บางครั้งโลกแห่งความจริงไม่สวยงาม...เฉกเช่นความฝัน แต่รู้สึกและจับต้องได้
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
29 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 
Life&Family(1)...วันนี้ที่ยิ้มได้ของ "วอร์เตอร์ ลี" พ่อนักสู้เพื่อลูกไร้ขา







ในวันที่ยิ้มได้ของคุณพ่อยอดนักสู้



แม้ชีวิตต้องเจอบทเรียนบทหนักที่ลูกคนสุดท้องเกิดมาพร้อมกับแขนขาไม่สมบูรณ์ โดยมีแขนซ้าย 1 ข้าง ส่วนแขนขวามีครึ่งแขน ไม่มีขาขวา แต่มีขาซ้ายที่ผิดรูปกับเท้าซ้ายที่มีนิ้วเท้าเพียง 3 นิ้ว รวมทั้งมีปัญหาที่ข้อต่อสะโพกหลุดออกจากเบ้า แต่คุณพ่อหัวใจแกร่งท่านนี้ ก็สามารถเอาชนะโชคชะตาที่สะเทือนใจในช่วงเวลานั้นมาได้

ฉากชีวิตเหล่านี้ หลายคนคงจำกันได้ดีกับชีวิตของคุณพ่อที่ชื่อ "วอร์เตอร์ ลี" คุณพ่อของ "น้องซายน์" ที่พยายามทำทุกอย่างให้ลูกกลับมาเดินได้ และในวันนี้น้องซายน์เกือบจะ 4 ขวบแล้ว สามารถเดินได้ด้วยขาเทียม เป็นเด็กสนุกสนาน ร่าเริง นี่คือสิ่งที่เขา ภรรยา และลูกร่วมต่อสู้กันมา

"สิ่งที่ผมรอให้ลูกถาม และลูกก็ถามผมแล้วเมื่อปีที่ผ่านมาว่า ทำไมเขาไม่มีขา ไม่มีแขน ผมก็เลยตอบไปว่า ป่าป๊าก็ไม่มีผม ดังนั้นคนเรามีอะไรไม่เหมือนกัน บางคนมีผม บางคนไม่มีผม บางคนขาว บางคนดำ หรือบางคนมีขา บางคนไม่มีขา แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกว่าจิตใจของเขาดีหรือไม่ดี เก่งหรือไม่เก่ง ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็คือคน สำหรับน้องไซ ผมไม่คิดว่าเขาคือเด็กด้อยโอกาส หรือเด็กพิการ ผมคิดอย่างเดียวว่า เขาคือลูกที่น่ารักของเรา" วอร์เตอร์ ลี เผยความรู้สึกผ่านทีมงาน Life and Family

"สติ-ยอมรับความจริง" กลยุทธ์ฝ่ามรสุม

กับโชคชะตาในวันนั้น เทคนิคที่ทำให้เขา และภรรยา (คุณนก) ผ่านมันมาได้ เขาเชื่อในแนวทางที่ว่า ก่อนที่จะรักษาลูก ต้องรักษาที่ตัวพ่อแม่ก่อน เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยบำบัดรักษาน้องซายน์ให้ได้ผล เริ่มต้นจากปลุกสติในตัวเอง พร้อมกับยอมรับความจริงในสิ่งที่ลูกกำลังเป็น

"ความพยายามที่จะยอมรับความจริง ทำให้ผมกับคุณนกฟื้นเร็วขึ้น ซึ่งแรกๆ คุณนกจะโทษตัวเอง และร้องไห้ทุกวัน สิ่งแรกที่ผมทำคือเรียกสติ และปลุกจิตวิญญาณของตัวเองและภรรยาของผมขึ้นมาก่อน เพื่อเริ่มเดินสู่เส้นทางแห่งการค้นพบวิธีแก้ปัญหาต่อไป เพราะหากยังเศร้า ทุกอย่างก็จะไม่เดินหน้า" คุณพ่อนักสู้กล่าวถึงกลยุทธ์การเอาตัวรอดจากมรสุมชีวิต โดยมีน้องซายน์เป็นพลังในทุกลมหายใจ

ดังนั้นเมื่อมีสติ ยอมรับความจริง และอยู่กับความจริงได้แล้ว ความเป็นวิถีปกติทั่วไป คือสิ่งที่คุณวอร์เตอร์จะต่อไป เพื่อให้ลูกไม่รู้สึกเป็นปมด้อยกับสิ่งที่เป็น และให้ลูกอยู่ในสังคมได้อย่างอิสระ ด้วยการช่วยเหลือตัวเองให้เป็น เริ่มจากพาลูกออกไปเที่ยวนอกบ้านเพื่อให้เคยชินกับปฏิกิริยาของคนภายนอกเมื่อมองมายังครอบครัวของเขา ไม่ว่าจะสงสัย ประหลาดใจ เห็นใจ หรือรู้สึกปนๆ กัน

