ธันวาคม 2556

1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
อ้อมกอดหิมาลัย นมัสเต เนปาล
         ครั้งนี้จะพาท่านไปเที่ยวเนปาลกันนะครับ หลังจากไม่ได้เขามาเกือบเดือน มัวแต่วุ่นๆ ทริปเนปาลนี้ เราไปกัน 5 คน มี 3 สาว 2 หนุ่ม เป็นทีมเดิม 4 มาใหม่ 1 จากกรุงเทพฯ ทีมจากมหาสารคาม 3 คน จากบ้านฉาง 1 คน เรานัดเจอกันที่สนามบินเลยเพื่อความสะดวก งานนี้เราเตรียมน้ำพริก มาม่า กุนเชียงอบ เพื่อไปเป็นเสบียงของเรา เพราะแต่ละคนไม่ชอบทานอาหารอินเดีย คือทานได้นะครับแต่ไม่โปรด แต่ถึงยังไงเมื่อไปถึงโน้นเราก็ทานกันได้ไม่มีปัญหา 
       พี่มี่จะเป็นคนหาข้อมูลเกี่ยวกับที่เที่ยวในแต่ละทริปที่เราไปแล้วจะมาเล่าให้พวกเราฟังว่าควรจะไปที่ไหน เมืองอะไร เดินทางไปอย่างไร ต้องปฎิบัติตัวอย่างไร ส่วนพี่ปิ๊กกี้มีหน้าที่จองทุกอย่างที่เราต้องพักต้องใช้ที่โน้น  เมื่อได้เวลาเราก็เหินฟ้าสู่เนปาลกันเลย
       จะขอเล่าความเปิ่นของเราให้ฟังสักหน่อยนะครับ คือว่าพี่มี่บอกกับพวกเราว่า เราจะสามารถมองเห็นยอดเขาเอเวอร์เรสและยอดเขาอื่นๆที่ติดอันดับว่าสูงที่สุดในโลกได้จากเครื่องบินเมื่อเราไปถึงน่านฟ้าเนปาล พอไปถึงพวกเราก็มองผ่านหน้าต่างเครื่องลงไปก็ไม่เห็นว่าจะมียอดเขาที่ว่าเลย มีแต่ภูเขาเตี้ยๆและบ้านเรือน โดยไม่ได้เอะใจว่า เอเวอร์เรสสูงกี่พันเมตร แล้วรู้ไหนว่าเราเห็นตอนไหน สรุปเราเห็นตอนเราบินกลับผมมองออกไปนอกหน้าต่างตรงๆมองไปตามเมฆที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเครื่องบิน ทันใดนั้นก็มียอดเขาโผล่ออกมาให้เห็น ดีใจมากรีบเรียกให้พี่ๆดูกัน ทั้งลำมีเราแค่ 5 คนที่ตื่นเต้นดีใจที่ได้มองเห็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ตลกมากๆ และนึกขำตัวเองที่โง่ มัวแต่ก้มมองลงไปด้านล่างด้วยความเคยชิน คิดว่ายังไงเครื่องก็บินสูงกว่า แต่ลืมไปว่าเอเวอร์เรสสูงขนาดไหนและเราไม่ได้บินไปใกล้ยอดเขาเราไม่จำเป็นต้องบินให้สูงกว่า
        ขอกลับไปที่สนามบินของประเทศเนปาลดีกว่านะครับ พอเราไปถึงเราจะหารถไปที่พัก โดยพี่มี่กับพี่ปิ๊กออกไปหารถให้เรา 3 คนเฝ้ากระเป๋า ออกไปไม่ถึง 5 นาที ก็กลับเข้ามาบอกว่ามีคนจากโรงแรม บริษัททัวร์ แท็กซี่ มาหาลูกค้าเต็มไปหมด ต้องมีทหารมาคอยดูแลความเรียบร้อย ไม่ให้มาวุ่นวายกับนักท่องเที่ยว ไม่งั้นโดนรุมทึ้งแน่ แล้วผมมารู้ทีหลังว่าเขาไม่ได้จองที่พักกันมาจากเมืองไทยกะว่ามาหารถพาเข้าไปในตัวเมืองแล้วค่อยไปหาเอา