Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2548
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
28 มิถุนายน 2548
 
All Blogs
 
~:~ ความทรงจำเรื่องบ้านสวน และเพื่อนสี่ขา ~:~

ตั้งแต่ฉันจำความได้ ฉันก็อาศัยอยู่ที่บ้านสวนที่เป็นบ้านของย่ากับก๋ง เวลาที่พ่อกับแม่ออกไปทำงานก๋งจะเป็นคนเลี้ยงฉันคู่กับลูกพี่ลูกน้องรุ่นราวคราวเดียวกันอีก 3 คน โดยมีเราเป็นพี่คนโตของตระกูล รวมกันก็เป็นสี่แสบพอดิบพอดี

ด้วยความที่ตอนนั้นบ้านที่เราอาศัยอยู่เป็นบ้านสวนสองชั้น ชั้นล่างตรงกลางบ้านพอดิบพอดีจะเป็นจอมปลวกขนาดใหญ่ที่ถูกล้อมรั้วเอาไว้ ด้านหน้าที่เป็นประตูเพื่อเปิดเข้าไปไหว้ จะเป็นโต๊ะตอนนั้นก๋งจะเรียกว่าล้านที่เอาไว้นอนดูทีวี

มีห้องนอนของแม่กะป๋า อยู่ริมบ้าน มีห้องเก็บของกั้นไว้และถัดไปเป็นห้องครัว และเลยไปอีกนิดด้านนอกบ้านจะเป็นลานขนาดใหญ่ที่ต่อเติมขึ้นมา เป็นห้องนอนอีกห้องของอาคนเล็ก ก็แม่ของเจ้าสามคนนั้นนั่นเอง ตรงนี้จะมีชานที่ทำลอยออกไปกลางแม่น้ำ มุงด้วยจาก เพราะรอบบริเวณนั้นจะเต็มไปด้วยต้นจาก และเวลาก๋งลงไปตัดจากที่ไร พวกเราก็จะนั่งรอกินจากหวาน ๆ ที่ก๋งจะขึ้นมาเฉาะให้กินทุกคน

และแม่น้ำสายนั้นนี่เองที่เป็นแม่น้ำสายที่สี่แสบหัดว่ายน้ำ และทำให้เราพอว่ายน้ำได้ กับหลักไม้ไผ่ที่ลุงเป็นคนลงไปปักไว้ ให้พวกหลาน ๆ หัดว่ายน้ำ โดยโผจากหักโน้นไปหลักนี้ อย่างสนุกสนาน แต่ฉันมาเสียความรู้สึกเรื่องว่ายน้ำก็ตอนที่ไปเรียนที่โรงเรียนแล้วมีวิชาว่ายน้ำ ครูให้โดนจากสปริงบอดแต่ฉันไม่ยอมโดด ก็มันลึกนี่หน่าใครจะไปกล้าโดดหลักก็ไม่มี ครูเลยผลักเราลงไปโดยใช้ไม้ยาว ๆ ที่ด้านปลายเป็นกระชอนไว้สำหรับช้อนใบไม้ จำได้ว่าตั้งแต่วันนั้น กลัวน้ำมาตลอด เพราะจมน้ำและกินน้ำไปหลายอึกกว่าครูจะส่งไม้ลงไปให้จับ แล้วลากเข้าหาฝั่ง

ชั้นสองของบ้านมีสองห้อง ห้องติดบันไดทางขึ้นเป็นห้องว่าง ที่พวกเราสี่แสบมักจะขึ้นไปแอบเล่นกันอยู่เสมอ ห้องที่ติดกันเป็นห้องก๋ง และ ย่าจะนอนอยู่ด้านนอกโดยการกางมุ้ง ย่าบอกว่านอนในห้องไม่สบายอากาศไม่ถ่ายเท ตรงนี้เวลากลางคืนจะเป็นที่ ๆ ทุกคนมารวมกันดูทีวี และเป็นที่ ๆ จะเห็นย่านั่งสมาธิอยู่หน้าหิ้งพระขนาดใหญ่อยู่เสมอ

หน้าต่างบานตรงข้ามกับบันได เป็นที่ ๆ พวกเราจะแอบย่องไปเก็บมะกอกน้ำต้นใหญ่ทะลุขึ้นมาจากริมคลอง และเอนตัวเข้าหาบ้าน แต่กว่าจะไปถึงต้นมะกอกน้ำต้นนั้น เราก็ต้องค่อยๆ ย่องผ่านสังกะสีหลายแผ่นใจก็ตุม ๆ ต่อม ๆ ว่าเราจะหล่นไปข้างล่างหรือเปล่าโดยจะส่งคนที่ตัวเล็กสุดออกไปก่อน

แต่ด้วยความที่เจ้าแสบคนสุดท้ายตัวเล็ก มือก็เลยเล็กตาม มันเก็บมาไม่พอให้พี่ ๆ ทั้งสามคนกิน เราก็เลยต้องเป็นคนออกไปเก็บมาเสียเอง คราวนี้แทนที่สังกะสีมันจะหลุด มันกลายเป็นว่าเสียงย่ำสังกะสีมันดังจนปลุกก๋งให้ตื่นขึ้นมาจนเราทุกคนโดนตีขาลายเพราะซนปีนหลังคาบ้านเก็บมะกอก

ด้วยความที่บ้านเป็นบ้านสวนรอบ ๆ บ้านจึงรายล้อมไปด้วยผลหมากรากไม้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชมพู่แก้มแหม่ ชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่สีเขียวจำไม่ได้ว่าพันธ์อะไร แต่ที่รู้มันมีรสที่หวานมาก ๆ แต่กัดไปทีไรเจอแต่หนอนครึ่งตัวทุกที

จนทุกวันนี้ยังระแวงทุกครั้งที่กินเจ้าชมพูสีเขียว แถมตอนนั้นใครปีนขึ้นไปเก็บชมพู่ ก็จะนั่งกินอยู่ข้างบน คนข้างล่างขอก็จะเหวี่ยงลงมารับได้บ้างไม่ได้บ้าง แถมถูกหัวบ้างก็ยังมี แต่คนที่หัวโนที่สุดคงจะเป็นน้องคนสุดท้องของบ้านที่ตอนนั้นยังเด็กพอที่จะเป็นลูกไล่ของพวกพี่ ๆ ทั้งสามคน

