจากคนกลุ่มนี้ ยังไม่ใช่ผู้ต้องขังเด็ดขาด มีโอกาสเป็นทั้งผู้บริสุทธิ์และผู้กระทำผิด ดังนั้น สถานที่ควบคุมตัวก็ควรแยกจากผู้ต้องขังต้องคำสั่งเด็ดขาดไปแล้ว ที่สำคัญปัจจุบันไทยไม่มีนักโทษการเมือง มีแต่กลุ่มที่มีแรงจูงใจทางการเมือง”

ขณะเดียวกัน นายถิรชัย วุฒิธรรม เลขานุการ รมว.ยุติธรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม ย้ำถึงการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ต้องขังที่จะถูกย้ายจากเรือนจำต่าง ๆ มาควบคุมที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ ว่า พ.ต.อ. สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาอย่างเร่งด่วน โดยคณะกรรมการจะประกอบด้วย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 3 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ส่วนควบคุม ซึ่งจะพิจารณาคุณสมบัติผู้ต้องขัง โดยยึดตามข้อเสนอของคณะกรรมการ (คอป.) และของ พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ด้วยเช่นกัน

เมื่อทางสังคมให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่อง ผู้ต้องขัง ที่จะได้สิทธิย้ายมายังเรือนจำพิเศษหลักสี่ ทำให้ทางกรมราชทัณฑ์ต้องตั้ง คณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ผู้ต้องขังที่เข้าข่ายโอนย้ายไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ ทั้งนี้ นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายปฏิบัติการ ซึ่งเป็น 1 ในคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ผู้ต้องขังฯ ให้ความเห็น ว่า คณะกรรมการฯได้พิจารณาตามข้อเสนอคณะกรรมการ (คอป.) ซึ่งคณะรัฐมนตรีเคยมีมติเห็นชอบไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งเรื่องการชะลอการดำเนินคดีอาญากับกลุ่มผู้ต้องหาในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ช่วงเดือน เม.ย.2552 การขอให้ปล่อยตัวชั่วคราว และมีมาตรการเยียวยา โดยคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ก็มีความเห็นตามข้อเสนอ คอป.

ขณะนี้ทีมกฎหมายของกรมราชทัณฑ์อยู่ระหว่างดำเนินการร่างหลักเกณฑ์ โดยกำหนดให้ผู้ต้องขังคดีอาญาทั้งความผิดฐานวางเพลิง เผาทรัพย์ ก่อการร้าย หรือคดีอื่น “ที่มีมูลเหตุจูงใจมาจากเรื่องทางการเมือง” ให้เข้าข่ายที่จะได้โอนย้ายไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ โดยการพิจารณาคุณสมบัติผู้ต้องขัง มีข้อยกเว้นว่า ต้องเป็น “ผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีเท่านั้น” สำหรับผู้ต้องขังในคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจจากการเมือง ขณะนี้มีจำนวนกว่า 70 ราย (มี 20 รายที่คดีเด็ดขาดแล้ว) ดังนั้นจึงเหลือผู้ต้องขังที่เข้าข่ายย้ายเรือนจำ 50 คน

นายกอบเกียรติ กล่าวทิ้งท้ายว่า ’การพิจารณาแยกขัง เพราะข้อเสนอ คอป.และหลายฝ่ายเห็นว่า คดีที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง อาจมีการตั้งคดีที่รุนแรงเกินไป หรือมีเรื่องการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องในการดำเนินคดี ซึ่งในส่วนของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพก็จะเดินหน้าในเรื่องการช่วยประกันตัวผู้ต้องขังในคดีที่มีมูลเหตุจากเรื่องการเมืองเช่นกัน เพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ส่วนการย้ายผู้ต้องขังที่เข้าข่ายเป็นนักโทษการเมืองไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ จะต้องรอจนกว่าการปรับปรุงเรือนจำดังกล่าวจะแล้วเสร็จ“.

................................