แล้วพี่ๆเขาให้พี่ปิ๊กเป็นคนเลือกว่าไอ้ที่มาเสนอตัวทั้งหลายแหล่นั้นจะไปกับใครแล้วคุณพี่ก็เลือกมา 1 คน ตอนนั่งรถจากสนามบินมาที่พักพี่ๆเขาเลยถามว่าทำไมเลือกคนนี้ เธอตอบว่าไงรู้ไหม เธอตอบว่าก็มันหล่อ อืมเห็นผลของเธอเข้าท่ามาก แล้วพอไปเห็นโรงแรมของหนุ่มหล่อของเธอแล้ว ขอบอกว่าพอพักได้ แต่ถ้าใครจะไปไม่ขอแนะนำนะ อิอิ หมดเรื่องที่พักแล้วเราก็ไปต่อที่บริษัททัวร์ เพื่อจัดการเรื่องสถานที่เที่ยวของเรา ว่าเราจะไปที่ไหนไปอย่างไร สรุปว่า เราจะไปเมืองปาตัน เมืองภักตปูร์ เมืองนากาก๊อต และไปวัดอีก 3 แห่งได้แก่ สวยมภูวนาถ โพธนาถ ปศุปตินาถ ด้วยเวลาจำกัดแค่ 4 คืน 3 วัน เราอยากไปอีกหลายที่เหมือนกัน จึงได้แค่นี้ ที่จริงก็มีอีกที่ๆเราแวะไประหว่างทางแต่จำชื่อไม่ได้ถ้าอย่างไรจะลองหาชื่อมาบอกกล่าวกันอีกที่นะครับ จะขอเล่าความสำคัญความเป็นมาของแต่ละสถานที่ให้ได้ได้รับรู้เพื่อเป็นข้อมูลในการเดินทางไว้คร่าวๆก่อนครับ
        Patan Durbar Square ปาตันอยู่ทางทิศใต้ของกาฐมาณฑุ ระยะทางไม่ไกลราว 6 กิโลเมตร  บริเวณดูบาร์แสกวร์ เป็นบ้านเรือนแบบสมัยเก่าทั้งสิ้น และก็ไม่ได้มีการกั้นเขตว่าส่วนไหนเป็นบ้านคน เป็นเขตดูบาร์แสกวร์ ทางเดินเข้าบริเวณนี้จึงเป็นซอกซอยเล็กซอยน้อยที่เชื่อมต่อถึงกันหมดผู้คนในปัจจุบันก็ยังคงอาศัยอยู่กับความรุ่งเรืองในอดึต
       Bhuktapur Durbar Square ภักตปูร์อยู่ไกลออกไปนอกเมือง ทางทิศตะวันออกของกาฐมาณฑุ ราว 14 กิโลเมตร มีรถโดยสารวิ่งตรงมาที่นี่ โดยต้องไปขึ้นที่คิวรถตรงถนน Bagbazar จากแยกถนน Burbar Marg เข้าไปประมาณร้อยเมตร ส่วนค่าเข้าชมที่นี่แพงเอาเรื่อง 10 US ทั้งเมืองของภักตปูร์ เป็นเขตมรดกโลก ผู้คนก็ยังอาศัยอยู่ร่วมกับโบราณสถาน แต่สภาพชีวิตและบ้านเรือนไม่ได้ทำลายเสน่ห์ของสถานที่เลย ทุกอย่างกลับกลมกลืน เป็นเมืองเก่าที่สภาพยังสมบูรณ์มาก เมืองมีวัดงดงามอยู่หลายแห่ง มหาวิหาร Nyatapola ยิ่งใหญ่มาก และยังมีวิหารอีกหลายแห่งให้ท่านได้ชม
       Nagargot นากาก๊อต เป็นชื่อภูเขาเป็นสถานที่ท้องเที่ยวที่มีชื่อ สำหรับการชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก ซึ่งท่านสามารถมองเห็นแนวเทือกเขาหิมาลัยได้อย่างสวยงาม หากวันไหนอากาศดี ท่านสามารถมองเห็นยอดเอเวอร์เรสได้ คืนที่เรานอนที่นี่ตกกลางคืนพายุฝนฟ้าคะนองแรงมาก เรากลัวท้องฟ้าปิดไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกัน แต่โชคยังเข้าข้าง เช้ามาฟ้าใสพอเห็นได้บ้าง