ต่อมาจะเป็นส้มโอ ส้มเขียวหวาน ลิ้นจี่ ลำไย มะไฟ มะกอกน้ำ ฝรั่ง ลูกหว้า พุทรา ตะลิงปลิง ชำมะเลียง ขนุน น้อยหน่า ละมุด มะเฟือง และมะพร้าวน้ำหอม ที่ว่ามานี้ มีอย่างละสองสามต้น แต่ที่ดูจะปลูกอยู่เยอะที่สุดในสวนก็คงไม่พ้นมะพร้าวและต้นหมาก ที่ปลูกอยู่รอบ ๆ สวนเลยทีเดียว

จำได้ว่า ไอ้เจ้ามะพร้าวนี่แหละที่สี่แสบต่างแย่งกันกิน เพราะจะมีมะพร้าวบางลูกที่มันกลายเป็นมะพร้าวกะทิ ที่แสนอร่อย ความสุขในตอนนั้นคือการได้ไปนั่งกินมะพร้าวกะทิ อยู่บนต้นมะไฟ ที่ทอดตัวเป็นสะพานข้างระหว่างร่องสวนที่มีน้ำอยู่ข้างล่างคือถ้าพลัดตกลงไปก็ได้เล่นน้ำแทนกินมะพร้าว ดีไม่ดีจะอดกินมะพร้าวไปด้วยเพราะตกลงไปทั้งมะพร้าวและทั้งคน

หลังจากหลังคาบ้านที่เป็นที่เสี่ยงภัยที่น่าเล่นแล้วรองลงมาก็เป็นร่องน้ำ ตอนนั้นก๋งจะทำสะพานเล็ก ๆ แล้วมีไม้ปักหลักไว้เพื่อนพยุงตัว ความที่ซนเป็นเด็ก ๆ อยากลอง ก็ลองไปเดินกัน อันไหนเป็นสะพานที่ทำจากไม้ไผ่ก็จะเล็กหน่อย ถ้าทำจากต้นหมากก็จะหมากต้นก็จะใหญ่เดินได้สะดวกกว่า

แต่มีบางครั้งที่ก๋งไม่เดินสะพาน ก๋งก็จะกระโดดข้ามท้องร่องไปเลย เรียกว่าพอพวกสี่แสบเห็นเท่านั้นแหละความคิดบรรเจิดก็แว่บเข้ามาในสมอง ไม่เอาแล้วสะพานไม่มันมันต้องกระโดดข้ามท้องร่อง ใครโดดได้ก็เจ๋งที่สุด เราเลยความที่เป็นพี่คนโต ก็เลยเป็นคนลองก่อน เริ่มจากท้องร่องที่มันดูแคบ ๆ แล้วก็น้ำน้อย ๆ ตั้งหลักได้ไกลจากท้องร่องพอสมควร

พอเจ้าพวกคนเชียร์เริ่มนับหนึ่ง เราก็เริ่มวิ่งแล้วก็ ก ร ะ โ ด ด ปรากฏว่าเกือบหงายหลังตกลงไปในท้องร่องแทน แต่ก็ถือว่าผ่าน

แล้วสี่แสบก็กระโดนท้องร่องแคบ ๆ ผ่านกันทุกคน ยกเว้นเจ้าตัวเล็กที่มันกระโดดไม่ผ่าน เพราะมันตกลงไปกลางท้องร่องพอดี แล้วเสียงร้องไห้ของมันก็เรียกก๋งให้มาฟากรอยแนวไม้มะยอไว้ที่ขากันแทบทุกคน แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ความเมามันลงลง เพราะพอก๋งเผลออีกเมื่อไร พวกเราก็จะออกไปลองของกันอีกทุกครั้ง

ท้องร่องนี้ความลึกของมันก็แค่เอวเวลาน้ำขึ้น ก็จะสูงขึ้นมาอีกหน่อย และในท้องร่องนี้มันก็มีอะไรให้เราเล่นอีกหลายอย่าง ในท้องร่องเวลาน้ำลดจะมีปลาตัวเล็ก ๆ หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นปลานกยูง ปลาเข็ม และปลาอะไรอีกก็จำไม่ได้ แต่ที่จำได้แม่นก็คือ ไอ้เจ้าปลาตัวเล็กเท่าปลานกยูง แต่มันมีจุดสีเงินอยู่บนหัว เราเรียกมันว่าปลาสามตา พอเห็นมันโผล่มาเมื่อไร เราเป็นต้องหากระชอนกระป๋องมาไล่ช้อนมันกันเสียทุกครั้ง ขังไว้ได้ไม่กี่วันก็โดนก๋งแอบเอาไปปล่อย ปลาอีกอย่างที่มีอยู่ริมคลองตรงที่เป็นขี้เลน จะเป็นพวกปลาตีน และในคลองที่เราฝึกว่ายน้ำก็จะมีกุ้งแม่น้ำโผล่มาเป็นพัก ๆ

ย่า เป็นคนไม่ค่อยตีหลาน ๆ เพราะย่าวัน ๆ จะวุ่นอยู่กับการทำขนม เพื่อออกไปขายตอนเช้า ๆ ที่สะพานใหญ่ก่อนถึงทางเข้าบ้าน ถ้าวันไหนเราตื่นเช้าก็จะออกไปช่วยย่าขายของ ถ้าวันไหนตื่นสายก็จะโดนย่าเรียกช่วยทำไส้ขนม แต่หลัง ๆ ย่าไม่ค่อยเรียก เพราะเวลาย่าทำขนมเทียนทีไร เรามักแอบกินไส้ที่เรียกว่าไส้เค็มอยู่เสมอแถมไม่กินคนเดียวมีแอบส่งที่เหลือให้สมุนสี่ขาอีกต่างหาก

มีครั้งหนึ่ง ตอนที่ออกไปช่วยย่าขายขนม จำได้ว่าที่ใต้สะพานมีจระเข้ตัวใหญ่ แต่มันตายแล้วนะ โดนลอกหนังไปหมดแล้ว ลอยมาติดอยู่ที่ใต้สะพาน กลิ่นงี้ไม่ต้องพูดถึง เพราะเหม็นตลบไปทั่ว แล้วแมลงวันหัวเขียวก็ตอมเต็มไปหมด ปรากฏว่าเช้าวันนั้นขายขนมได้ไม่หมด เพราะคนไปสนใจจระเข้เน่าตัวนั้น เลยพาลกินขนมไม่ลง

และตั้งแต่วันนั้นคลองหน้าบ้านที่เราไปหัดว่ายน้ำกันก็ไม่มีใครกล้าลงไปว่ายน้ำอีกนาน แม้ว่าย่าจะบอกว่ามันโดนทิ้งมาจากที่อื่นในคลองไม่มีจระเข้เป็น ๆ ก็เหอะ ไม่เอาไม่ว่ายแล้ว พอหมดจากกรณีจระเข้ ก็ยังมีหนาเน่าลอยน้ำมาอีก เฮ้อออ..สยองบวกเหม็น