"เราจะไปบังคับให้คนไม่มองลูกเรามันก็ไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติของคนที่เมื่อเห็นจุดเด่นย่อมต้องมองเป็นธรรมดา ซึ่งผมก็แคร์สังคมนะ แต่ในเมื่อแคร์แล้ว เราจะบริหารมันได้อย่างถูกต้องอย่างไร นี่คือสิ่งที่ต้องคิดต่อ เพราะแคร์แล้วจะไปมองข้ามก็ไม่ถูก หรือแคร์แล้วจะหลอกตัวเองว่าลูกเราไม่เป็นอะไรมันก็ไม่ใช่ แต่การบริหารอย่างถูกจุดต้องบริหาร และฟื้นฟูใจของเราในฐานะพ่อแม่ก่อน" คุณพ่อท่านนี้เล่า

สำหรับการพาลูกออกไปนอกบ้านด้วยกันบ่อยๆ พร้อมกับพูดคุยกันอยู่เสมอๆ เป็นวิธีรักษาที่เขาเชื่อว่าดีมาก ซึ่งเขา และภรรยามีความสุขที่จะพูดว่าพวกเราเข้มแข็งขึ้น และค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน ทำให้น้องซายน์ได้เห็นสังคม และเห็นภาพที่ชัดเจนว่า เขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกใบนี้



พ่อวอร์เตอร์ กับนักสู้ตัวน้อย



คุณค่าจากบทเรียนแห่งสวรรค์

"เพราะน้องซายน์ ผม และครอบครัวจึงได้เปิดหูเปิดตากับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เขาทำให้ครอบครัวเราเข้าใจชีวิตที่แท้จริง ทำให้ผมอยากเป็นตัวแทนเพื่อช่วยเหลือครอบครัวอื่นที่เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับผม ซึ่งไม่ใช่แค่การสงเคราะห์ แต่เป็นการให้องค์ความรู้เพื่อสอนให้คนตกปลาเป็น เช่น สอนให้รู้จักฟื้นฟู และมีความรู้ในการสอนลูกพิการ เช่นเดียวกับผมที่สอนให้น้องซายน์ช่วยเหลือตัวเองได้ เพื่อที่สักวัน ถ้าไม่มีผมแล้ว เขาจะสามารถยืนอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง ซึ่งผมกำลังแข่งกับเวลาอยู่"

เป็นประโยคคำพูดที่คุณพ่อหัวใจแกร่งตกผลึกจากความคิด และประสบการณ์ที่เขาได้เรียนรู้มาจากบทเรียนแห่งสวรรค์ในครั้งนั้น ซึ่งทำให้มุมมองชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ดี หลังจากฟื้นฟูจิตใจตัวเอง และภรรยาสำเร็จแล้ว คุณพ่อท่านนี้เล่าต่อว่า ลูกต้องมีใจที่จะลุกขึ้นมาช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ทำให้ทุกช่วงเวลาที่เขาอยู่กับลูกที่บ้านจะปฏิบัติต่อน้องซายน์เหมือนพี่น้องคนอื่นๆ ไม่ว่าจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ หรือแม้แต่เวลาที่ลูกต้องการอะไรจะไม่มีการมาถามว่า ป่าป๊า หม่าม้าเอาน้ำ ในเมื่อรู้ว่าตู้เย็นอยู่ที่ไหน ควรจะต้องรู้ได้เองว่าต้องทำอย่างไรต่อไป

"ในเมื่อยูไม่มีขา แต่ใช่ว่ายูจะขยับไม่ได้ หรือแม้ยูไม่มีแขน ไม่มีขา แต่สมองยูก็ยังใช้การได้ ดังนั้นผมจะให้พลังใจให้เขาอยาก อยากที่จะเหมือนพี่ๆ ของเขา โดยไม่คิดว่าเขาผิดปกติ แต่เขาก็คือลูกที่น่ารักคนหนึ่งของผม" วอร์เตอร์ ลี เผยถึงวิธีการสอนลูกทุกคนไม่เฉพาะแต่น้องซายน์ให้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง

ดังนั้นทุกกิจกรรมของครอบครัว บ้านนี้จะมีน้องซายน์เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะไปเที่ยวนอกบ้าน ขี้รถจักรยาน หรือว่ายน้ำ แต่กระนั้น ในบางกิจกรรม ต้องดูความเหมาะสมของลูกด้วย แต่เขาไม่ห้ามให้ลูกเล่น เพียงแค่เปลี่ยนกฎกติกาให้เท่านั้น เช่น เห็นพี่ๆ วิ่งรอบสนาม ถ้าให้น้องซายน์ลงไปวิ่งเล่นด้วยคงไม่ไหวแน่นอน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนกติกามาเป็นการนั่งบนสนามหญ้า แล้วใช้มือดันก้นตัวเองแข่งขันกัน กลายเป็นอีกกิจกรรมที่สนุกไม่น้อย

ไม่มีเธอวันนั้น ไม่มีฉันวันนี้

แม้จะผ่านบทเรียนชีวิตมาได้ หากแต่ขาดศรีภรรยาอย่างคุณนก โอกาสแห่งความสำเร็จก็คงไม่ชัดเจนเหมือนวันนี้ ซึ่งคุณวอร์เตอร์เล่าว่า ตัวเขาและภรรยาจะทำกันคนละครึ่ง โดยเขาเป็นคนคิดสูตร ส่วนภรรยาเป็นคนปฏิบัติ แล้วจับมือเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน

"ผมจะอยู่นอก แต่คุณนกจะอยู่ใน ถามว่า โครงการหนึ่งจะสำเร็จได้ไหม ถ้ามีคนเสนอไอเดีย แต่ไม่มีคนปฏิบัติ หรือมีแต่คนปฏิบัติ แต่ไม่มีคนเสนอความคิด ดังนั้นการเดินหน้าเพื่อต่อสู้กับปัญหาใหญ่ๆ คนคิด และคนปฏิบัติต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งคุณนกเหนื่อยกว่าผมหลายเท่ามาก เพราะเขาเป็นคนทำทุกอย่างเกือบทั้งหมด ถ้าไม่มีนก ลูกกับผมก็คงไม่มาถึงวันนี้" คุณวอร์เตอร์สารภาพ



วอร์เตอร์ ลี CEO ของบริษัทเวนเจอร์เท็ค มาร์เก็ตติ้ง จำกัด



ลูกคือพลังสู่การจัดตั้งมูลนิธิฯ

ก่อนหน้านี้ คงต้องยอมรับว่า คุณวอเตอร์ ลี ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลมากมายหลายแห่งทั่วโลก เสาะหาผู้ช่วยเหลือจากกลุ่ม และองค์กรต่างๆ โดยปรึกษาหารือกันผ่านอินเทอร์เน็ตจากทวีปหนึ่งสู่ทวีปหนึ่ง คุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษากระดูก และกล้ามเนื้อของเด็กถึงกรณีน้องซายน์กับโอกาสที่ลูกจะยืนได้ เดินได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบว่า มีโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมัน ให้ความมั่นใจถึง 80 % ว่าน้องซายน์จะต้องยืน และเดินได้

ด้วยแนวทางนี้ ได้จุดประกายความคิดให้คุณวอร์เตอร์ ลี เล็งเห็นว่า หากสามารถจ่ายค่ารักษาให้แก่วิธีการนี้เพื่อรักษาเด็ก 1 คน แล้วทำไมขั้นตอนการรักษา ตลอดจนรายละเอียดข้อมูลที่มีคุณค่าจะไม่ถูกเผยแพร่ต่อไป เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้พิการนับแสนในประเทศไทยที่สามารถใช้วิธีการนี้ได้ ส่วนผู้ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายมากพอที่จะใช้วัตถุดิบสุดยอดอย่างที่ใช้ในเยอรมันก็อาจจะใช้ไม้ หรือไม้ไผ่ที่เรามีอยู่แล้วที่นี่ สิ่งสำคัญก็คือ ความเข้าใจและการได้เรียนรู้วิธีรักษานี้

ดังนั้นเขาจึงได้ก่อตั้งมูลนิธิ ซายน์ มูฟเม้นท์ ขึ้น เพื่อช่วยเหลือเด็กพิการทางการเคลื่อนไหวที่มีอยู่จำนวนมากในประเทศไทย ให้ได้รับการรักษา และสามารถดำรงชีวิตอย่างอิสระในสังคมทั่วไป รวมทั้งฟื้นฟูสภาพจิตใจ และเสริมสร้างศักยภาพของพ่อแม่ที่มีลูกหลานพิการให้สามารถเรียนรู้ และเข้าใจการดูแลรักษา เพื่อช่วยฟื้นฟูเด็กพิการคนอื่นๆ ต่อไป