       Swayambhunath  ดวงเนตรแห่งพุทธะ ณ ยอดเจดีย์ 2,000 ปี  สวยมภูนาถกับตำนานอันน่าอัศจรรย์ เมื่อบัววซึ่งปลูกโดยพระเจ้าในอดีต ได้ผุดดอกขึ้นกลางทะเลสาบเปล่งรัศมีช่วงโชติ ที่แห่งนั้นจึงได้การขนานนามว่า สวยมภู บรรดาทวยเทพต่างมานมัสการ พระโพธิสัตว์มัญชูศรี ที่กำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ ณ ภูเขาแห่งหนึ่ง ได้เห็นนิมิตแห่งแสงสว่าง จึงได้เสด็จมาบนหลังสิงห์โตน้ำเงินโดยทางอากาศ เพื่อสักการะดอกบัวนั้น และททรงดำริว่า หากน้ำในทะเลสาบที่มีภูเขาล้อมรอบอยู่นั้นเหือดไปก้จะเป็นการสะดวกต่อสาธุชนผู้แสวงบุญ ในบัดดล ด้วยพลานุภาพแห่งพระแสงของท่าน พระมัญชูศรีก็ตัดภูเขาออกเป็นช่องเพื่อระบายน้ำออกจนสิ้น และที่แห่งนั้นก็คือกาฐมาณฑุในปัจจุบัน ดอกบัวกลายเป็นภูเขา และแสงอันช่วงโชตินั้นก็กลายเป็นเจดีย์สวยมภูนาถ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 
       Bouddhanath  เจดีย์ที่นี่เป็นรูปแบบเดียวกับที่ สวยมภูนาถ แต่องค์ใหญ่กว่ามาก เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในเอเชียใต้ นอกจากจะมีขนาดใหญ่แล้ว ที่นี่ยังสามารถขึ้นไปเดินบนรอบฐานองค์เจดีย์ได้ด้วย บนเจดีญมีดวงตาเห็นธรรมของพระเจ้า ทั้งสี่ทิศ บริเวณรอบวัดเป็นชุมชนของชาวพุทธมหายานจากทิเบตที่อพยพเข้าเมื่อปี พ.ศ 2502 องค์กรยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนสถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ 2522
       Pashupatinath  วิหารแห่งพระศิวะ  เป็นฮินดูสถานวิหารแห่งพระศิวะ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของฮินดูชน ผู้ที่จะเข้าไปต้องถอดรองเท้า ห้ามนำสิ่งของที่เป็นเครื่องหนังทุกชนิดเข้าไปและที่สำคัญ เข้าได้เฉพาะชาวฮินดู เราเลยเป็นพวกยืนดูอยู่รอบนอกเท่านั้น รอบบริเวณด้านนอก จะมีร้านขายดอกดาวเรืองเพื่อเอาไปสักการะ และมี สาธุ ที่มาในแบบพระฤาษี โยคี บางรูปมาเดี่ยว หรือมาเป็นกลุ่ม ข้ามชายแดนกันมาจากอินเดีย นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว ทาโคลนตามตัว ไว้หนวดเครารุงรัง ใครถ่ายรูปต้องเสียเงินนะครับ ไม่แพงหรอกครับค่าตัวนายแบบ ปศุติปนาถ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำภัคมาติ จะมีพิธีเผาศพ จะข้ามไปดูฝั่งโน้นก็ได้แต่ต้องเสียค่าเข้าชมนะครับ หรือจะชมฟรีอย่างพวกเราที่อีกฝั่งแม่น้ำอย่างก็ได้ ผู้ทำพิธีก็จะทำการสุมเชื้อเพลิงแล้วเผากันสดๆ เผาแล้วก็โยนศพลงแม่น้ำสุดแต่สายธาราจะพาไป