ในบ้านสวนจะมีสัตว์ที่ย่าเลี้ยงไว้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นนกขุนทอง 1 ตัว นกแก้ว 1 ตัว ไก่อีกฝูง เป็ดสี่ห้าตัว ห่านอีกสองตัว กระรอก 5 ตัว และหมาอีกสิบสองตัว

เจ้านกขุนทองนี่จะเป็นพระเอกของบ้าน เพราะย่าจะรักมันมากที่สุด เวลามันเห็นย่ากินหมากทีไร มันก็จะร้องว่า “กินด้วย กินด้วย” พอย่าเผลอ ๆ พวกสี่แสบก็จะไปยืนเกาะกรงเอาโน้นเอานี้ไปแหย่มัน แถมบ้างครั้งด้วยความเป็นเด็ก ก็จะด่ากัน มันก็จะจำได้ และแม่นสุดก็คือ “ไอ้บอยบ้า บอยบ้า บ้า บ้า บ้า” มันจะร้องอยู่อย่างนี้ เพราะเราและน้องคนที่สามชอบด่าไอ้เจ้าน้องชายคนรองจากเราอย่างนี้ มันก็จำแล้วก็เก็บไปด่าแทน พอมันร้องด่าอย่างนี้ทีไร ไอ้น้องคนนั้นมันก็งอนเดินหนีไปไม่ยอมเล่นด้วยเสียทุกที

มาถึงไอ้เจ้านกแก้ว มันก็โดนแหย่ไม่แพ้เจ้าขุนทอง เพราะความที่มันพูดได้ และพูดมาก แต่ถ้าไม่ใช่ย่ามันจะไม่ยอมพูดอะไรเลยที่คนอื่นสอน ความสนุกเลยลดไปกว่าครึ่ง นับว่าเป็นโชคดีของมันไป

สิ่งที่เราเกลียดสุดในบ้านสวน เห็นจะไม่พ้นเจ้าห่านผัวเมียสองตัว ที่เจอกันทีไร มันจ้องจะวิ่งเข้ามางาบขาเสียทุกที ไม่รู้มันกะเราไปโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน เจอกันไม่ได้ มันต้องวิ่งเข้ามาเสียทุกทีไม่ว่ามันจะอยู่ไกลแค่ไหนก็เหอะ จนก๋งต้องจับมันขังไว้ก่อนที่มันจะโดนสมุนสี่ขาองค์รักษ์ของพวกสี่แสบกัดตายเสียก่อน

องค์รักษ์สิบสองตัว ที่มีหน้ามีขน และมีสี่ขา ทั้งสิบสองตัว แถมหน้าตายังไม่เหมือนกันสักตัว ต่างพ่อต่างแม่กันสุด ๆ แล้วอายุยังมีต่าง ๆ กันไปเสียอีก จำได้ว่าจะมีเพียงเจ้าสี่ขาเพียง สี่ห้าตัวเท่านั้นที่คอยแอบตามพวกสี่แสบออกไปผจญภัยในสวน

ทุกครั้งที่พวกสี่แสบม้วนเสื่อ เตรียมเสบียง และหากระป๋อง เบ็ดตกปลา นั่นก็หมายถึงว่าถึงเวลาออกผจญภัยในป่าแล้ว เจ้าสี่ห้าตัวที่เราจำชื่อมันไม่ได้แล้วก็จะเดินตามเป็นพรวนไล่ยังไงก็ไม่กลับ ขว้างด้วยไม้ยังไงก็เดินถอยหลังไปสักห้าหกก้าวแล้วก็เดินตามมาจนพวกเราขี้เกียจไล่

ท้ายสวนเป็นป่าที่พวกเรามักไปผจญภัยกันเสมอ เพราะตรงนั้นจะมีต้นชำมะเลียงต้นใหญ่ที่ออกผลอยู่เสมอ และใต้ต้นก็คือบ้านที่ถูกสมมุติขึ้น เสื่อถูกปู ขนมที่คว้ามาจากบ้าน และผลไม้ที่หาเอาจากในสวนก็จะกองรวมกันอยู่บนเสื่อผืนเล็ก ๆ แล้วต่างคนก็จะต่างหากิจกรรมของตนเองทำ ไม่ว่าจะไปตกปลา ปีนต้นมะไฟ หรือข้ามไปอีกสวนเพื่อประเมินสถานการณ์สวนตรงข้าม คนที่มีหน้าที่นั่งเฝ้าขนมก็จะเป็นคนคนเล็กสุด

แต่พอกลับมาทีไร ขนมมักไม่ค่อเหลือเพราะเจ้าตัวเล็กมันจะแจกขนมเจ้าองค์รักษ์ที่ตามมาโดยไม่ได้เชิญตลอด เหลือทิ้งไว้แค่ผลไม้ บางครั้ง คนไปตกปลาจะไปขุดไส้เดือนที่ดินนุ่ม ๆ ข้าง ๆ ท้องร่องมาใส่กระป๋องนมไว้ ก่อนจะไปวางเบ็ดแล้วก็รอ บางครั้งรอนานเกินไปเดินไปกลับสองสามรอบก็ยังไม่ได้ปลา

มีครั้งหนึ่งได้ปลาช่อนตัวโตติดเบ็ดมา แต่ด้วยความใจอ่อน เพราะในท้องร่องดันมีลูกคอก หรือลูกปลาช่อนมันดำผุดดำว่ายวนเวียนรอแม่มันอยู่ เราก็เลยปล่อยมันไปแทนที่จะเอามันกลับบ้าน

เจ้าสี่ขาห้าหกตัวพอเล่นไปสักพักมันก็จะกระโดนข้ามร่องโน้นร่องนี้ บางตัวมันก็ลงไปนอนแช่น้ำแล้วก็ขึ้นมาสะบัด ๆ ให้พวกเราเปียกกันไปตาม ๆ กัน สุดท้ายมองตากันแล้วก็เลยถือโอกาสจับมันอาน้ำเสียเลย เลยได้อาบทั้งหมาทั้งคน

มันเลยกลายเป็นว่า สี่แสบทุกคน พอโตขึ้นก็ได้นิสัยรักหมาติดหมากันมาทุกคน แต่แปลก ยกเว้นเจ้าน้องชายคนสุดท้องที่คอยนั่งเฝ้าขนม ขานั้นตอนนี้รักแมวมากกว่าหมาแฮะ มันมีปมด้อยอะไรเปล่าหว่า? O_o ?