"คนพิการในไทยมีอยู่เกือบ 2 แสนคน ผมไม่อยากให้ไปสงสารเขา แต่อยากให้เข้าใจเขามากกว่า เพราะถ้าไปสงสารก็จะเข้าสู่โมเดลสงเคราะห์ ซึ่งผมไม่ได้แอนตี้ในเรื่องนี้นะ แต่ผมอยากเห็นโมเดลสังคมมากกว่า ด้วยการเข้าใจ และยอมรับว่า คนพิการก็คือคน และเรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างอิสระ เป็นการสอนให้คนตกปลาเป็นมากกว่าที่จะเอาปลาไปให้อย่างเดียว" คุณวอร์เตอร์ให้มุมมอง

อย่างไรก็ดี ตอนนี้ทางคุณวอเตอร์ กำลังผลักดันถึงการนำเด็กพิการไปเรียนร่วมกับเด็กปกติในแต่ละโรงเรียน เพราะเป็นสิ่งที่เขาอยากให้เด็ก หรือคนพิการไม่เก็บตัวอยู่แต่เฉพาะในกลุ่มของตนเท่านั้น แต่อยากให้ออกมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติบนข้อจำกัดของตนเองอย่างเข้าใจ และไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนพิการจนขาดความเชื่อมั่นในการอยู่ร่วมกับคนปกติในสังคม

"ผมว่า มันทำได้นะ ถ้าให้โรงเรียนมีเด็กพิการเข้าไปเรียนร่วมอย่างน้อยห้องละ 1 คน โดยมีครูที่ผ่านการฝึกอบรมเข้ามาช่วยสร้างทัศนคติที่ดีกับเด็ก เช่น วันนี้ครูขอต้อนรับเด็กชาย ก. (ไม่มีขา) มาเรียนร่วมกับพวกเรานะคะ เทอมนี้มี 14 อาทิตย์ ครูอยากให้พวกเราทุกคนแบ่งกันออกเป็น 14 ทีม โดยแต่ละทีมจะต้องแบ่งกันดูแลเพื่อน ก. ผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละอาทิตย์ ไม่ว่าจะกิน เดิน หรือเข้าห้องน้ำ ซึ่งมันทำได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำกันหรือเปล่า" คุณวอร์เตอร์วาดแนวทางเพื่อสนับสนุนให้เด็กพิการสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ โดยมีเด็กปกติคอยช่วยเหลือ ซึ่งพลังที่ได้จะเป็นตัวสร้างทัศนคติที่ถูกต้องต่อคนพิการว่ามีสิทธิเท่าเทียมกับคนปกติ และทำให้คนปกติเรียนรู้ที่จะอยู่กับคนพิการได้มากกว่าแค่สงสาร

ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่วอร์เตอร์ ลี ได้เรียนรู้จากมรสุมชีวิต และพิสูจน์ให้สวรรค์ได้รับรู้แล้วว่า บทเรียนในครั้งนี้ เขาสามารถผ่านมันมาได้ เพราะได้พลังจากลูกชาย จนวันนี้เขาได้บรรลุเป้าหมายไปหลายข้อแล้ว ไม่ว่าจะฟื้นฟูจิตใจภรรยาให้กลับมาเดินหน้าต่ออีกครั้ง หรือทำให้ลูกมองโลกในแง่ดี และเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเขา

"ทุกวันนี้ น้องซายน์เป็นเด็กน่ารัก สนุกสนาน และสามารถเล่นกับพี่ๆ ได้อย่างมีความสุข ซึ่งอีกไม่นานก็จะได้เข้าเรียนหนังสือเหมือนกับเด็กทั่วไปแล้ว ที่สำคัญพลังในตัวของลูกคนนี้ ยังช่วยรักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายให้กับปู่ของเขาได้อย่างน่ามหัศจรรย์อีกด้วย" คุณวอร์เตอร์ ลีฝากทิ้งท้ายพร้อมกับให้กำลังใจไปยังทุกครอบครัวที่มีลูกพิการให้อยู่กับความจริงอย่างเข้าใจ

เรื่องและภาพจาก ผู้จัดการออนไลน์



Create Date : 29 ธันวาคม 2553
Last Update : 30 ธันวาคม 2553 5:57:15 น. 1 comments
Counter : 840 Pageviews.

 
สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะคะ


โดย: iamnerisa วันที่: 30 ธันวาคม 2553 เวลา:21:35:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

atruthoflife10
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยสุขภาพที่ดีกว่า

ไตรลักษณ์
เกิดขึ้น 26 พ.ย.2553

ดับไป....???

Friends' blogs
[Add atruthoflife10's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.