       และที่นี้ก็เกิดเหตุให้เป็นสีสรรสำหรับกลุ่มของเรา คือว่า ตอนที่เราเดินเข้าไปยังวัดก็จะมีเด็กหนุ่ม มาขอเป็นไกด์ให้พวกเราแต่พวกเราปฏิเสธไป แต่เขากไม่ละความพยายามนะครับยังวนเวียนอยู่แถวๆนั้น และระหว่างที่เราดูการเผาศพอยู่นั้นก็มีหนุ่มน้อยนักเรียนมามาพูดมาอธิบายให้พวกเราฟัง และบอกว่าเขามาหารายได้พิเศษ ไอ้พวกมาก่อนมันก็เลยโกรธหนุ่มน้อย มีการเข้ามาหาเรื่อง ต่อว่า ว่ามาแย่งลูกค้าของเขา เราจะให้เงินเขาที่นั้นก็ไม่ได้ ก่อนกลับเลยนัดให้เขามาเอาที่โรงแรมที่พัก พอพวกเรากลับมา พวกที่มาก่อนก็เข้าไปรุมและขอดูกระเป๋าของเด็กหนุ่มนะครับ หวังว่าคงไม่เกิดเหตุอะไรขึ้น อ้อ เด็กหนุ่มเขาเข้ามาทำทีว่าขอแลกเหรียญเป็นที่ระลึก ด้วยความใจดีของเราก็ให้ไปเลยเกิดเรื่องขึ้น และที่เดียวกันนี้ ผมก็โดนพวกตำรวจว่าผมเป็นไกด์เถื่อนอีก ฮ่าๆๆ เกือบโดนจับแล้ว คนขับรถของเราก็บอกนะครับว่าผมหน้าตาเหมือนคนเนปาลมาก ตอนแรกก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเหมือนมากขนาดนั้น แต่พอโดนว่าเป็นไกด์นี่สิเริ่มคิดแล้วว่าคงเหมือนจริงๆ
       เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เช้าวันที่เราจะกลับมีเหตุการณ์อะไรจำไม่ค่อยได้ เขาห้ามรถทุกชนิดวิ่งใครจะเดินทางไปสนามบินเขาจะจัดรถบัสไปส่งให้เราต้องเดินออกไปขึ้นรถเองที่ป้ายรถบัส ไกลจากโรงแรมพอควรนะครับ เด็กที่โรงแรมเลยต้องพาเราไปส่งขึ้นรถ และรถก็ออกแต่เช้ามาก ตอนแรกเรากะว่าเราจะออกมาซื้อของก่อนตอนเช้าแล้วค่อยนั่งรถไปสนามบินตอนสายๆ ทุกอย่างเลยผิดแผนไปหมด แล้วรถบัสที่เขาจัดให้ก็วิ่งไปตามโรงแรมต่างๆเพื่อที่จะรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปสนามบิน ไม่ว่าจะนอนโรงแรมหรูแค่ไหนก็ต้องมาอัดกันในบัสและครับ ระหว่างที่เราวิ่งไปรับนักท่องเที่ยวโรงแรมนั้นโรงแรมนี้ ก็จะมีทหารออกมาตามท้องถนนเต็มไปหมด ก็ใจเสียไปเหมือนกันกลัวไม่ได้กลับบ้าน แต่สุดท้ายเราก็มาถึงสนามบินจนได้ และโดนตรวจเข้มมากแทบจะรื้อกระเป๋ากันเลยที่เดียว
และระหว่างรอพี่มี่ก็บอกกลับพวกเราว่าให้ทำใจไว้นะเครื่องบินอาจดีเลย์ (delay) และมันก็เกิดขึ้นจนได้ ปกติเราต้องบินกลับตอน 11.00 น. สุดท้ายเราได้บิน 15 .00 น. ทางสายการบินเลยให้เรากลับเข้าไปทานอาหารเที่ยงที่ห้องอาหารในสนามบิน และพอกลับออกมาจะไปขึ้นเครื่องก็โดนตรวจเข้มอีกรอบ เฮ้อ ก็เพื่อความปลอดภัยและครับแต่แอบเซ็งนิดๆ แต่สุดท้ายเราก็ได้กลับเมืองไทยโดยปลอดภัยจนได้ 
ปล. เราไปทริปนี้กันเมื่อ 9-13 พ.ค 2011