แล้วเวลามันก็เดินผ่านมาเรื่อย ๆ เราสนุกกันมามากพอจน พ่อแม่ของแต่ละฝ่ายต้องแยกบ้านออกไป เราก็ได้แยกบ้านออกมาก่อน เพราะพ่อมาซื้อบ้านไว้ จริง ๆ มันก็คงเหงานะ ที่อยู่ ๆ ต้องมาอยู่คนเดียว โดยไม่มีเจ้าสามแสบที่เคยเล่นด้วยกันมาด้วย สามคนนั้นคงไม่เหงาเท่าไร เพราะเขามีกันสามพี่น้อง แต่เราเป็นลูกคนเดียวในตอนนั้น

ก๋ง ตามมาอยู่กับเราด้วย เพราะว่า ตอนนั้นพ่อกับแม่ทำงานทั้งคู่แล้วเราก็ต้องไปเรียน ก๋งก็เลยต้องตามมาอยู่ที่บ้านเพื่อนจะอยู่เป็นเพื่อนเรา คอยรับคอยส่ง เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้ ๆ บ้าน ส่วนสาวแสบที่เหลือก็ค่อย ๆ ห่างกันไปด้วยวัย และ ภาวะหน้าที่ แต่ก็ยังมีติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว

หมาตัวแรกที่เราเอามาอยู่บ้านในวันนั้น เป็นลูก ๆ ของเจ้าหนึ่งในสิบสองตัวในบ้านสวนที่ค่อย ๆ ล้มหายตายจากไปบ้างตามอายุไข มันเป็นหมาพันธ์ทางธรรดา สีนวล ๆ มัว ๆ เราเลยตั้งชื่อมันว่า “ไอ้เฆม”
แม่ไม่ค่อยชอบไอ้เฆมเท่าไร จริง ๆ แล้ว แม่ไม่ชอบหมาทุกตัวนั่นแหละ แต่เรากลับรักมัน เพราะมันขี้อ้อน ขี้ประจบ เลี้ยงไปได้ไม่เท่าไรมันก็ตาย เพราะโดนรถชน

ลูกหมาตัวต่อมา เราเอามาจากสวนอีกเหมือนกัน ชื่ออะไรเราก็จำไม่ได้ แต่รู้ว่าเลี้ยงมันยังไม่ทันโต วันที่เราไปโรงเรียนกลับมาก็พบว่ามันมุดรั้วออกมาโดนรถโรงเรียนชนตายอยู่หน้าซอยบ้าน

ต่อจากนั้น เราพักการเลี้ยงหมาไปนาน เพราะทำใจกับการตายไปสองครั้งของหมาไม่ได้ แม่ไม่อยากให้เราละเมอร้องไห้ตอนกลางคืนอีก แต่สุดท้ายเราก็กลับมาเลี้ยงอีกจนได้ “ไอ้แหม่ม” เป็นหมาตัวนั้น หมาสีขาวสะอาดขนยาวปุย แต่โคตรดื้อ เพราะมันไม่ยอมให้อาบน้ำ แถมยังกวนประสาทได้ทุกเรื่องเรียกกินข้าวก็ไปยืนมองอยู่ไกล ๆ พอหันหลังให้มันก็รีบกระดิกหางเข้ามากิน ดู๊ ดูมันทำ

และด้วยความที่มันเป็นหมากวนประสาท พ่อที่ไปเที่ยวเชียงใหม่กลับมาก็ได้หมาพันธ์อัลเซเซี่ยนแท้กลับมาตัวหนึ่งจากฟาร์มของเพื่อนพ่อ เราเรียกชื่อมันตามชื่อนางเอกหนังสือการ์ตูน ว่า “แครอท”

พอแครอทเข้ามอยู่ในบ้าน ความที่มันเป็นหมาอัลเซเซี่ยนแสนรู้ สอนอะไรก็ทำ ฝึกอะไรก็ได้ อาการไม่ชอบหมาของแม่เลยลดลงนิดหนึ่ง แครอทกลายเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว ส่วนไอ้แหม่นนะเหรอ มันก็ไม่สนใจหรอกว่าใครจะไปใครจะมาขอแค่ ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนบอกมันสักหน่อย พอเย็นกลับมาก็ทักมันสักนิด มันก็ไม่ว่าอะไรแล้ว แล้วจะไปเล่นไปกอดไอ้แครอทยังไงก็ม่มี ฮึ่ม มี โฮ่ง แต่ถ้าวันไหนลืมทักมันละก็ ไอ้แครอทจะเป็นหมาที่เจ็บตัวในวันนั้น เพราะไอ้แหม่มมันจะอารมณ์ไม่ดีตลอดวัน ตอนนี้คนช่วยเลี้ยงเราเลี้ยงหมาของเราได้กลับไปอยู่ที่บ้านสวนตามเดิมแล้ว

ความที่แครอทเป็นหมาพันธ์แท้ แต่คนเลี้ยงอย่างเราไม่ใช่มืออาชีพ เลยไม่รู้ว่า เห็บตัวเล็ก ๆ นี้มันเดินข้ามกำแพงบ้านจากบ้านข้าง ๆ มาได้ กว่าจะรู้อีกที แครอทก็ไม่สบายหนักแล้ว เป็นพยาธิในเม็ดเลือด ขาหลังไม่มีแรง เดินไม่ได้ พอไปหาหมอคลีนิกก็ไม่หาย สุดท้ายพาไปโรงพยาบาลสัตว์ที่เกษตร เขาก็รักษาให้นะ เอากลับมาพักที่บ้านแต่มันก็ยังเดินไม่ได้อยู่ดี เวลาจะฉี่ ก็ต้องช่วยกดตรงท้องมันเพื่อให้มันฉี่ ทำอย่างนี้เห็นอย่างนี้ทุกวันจนทนไม่ได้

สุดท้ายเลยเอามันไปเข้าโรงพยาบาลสัตว์เกษตร อีกครั้ง คราวนี้หมอให้นอนอยู่ที่นั่นเลย มีคนดูแลให้ยาให้อาหาร เพราะขืนอยู่บ้านเราก็คงไม่ต้องไปสอบกันพอดี มันนอนอยู่ที่นั่นเกือบสองอาทิตย์ วันสุดท้ายที่เรามีสอบช่วงบ่าย เราไปหามันกับแม่ตามปกติ หมอเรียกไปคุยบอกว่ามันไม่ไหวแล้ว อยู่ไปก็ทรมาน ทุกอย่างในร่างกายของมันไม่รับยาและไม่ทำงานแล้ว รอเวลาจะตายเท่านั้น อย่าให้มันทรมานเลย หมอจะฉีดยาให้มันไปสบายนะได้ไหม....