เรือนจำชั่วคราวหลักสี่

“เรือนจำชั่วคราวหลักสี่” หรือ สถานควบคุมพิเศษ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังสโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต ฝั่งขาเข้า (โรงเรียนพลตำรวจบางเขนเดิม) เคยใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษเกี่ยวกับคดีการเมืองมาก่อน มีลักษณะเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ซึ่งดัดแปลงมาจากห้องเรียนของโรงเรียนพลตำรวจฯ หลังจากโรงเรียนพลตำรวจฯย้ายไปแล้วเริ่มถูกปล่อยทิ้งร้าง กระทั่งมีการปรับปรุงสภาพครั้งใหญ่เปลี่ยนจากอาคารไม้เป็นอาคารปูน 4 ชั้น จึงกลายเป็นข่าวครึกโครม เพราะบางกระแสร่ำลือว่าอาจเตรียมไว้สำหรับคุมขัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

สภาพเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ แม้จะอยู่ในพื้นที่ของความรับผิดชอบดูแลพื้นที่ของ บช.ส. แต่เรือนจำแห่งนี้ถือเป็นเรือนจำเครือข่ายของ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ภายใต้การดูแลของ นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยมี นายสุเชาว์ สมัครธรรม
นักทัณฑวิทยาชำนาญการ เป็นหัวหน้าฝ่ายควบคุมเรือนจำ มีการแบ่งหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์และตำรวจอย่างชัดเจน โดยตำรวจรับผิดชอบพื้นที่รอบนอก ส่วนบริเวณเรือนจำเป็นหน้าที่ของราชทัณฑ์ ระเบียบการควบคุมในเรือนจำแห่งนี้ก็ไม่แตกต่างจากเรือนจำปกติที่ต้องมีเวลาขึ้น-ลงเรือนนอน และช่วงเวลากิจกรรม มีการแยกห้องขังระหว่างชาย-หญิง แต่ละชั้นสามารถรองรับผู้ต้องขังได้ประมาณ 100 คน รวมชั้นห้องขัง 3 ชั้นก็น่าจะมีผู้ต้องขังได้ 300 คนเศษ

ขณะนี้กำลังเร่งปรับปรุงอาคารทาสีส้มนวล รั้วโดยรอบมีลักษณะครึ่งปูนครึ่งราวเหล็ก อาคารเรือนจำมีรูปทรงตัวแอล สูง 4 ชั้น (ไม่รวมชั้นดาดฟ้า) ชั้นที่ 1 ภายในชั้น 1 ยังมีห้องเยี่ยมสำหรับทนาย และห้องเยี่ยมญาติ มีทั้งหมด 5 ห้อง แต่ละห้องจะมีโทรศัพท์ไม่ไร้สายสำหรับญาติกับผู้ต้องขังใช้สื่อสารกันผ่านช่องกระจกที่เห็นได้แค่ใบหน้า หากต้องการได้ยินเสียงก็ต้องยกหูโทรศัพท์ด้วย ชั้น 2 จะมีประตูลูกกรงยาวตั้งแต่เพดานจดพื้น ข้ามประตูเข้าไปจะเป็นทางเดินส่วนกลาง ถือเป็นชั้นคุมขังชั้นแรกของอาคาร ภายในห้องขังมีห้องอาบน้ำและห้องน้ำแบบคอห่านไม่มีประตูอยู่ด้านท้ายห้อง เมื่อเดินสำรวจจะพบว่าห้องขังจะมีขนาดแตกต่างกันไปทั้งแบบพอดี และแบบกว้างสำหรับขังผู้ต้องขังจำนวนมาก (ขนาดทั้ง 4 x4 เมตร และ 8x12 เมตร)

ชั้นที่ 3 เป็นชั้นสำหรับขังทั้งหมด เหลือโถงกลางของแต่ละชั้นไว้ให้ผู้ต้องขังสามารถออกมาเปลี่ยนอิริยาบถได้ เนื่องจากพื้นที่เรือนจำแห่งนี้ค่อนข้างจำกัด ไม่มีพื้นที่กิจกรรมหรือสนามหญ้าขนาดใหญ่ให้ออกกำลังกาย สำหรับชั้นที่ 4 กำลังเร่งก่อสร้างติดตั้งลูกกรง ส่วนชั้นดาดฟ้า รอบด้านมีผนังปูนและลูกกรงเหล็กสูงจากขอบกำแพงอีกกว่า 1 เมตร หากมองจากด้านนอกเข้ามาในตัวอาคารสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือการตีไม้เป็นตารางไม่ถี่มากนักปิดบังบริเวณกระจกห้องขังทุกห้อง โดยมีลูกกรงเหล็กทับไว้อีกชั้น ทำให้บุคคลภายนอกไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ภายในได้.

ไอรดา ขันธอุดม

Create Date : 03 มกราคม 2555

0 comments

Last Update : 3 มกราคม 2555 12:08:35 น.

Counter : 784 Pageviews.