ถึงแล้วเนปาล




ถ่ายจากที่พัก ดอกไม้สีม่วง น้ำเงินนี้ บ้านเราเรียกว่าต้นศรีตรัง 


เขาว่าผมเหมือนคนเนปาล 














จะเห็นว่าคุณยายมานั่งขายผักที่ดูร์บาร์แสกวร์ เพราะผู้คนยังอาศัยอยู่ร่วมกับความรุ่งเรืองในอดีต































ระบบการประปาในอดีตที่ปัจจุบันก็ยังคงอยู่ให้คนรุ่นหลังๆได้ใช้








คุณครูสาวจากเมืองไทย กับนักเรียนสาวชาวเนปาล


เมืองภักตปูร์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทั้งเมือง และผู้คนยังอาศัยอยู่

















มีร้านอาหารให้ท่านนั่งทานไปชมเมืองไปด้วย





















อีกเมืองที่เราแวะก่อนไปนากาก๊อต น่าเสียดายที่จำชื่อเมืองไม่ได้ แต่จะพยายามหามาให้นะครับ





สองสาวน้อยที่ห้องจำหน่ายตั๋วเข้าชมเมือง 





ที่นี้มีสอนค้าฝีมือชาวบ้านให้ท่านได้เลือกชมเลือกซื้อตลอดสองข้างทาง







วัดที่เราพาท่านมาชมในเมืองนี้ 






คุณยายกำลังมาวางไส้เทียน 




เราเลยขอช่วยคุณยายเติมน้ำมันในถ้วยที่คุณยายวางไส้เทียนไว้แล้ว



เครื่องไหว้ เครื่องบูชา 



คุณยายกำลังเก็บผัก เราว่าจะลองเก็บดู แต่คุณยายบอกว่ามันมีหนามเลยได้แค่มองวิธีที่คุณยายเก็บแล้วกัน



นากาก๊อต เมืองในอ้อมกอดหิมาลัย





วิวจากร้านอาหารที่เราไปทาน 


ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกัน แต่เมื่อคืนฝนกระหน่ำ ท้องฟ้าเลยเป็นอย่างที่เห็น
















ก็พอจะมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้ หลังจากเมื่อคืนฝนตกหนักมาก



















ปศุปตินาถ จะเห็นว่าเขากำลังเผาศพอยู่



กำลังเตรียมศพเพื่อจะเอาขึ้นเผา




















ไกด์หนุ่มน้อย เจ้าของเรื่อง 



กับสาธุ หรือฤาษี จะเห็นว่าผมเตรียมเงินไว้ในมือ เอาไว้ค่าตัวนายแบบ



โพธนาถ 











ครบทีม 



 ระหว่างเดินขึ้น สวยมภูนาถ จะมองเห็นเมืองกาฐมันฑุ




สวยมภูนาถ







 มองออกไหมครับว่าเป็นยอดเขา ที่เราถ่ายบนเครื่องบิน










Create Date : 08 ธันวาคม 2556
Last Update : 14 ธันวาคม 2556 23:14:46 น.
Counter : 1127 Pageviews.

1 comments
  
สวยจังค่ะ
เห็นเขาเผาศพ น่ากลัว
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 12 ธันวาคม 2556 เวลา:20:45:03 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

tuiontour
Location :
มหาสารคาม  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ชีวิตคือการเดินทาง ถึงไม่เคลื่อนที่ เวลาก็เปลี่ยนไป แม้ไม่ทำอะไร โลกก็หมุนไป ไยไม่สนุกกับชีวิต