ตอนนั้นพอได้ฟัง รู้สึกเลยนะว่าไม่ได้ ไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอม เราไปนั่งอยู่ที่หน้ากรงมันอยู่นานมากมันก็มองเราตาแป๋วเลย ทำใจไม่ได้ ทนไม่ได้ที่จะต้องรู้ว่ามันจะตายวันนี้ แม่เป็นคนตัดสินใจบอกหมอว่า ให้ฉีดยา เพราะแม่รู้ว่าถ้ารอเรา ๆ ก็คงไม่มีทางยอม และก็คงไม่ไปสอบอีกด้วย เราหันไปมองแม่...แม่ใจร้าย ...นั่นคือสิ่งที่คิดอยู่ในใจ แต่อีกใจก็บอกว่า ขืนมันอยู่ต่อไปก็ทรมานมัน ทุกอย่างในร่างกายมันไม่ทำงานแล้ว เหลือเพียงหัวใจที่ยังเต้นอยู่เท่านั้น

เหมือนมันจะรอเรา รอให้เราบอกให้มันไป แต่เราไม่บอก ไม่พูด และไม่ยอม เรารั้งเราดึ้งมันไว้ วันนั้นร้องไห้จนตาบวม แม่เองก็ร้องไห้ หมอเองก็ยังไม่กล้าฉีดยา เพียรอธิบายให้เราเข้าใจ เราก็เข้าใจ แต่เราทำใจให้เขาฉีดยามันไม่ได้ สุดท้ายมันก็มองหน้าเราตาแป๋ว เราเอามือวางตรงหัวใจของมัน เราจำจังหวะหัวใจของมันที่เต้นในวันนั้นได้ดี มันเต้นช้า ช้าลง เป็นจังหวะ ตามันบอกเราว่า ปล่อยมันไปเถอะ.... เราบอกหมอว่า ฉีดยาเถอะคุณหมอ... บอกไปทั้งที่ร้องไห้ รู้อยู่แล้วว่าถึงยังไงมันก็ไม่มีทางรอด

มือเราวางทาบอยู่ในตำแหน่งหัวใจของมัน อีกมือก็ลูบหัวมัน พอหมอฉีดยาเข้าไป มันไม่กระตุกไม่อะไรทั้งนั้น ตามันก็ยังคงมองเราอยู่อย่างนั้น แต่หัวใจของมัน เต้น ตึก ๆ ตึก ๆ ตึก ๆ ตึก ตึก ตึก ตึก.......แล้วก็แผ่วเบาจนสุดท้ายหายไป ไร้การเต้นของหัวใจแล้ว ลมหายใจสุดท้ายของมันจากไปพร้อม ๆ กับเสียงร้องไห้ของเรากับแม่ เรานั่งอยู่อย่างนั้นนานมากเลย จนแม่ต้องลากเราออกมา และหมอบอกว่า จะฝังมันรวมกับตัวอื่น ๆ

เดินออกจากโรงพยาบาลด้วยอาการลอย ๆ ได้ยินแม่บอกว่า ต่อไปจะไม่เลี้ยงหมาอีกแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว เวลามันตายแล้วทรมานใจจัง...

สรุปว่าไอ้แหม่มเลยต้องอยู่ตัวเดียวอีกครั้ง แต่มันก็อยู่ตัวเดียวได้ไม่นาน เพราะเพื่อนรักของเราที่มันอยากรักหมา เอาหมามาเลี้ยงได้ไม่เท่าไรมันก็ต้องหาที่อยู่ให้หมาของมัน สาเหตุเพราะบ้านเพื่อนรักเรานั้นเป็นร้านค้าพอเอาหมาไปเลี้ยงมันมีปัญหานะสิ... สุดท้ายไอ้ตัวปัญหาตัวนั้นมันก็เลยมาอยู่กับเรา

ไอ้ตัวปัญหาอายุห้าเดือน ชื่อว่า มายมาย เป็นอัลเซเชี่ยนเพศเมีย ผสมหมาพันธ์อะไรมาก็ไม่อาจรู้ได แต่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นเป็นอัลเซเซี่ยน และอีก สามสิบดูไม่ออก สีก็ใช่ ส่วนสูงก็โอเค แต่ที่ไม่โอเค ก็หน้ายาว ๆ แหลม ๆ ของมันนี่แหละ

ไอ้นี้แสบ รองเท้ากี่คู่กี่คู่มันฟัดเรียบ เหมือนจะเรียกร้องความสนใจ และก็แก้แค้นที่ถูกเปลี่ยนนายโดยกระทันหัน แม่จากที่เคยทำใจรักหมาได้นิดหนึ่งเลยทำท่าจะเริ่มไม่ถูกชะตากับมันอีก แต่มันเป็นหมาอายุยืนนะ ไอ้แหม่มจากไปด้วยความชรา ก่อนเราเรียบจบปริญญาตรี

แต่นังมาย ก็อยู่ต่อมา เรื่อย ๆ จนเราเรียนจบ ปริญญาตรี จนเราเข้าทำงานตอนนี้เราได้หมามาอีกตัวเป็น ร็คอไวเลอร์ พ่อและแม่ของมันมีเพคดีกรีทั้งคู่ เป็นหมาของเจ้านายเรา มันดันออกลูกมาแปดตัว เราได้มาเป็นตัวที่เจ็ด มันมีชื่อว่า สไปร์ท ทั้ง ๆ ที่ตัวมันดำปรื้อ

ไอ้แสบสไปร์ท ความที่มันเป็นร็อคไวเลอร์ยิ้มยาก แต่น้ำลายเยอะมาก ๆ เวลาที่มันคิดจะประจบจะเหนียวไปทั้งหน้า และเสื้อ เพราะน้ำลายมัน ไอ้สไปร์ทซ่า ตอนเล็ก ๆ มันก็นอนอยู่กับเราด้วยความที่กลัวมันโดนยุงกัน กลัวมันเป็นแบบ แครอท มันเลยนอนกับเราจนตัวเท่า ลูกหมีความย่อม ๆ จนแม่ไม่ยอมให้มันเข้าบ้าน แม้ว่ามันจะยืนทำหน้าไม่เข้าใจ ยืนทำหน้าเศร้า และเห่าจนนอนไม่ได้ทั้งบ้าน แม่เลยขีดเส้นว่าให้นอนในครัวห้ามเอาเข้าห้องนอนเราเด็ดขาด

แต่ความที่มันฉลาดพอดึก ๆ แม่นอนแล้ว มักก็มาขูดประตู ขอเข้ามานอนที่นอนของมันข้าง ๆ เตียงนอนเรา ๆ ก็แอบให้มันเข้ามานะสิ สุดท้ายแม่จับได้ เกือบได้นอนนอกบ้านทั้งหมาทั้งคน แล้วทุกคนในบ้านก็ต้องทนเสียงเห่าหอน ขอความเห็นใจ ของไอ้สไปร์ทกันไปหลายคืนทีเดียว

พอเป็นหนุ่ม มันก็แสดงความซ่า โดยได้การไปได้เสียกับนังมายมาย แต่มันก็ไม่มีลูก แต่นังมายไม่รักดีไม่อยากมีลูกเป็นหมาพันธ์มันเลยไปผสมกับหมาที่ไหนก็ไม่รู้ เกิดท้องขึ้นมา ออกมาเจ็ดตัวไล่แจกเกือบตาย สุดท้ายก็ขายจนหมดครอก

แล้วเราก็ย้ายมาอยู่โคราชทิ้งไอ้เจ้าสไปร์ทซ่า และ นังมาย ไว้กับป๋า และน้องชายที่โคตรรักหมา ปกติหมากินข้าว เจ็ดโมงเช้า ตอนเราอยู่ แต่นี่ น้องเราตื่น สิบเอ็ดโมงเช้าหมาก็กินข้าวเช้าตอนสิบเอ็ดโมงเช้าพร้อมน้องเรา อย่างนี้สรุปว่ามันเป็นคนรักหมาใช่เปล่า T_T

เรามาอยู่ที่โคราช ก็เลี้ยงหมาอีกจนได้ ไอ้แบล็ค ลูกผสม เทอเรียกะหมาไทย หางกุด อาเราหามาให้ นิสัยดีมาก เวลาต้องการตัวมันดันไปอยู่บ้านอา แต่เวลาบ้านอาไม่มีใครอยู่มันก็รู้จักกลับบ้าน ดีนะที่มันไม่ไปค้างคืนเสียเลย มันดีอย่างตรงที่เวลาล่ามโซ่ไว้ พอได้เวลาห้าโมงเย็นมันจะเริ่มครางให้ปล่อย ถ้ามันเริ่มครางนั่นก็แปลว่าห้าโมงบแล้ว โดยไม่ต้องมองนาฬิกาเลย

ส่วนอีกตัวเป็น นังนิล เป็น ดัมเมเชี่ยน ผสม กับ หมากะเหรี่ยง ก๋งเอามาให้ความดื้อ อภิมหาโคตร ๆ อาจะเป็นเพราะได้มาตอนเป็นหมาเด็กแล้วก็ได้ แถมตอนอยู่กับก๋ง ๆ เอาใจมันจนเคยตัว เวลาฉี่เวลาอึ มันต้องฉี่ต้องอึบนกระเบื้อง ทั้งตี ทั้งฝึกแทบตายกว่ามันจะยอมไปอึไปฉี่ในหญ้าในดิน ไม่งั้นได้ล้างหน้าบ้านเป็นประจำทุกวันแน่ ทั้งเจ้าแบล็คและนังนิลเป็นหมาสีดำทั้งคู่ ปรากฏว่าเลี้ยงไปเลี้ยงมา ไอ้เจ้า แบล็คกก็กลายเป็นพ่อหมา และ นังนิลก็กลายเป็นแม่หมา ห้าตัว

เริ่มจาก ไอ้หน้าวัว ที่หน้ามันเหมือนวัวมาก ๆ แถมสียังเป็นวัวนมอีก ขาวดำ ลายจุดดัมเมเชี่ยนกระจายไปท่ทั่วตัว เจ้านี่โครตฉลาดเนื่อยจากตอนเล็ก ๆ โด๊ปไว้ดี ประจบสุดยอดและรักเจ้าของสุดยอดเหมือนกัน ถ้ามืดแล้วเราหรือแม่ยังไม่เข้าบ้านมันจะวิ่งไปเรียก ถ้าเห็นว่ายังไม่กลับมันจะนั่งรอ นอนรอ จนกระทั่งหลับรอ

น้องคนที่สอง เจ้าบัวบังใบ เป็นสีนวล เหมือนย่ามันที่เป็นเทอเรีย และเป็นสองตัวแรกที่สีแตกต่างไปจากพ่อและแม่ของมัน เจ้านี่เราขับรถทับมันเกือบตาย พอไปนอนโรงพยาบาลที่โคราชสามวัน วันที่ไปเยี่ยมแล้วกลับบ้าน มันร้องโหยหวนประมาณว่าขอกลับด้วย เราน้ำตาตกไปไม่รู้เท่าไร ดีนะที่มันยังไม่ตาย ตอนนี้แข็งแรงและก็กวนทีนเป็นที่สุด แต่มันดีตรงที่มันยอมให้เราตีนะ ถ้ารู้ว่าจะโดนตีจะนอนรอให้ตีเลย ก็เลยตีมันไม่ค่อยจะลง

เจ้าร็อคกี้ สีดำมันไปทั้งตัว มีสี่ตา แต่พอเจ้านายญี่ปุ่นเอาไปเลี้ยงก็เปลี่ยนชื่อเป็นทาโร่ และก็เป็นหมาอายุสั้น เพราะดันไปกินยาเบื่อ วันที่มันโดนยาเบื่อ เราเป็นคนไปเจอ แต่พาไปหาหมอไม่ทัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าร้องไห้แล้วก็สาปแช่งไอ้คนเบื่อหมาไปเท่าไร แถมสืบจนรู้อีกต่างหากว่าใครเบื่อมัน

เจ้าตัวที่สี่กับห้า เรายกให้คนรู้จักไป เก็บเจ้าหน้าวัวตัวโปรดพ่อเรา และก็เจ้าบัวบังใบตัวโปรดเราเอาไว้ ตอนมันคลอดเราก็เป็นคนไปทำคลอดมันเอง

ตอนนี้บ้านเราก็มีหมาทั้งหมด 4 ตัว แต่แล้ว ไอ้สไปร์ทซ่ามันก็เกิดป่วยตายกะทันหัน อาจจะเพราะไม่มีใครเล่นกับมัน คอยเอาใจใส่มันเหมือนตอนเราอยู่ก็ได้ มันก็เลยตายด้วยความตรอมใจ มันก็เลยเหลือนังมายตัวเดียว ปะป๋าเราก็เลยย้ายมันมาอยู่กับไอ้แสบสี่ตัวที่โคราช ที่บ้านเลยมีหมาเป็น ห้าตัว

นังมายพอมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยถูกกับใคร เพราะมันแก่มากแล้วก็เลยหงุดหงิดกับหมาหนุ่ม ๆ สาว ๆ คอยดุคอยด่าอยู่เรื่อย ๆ เนื่อง ๆ พอดุพอด่าเสร็จก็ลมจับ หายใจหอบ ๆ แฮ่กกๆ ล้มลงไปนอนพักอยู่พักใหญ่ก็ลุกขึ้นมาใหม่อีก

แล้วเราก็รับอุปการะหมาอีกตัว คือ เจ้าโกโก้ สีมันเป็นอย่างชื่อมันนั่นแหละ ไอ้นี้เป็น พ่อเป็นร็อคไวเลอร์ ผสม โกเดนฯ แม่มันเป็นหมาพันธ์ทาง ยังไม่โตเลยยังดูไม่ออกว่ามันจะเหมือนใคร เจ้าสี่ขาที่บ้านเลยกลายเป็นหกตัว กินข้าวเดือนละสองถังกว่า ๆ

และที่สำคัญมันพากันเข้าเป็นแก๊งค์ซ่าประจำบ้าน ใครผ่านหน้าบ้านพ่อไม่ถูกใจไล่ฟัด ไล่เห่าด่ะไปหมด จนเดี๋ยวนี้ต้องล่ามนังนิล และ คุณแบล็คไว้ คู่ซ่าขาประจำเลยเหลือแค่สาม ไอ้หน้าวัว ไอ้บัวบังใบ และไอ้โกโก้ น้องนุชคนสุดท้องที่แววซ่าจะฉายแววเจิดจรัส

อยู่ ๆ นังมายที่แก่มากแล้ว นับอายุก็ประมาณ 12 ปี ถ้าเป็นอายุคนก็เจ็ดสิบแล้ว มันเกิดไม่สบายขึ้นมาตัวบวมไปทั้งตัว เป็น ๆ ยุบ ๆ มา ประมาณอาทิตย แล้วก็จู่ ๆ ก็ยืนไม่ได้ อีกเลย เพราะขาหลังบวมมาก เราพยายามไปถามหมอ เค้าว่ามันเป็นไต เราก็ไปซื้อยามาให้กิน ปรากฏว่า มีพี่ที่อบต มาฉีดยาฆ่ายุง แล้วเห็น เขาบอกว่ามันไม่ได้เป็นไตหรอก มันเป็นโรคที่โดนยุงกันแล้วภูมิต้านทานไม่มี มันเลยเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างภายในตัวบวมไปหมด หมาที่วัดตายไปแล้วเจ็ดตัวอาการเดียวกันเป๊ะ พาไปหาหมอที่โคราช เขาว่าไม่มีทางรักษาแล้ว

เราทำใจนะ คอยเช็ดฉี่ เช็ดอึมัน เช็ดตัวให้มัน หาข้าวหาขนมที่มันน่าจะกินได้ให้มันกิน จู่ ๆ เมื่อเช้าหัวใจมันเต้นช้ามากเลย เราก็ไปนั่งดู ๆ แล้วก็ทนไม่ค่อยได้ นั่งร้องไห้ตรงหน้ามันนั่นแหละ ร้องแล้วก็บอกให้มันรีบ ๆ ตายไปซะ จะได้ไม่ทรมาน หนึ่งวันกับอีกหนึ่งเช้าที่มันไม่กินข้าว แล้วขาก็บวม น้ำเหลืองก็ไหล หัวใจเต็นช้ามากๆ จนเราไม่อยากจะไปทำงาน ติดที่ว่าวันนี้มีแขกมาจากญี่ปุ่น แล้วเราก็ต้องไปต้องรับพาดูสวน

ตอนไปทำงานวันก่อน ๆ มันยังยกหัวขึ้นมามองเรา แต่วันนี้มันนอนหันหน้ามาทางรถ เราก็เข้าไปนั่งร้องไห้ในรถอีก มันมองอยู่อย่างนั้นแหละ ใจยังคิดอยู่ว่า จะไปร้านหมอแถว ๆ นี้ ถามหายาฉีดที่ฉีดแล้วให้มันไม่ต้องทรมานตายไปอย่างเงียบ ๆ ดีกว่าไหม แต่ก็ทำใจไปซื้อไม่ได้ ตัดใจไม่ได้ แต่ก็พยายามทำใจกับมันอยู่

ตอนกลับมาจากทำงาน ก็ทำใจไว้แล้วว่าคงไม่นาน ยังคิดอยู่ว่ากลับไปจะไปเช็ดตัวมัน แล้วก็ขุดหลุมรอฝังมัน แต่เรากลับมาไม่ทัน...นังมายตายแล้ว

ลุงเป็นคนมาฝัง เราไปยืนมองดูหลุมศพมันที่พื้นดินฝั่งตรงข้างกับบ้าน ไม่อยากเชื่อว่ามันจะไปเร็วขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อเช้ามันยังมองดูเราอยู่เลย

มองเหมือนจะบอกลา เหมือนรู้ว่าเราเองก็รักมันไม่น้อยกว่าที่มันรักเรา ดวงตามันเมื่อเช้าเหมือนกับดวงตาของเจ้าแครอทในวันที่หมอฉีดยาให้ไม่มีผิด เพียงแค่เอะใจสักนิด วันนี้เราอาจจะอยู่เป็นเพื่อนมันตอนมันเดินทางก็ได้ ....เรากลับมาไม่ทัน

นั่งคิดอยู่ว่า ต่อไปคงเลิกเลี้ยงหมาถ้าหมดรุ่นนี้แล้ว คงจะหาอะไรเล็ก ๆ มาเลี้ยง ไม่อยากผูกพันจนแกะไม่ได้อย่างนี้ ไม่อยากเสียใจอย่างนี้ และไม่อยากเห็นมันตายอย่างนี้อีก....

หมาที่บ้านสวนเมื่อหลายสิบปีก่อน กับ หมาที่โคราชวันนี้ ทางเดินไม่แตกต่างกัน เราก็ยังเสียใจเหมือนเดิมไม่ว่าจะตัวไหนที่ตายลงไป สวนที่หายไปกับหมาสิบสองตัวที่นอนฝังร่างอยู่ที่นั่นตอนนี้กลายเป็นตึกใหญ่ ที่มีผู้คนอาศัยมากมาย

และที่ ๆ ที่เจ้าแครอทถูกฝังร่างลงไปกลายเป็นโรงพยาบาลรักษาสัตว์ ส่วนตรงที่เจ้ามายนอนฝังร่างในวันนี้เรายังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร รอให้เวลาผ่านอีกสักหน่อย เราจะหาต้นไม้มาปลูกที่ตรงนั้น เพื่อระลึกว่า ที่ตรงนั้นจะมีเจ้ามายนั่งรอเฝ้าดูเราจากฝั่งตรงข้ามบ้านตลอดเวลา...หลับฝันดีนะ...


ระลึก 27/6/48
มายมาย...
บ้านสวน
และ
หมาสิบสองตัว



Create Date : 28 มิถุนายน 2548
Last Update : 29 มิถุนายน 2548 9:39:00 น. 9 comments
Counter : 549 Pageviews.

 
เรื่องมันเศร้าอีกแล้ว

เลี้ยงแล้วก็ผูกพัน ตอนนี้เราไม่เลี้ยงสัตว์แล้ว ได้แต่แอบ ๆ จับ ๆ ของชาวบ้านเขา แค่นี้ก็สุขใจแล้วคะ


โดย: Angel Tanya วันที่: 28 มิถุนายน 2548 เวลา:0:22:23 น.  

 


โดย: มังกร-เที่ยงคืน วันที่: 28 มิถุนายน 2548 เวลา:0:24:04 น.  

 
“ไอ้บอยบ้า บอยบ้า บ้า บ้า บ้า”

ถ่ายทอดเล่าเรื่องความหลังได้ดี แบบว่าออกจากใจเลย อยากอยุ่บ้านสวนบ้างคะ ...


โดย: ไม่รักไม่มา ...Naka วันที่: 28 มิถุนายน 2548 เวลา:2:48:37 น.  

 
เมื่อก่อนเราก็อยู่บ้านสวนเหมือนคุณเลย หัดว่ายน้ำจากการโผจับลำไม้ไผ่เหมือนกัน
ชอบวิ่งเล่นในสวนเหมือนกัน
คิดแล้วยังอดยิ้มไม่ได้
เพราะมันสนุกมากๆ
แต่เรื่องหมาเศร้าจัง
สิ่งมีชีิวิตก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นธรรมดา
ทำใจเถอะค่ะ
อะไรจะเป็นไปก็ต้องปล่อยมัน
เราเคยมีหมาที่ไม่สบายตาย ทรมานมาก
แต่ตอนนี้ทำใจได้แล้ว
และก็คอยดูแลตัวที่เหลืออยู่อย่างดีที่สุด


โดย: mungkood วันที่: 28 มิถุนายน 2548 เวลา:22:28:28 น.  

 
คิดถึงสูเจ้าเช่นกัน
ตกลงว่าจะส่งหนังสือมาให้ใช่ม่ะ
อิ อิ อิ อิ

ปล. เสาร์ที่ 9 ไอเบียร์มันจะพาไปเลี้ยงที่ปั้มอัพ
สนม่ะ สนม่ะ


โดย: นางมารร้าย วันที่: 6 กรกฎาคม 2548 เวลา:8:25:16 น.  

 
หวัดดีฮับพี่นัท

คิดถึงพี่นัทจังเลย


โดย: เม-ดา วันที่: 16 กรกฎาคม 2548 เวลา:15:57:54 น.  

 
ยาวจัง เดี๋ยวค่อยมาอ่านนะคะ

ตาลาย แบบว่า แก่แล้ว


โดย: อุณากรรณ (อุณากรรณ ) วันที่: 20 กรกฎาคม 2548 เวลา:10:34:53 น.  

 
อิอิอิ....ขอบคุณนะคร้าบบบบบ


โดย: รวยระรินกลิ่นชา วันที่: 25 กรกฎาคม 2548 เวลา:11:32:34 น.  

 
คิดถึงสิ่งที่ผ่านมา


โดย: w IP: 58.9.79.87 วันที่: 14 สิงหาคม 2551 เวลา:18:44:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เปียร์รุส
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




In Rememberกองความทกข์ทับถมกองพะเนินเหมือนกองหิมะขาวโพลนตรงหน้าแต่..มันจะแตกต่างกันตรงที่ เมื่ออากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น กองหิมะก็จะละลายกลายเป็นน้ำไป...แต่ความทุกข์ที่เกาะกุมแนบแน่นอยู่ชิดติดเนื้อใจนั้น...วันใดถึงจะหายเจ็บปวดและ...ทรมานเสียที



:::คำเตือน:::ขอสงวนสิทธิ์ใด ๆ ตามกฎหมาย ในการทำคัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของนิยาย เรื่องสั้น ในบล็อคแห่งนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต และ หากผู้ใดกระทำการคัดลอกหรือนำไปโพสในเวปอื่น ๆ หรือบล็อค โดยมิได้รับอนุญาตมีโทษปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือ หากนำเรื่องไปเสนอต่อสำนักพิมพ์ ถือเป็นการเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 4 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 800,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ.กฏหมายลิขสิทธิ์

:::แจ้งข่าว:::
10 ส.ค. 57 อัปฯ นิยาย

เรื่อง : ตราบเวลามิอาจกั้นรัก บทที่ 1

สวัสดีค่ะ หล้งจากห่างหายไปนานมากกกับ การเขียนนิยายในบล็อค พยายามเจียดเวลามาจัดการงานค้างในไหดองค่ะเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ คนไหนยังคงจำกันได้และแวะเวียนมาอ่าน ลงคอมเม้นให้ด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจล่วงหน้าค่า... ^_^

ขอบคุณค่ะ
นัท
เปียรุส / ปรานต์ปัณฑ์
วังน้ำเขียว โคราชค่ะ




:::บอกเล่า::: ห้องที่งดการให้กุญแจ คือ

ฝากฟ้าถามดาวถึงข่าวคราวความรัก

เกลียวใจใยรัก (หัวใจที่ปลายฝัน)

ก็แค่ใครคนหนึ่งซึ่งคิดถึงเธอ

ทะเลทรายลายดาว

เรื่องสั้นขนาดยาว Season Of Love

เรื่องสั้นขนาดยาว Project Love & Kiss

ริ้วทรายใต้ตะวัน

เรื่องสั้นขนาดยาว Silver Fall's รสรักกรุ่นหัวใจ

หัวใจเพื่อรักความรักเพื่อลืม

มหรรณพแสงจันทร์

นิยายที่อยู่ในห้องที่ใส่กุญแจหาอ่านได้ตามร้านหนังสือนะคะ

ขอบคุณค่ะ

นัท...เปียรุส /ปัณณธร


รวมผลงานของเปียรุส , ปรานต์ปัณฑ์

ผลงานเดี่ยว



รวมเล่มกับนักเขียนท่านอื่น



Season Of Love

โดย ปัณณธร (เปียร์รุส)



Friends' blogs
[Add เปียร์รุส's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.