บางครั้งโลกแห่งความจริงไม่สวยงาม...เฉกเช่นความฝัน แต่รู้สึกและจับต้องได้
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
7 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
ปรัชญา คติธรรม กวี คำคม (8)...คาลิล ยิบราน 2






อิสรภาพ

และนักพูดคนหนึ่งกล่าวว่า
ได้โปรดพูดกับเราถึง อิสรภาพ และท่านตอบว่า

ที่ประตูเมืองและที่ข้างเตาไฟ
เราได้เห็นเธอกราบกรานแลบูชาอิสรภาพของตนเอง
ดูประหนึ่งข้าทาสน้อมตนเฉพาะหน้าทุรราช
และกล่าวเยินยอแม้ว่าตนจะถูกพิฆาตฆ่า

ถูกแล้วที่ต้นไม้รอบโบสถ์ และในร่มเงาของป้อมปราการ
เราได้เห็นเธอที่เป็นอิสระที่สุด
สวมใส่อิสรภาพของตน ดุจดังขื่อคาและโซ่ตรวน
และดวงใจเราก็หลั่งเลือดอยู่ภายใน
เพราะเธอเป็นอิสระได้ทั้งที่
ความกระหายในอิสรภาพเป็นบังเหียนรั้งเธออยู่
และเมื่อเธอเลิกกล่าวถึงอิสรภาพว่า
เป็นจุดหมายปลายทางและความบรรลุผลแล้ว
เธอย่อมเป็นอิสระแน่แท้
ทั้งที่วันของเธอยังมีความรับผิดชอบ
และคืนของเธอยังมีความต้องการและความระทม
ด้วยแม้เมื่อสิ่งเหล่านี้เกี่ยวรัดชีวิตของเธอไว้
เธอก็ยังสามารถหลุดลอยขึ้นเหนือมัน
เปล่าเปลือย และไม่ถูกผูกมัด
และเธอจะหลุดลอยขึ้นเหนือทิวาและราตรีของเธอได้อย่างไร
นอกจากจะทำลายโซ่ตรวน ซึ่ง ณ อรุโณทัยแห่งความเข้าใจนั้น
เธอได้ผูกมัดมันไว้รอบยามเที่ยงของเธอเอง

ตามสัตย์จริงสิ่งที่เธอเรียกว่าอิสรภาพนี้
คือโซ่ตรวนแบบนี้ที่แข็งแรงที่สุด
แม้ว่าข้อต่อของมันจะต้องแสงแดดเป็นประกายจับตาของเธอ
สิ่งที่เธอจะต้องสละทิ้งไปเพื่อจะบรรลุอิสรภาพนั้น มิใช่สิ่งอื่นใด
แท้จริงก็คือชิ้นส่วนของอาตมันของเธอนั่นเอง
ถ้าเธอต้องการลบล้างกฎหมายอันไม่เป็นธรรม
ก็กฎหมายนั้น แท้จริงเธอได้จารึกไว้ด้วยมือตนบนหน้าผากตนเอง
เธอไม่อาจลบถูมันหมดได้โดยเผาตำรับกฎหมาย
หรือล้างหน้าผากตุลาการของเธอ
แม้ว่าเธอจะราดรดด้วยน้ำทั้งมหาสมุทร

และแม้เธอจะโค่นบัลลังก์ทุรราช
ก็จงดูให้แน่ใจเสียก่อนว่า
บัลลังก์ของเขาภายในเธอถูกทำลายก่อนแล้ว
เพราะทุรราชจะปกครองอิสรชน และผู้หยิ่งผยองได้อย่างไร
ถ้าไม่เพื่อข่มขี่อิสรภาพ
และก่อความอัปยศในความทะนงของเขาเหล่านั้นเอง
และถ้าเธอสามารถจะเหวี่ยงความหวั่นระวังไปให้พ้น
ก็ความหวั่นระวังนั้นเอง เธอได้เป็นผู้เลือกเอา
มิได้มีใครนำมาบังคับแก่เธอ
และถ้าเธออยากขจัดความหวั่นกลัว
รากฐานของความกลัวนั้นก็อยู่ในดวงใจของเธอเอง
มิใช่ในเงื้อมมือของสิ่งที่เธอกลัว

แท้จริงสรรพสิ่งอันเคลื่อนไหวอยู่ในเธอนั้น
ดำรงอยู่ในความกอดรัดเพียงกึ่งเดียวเสมอ
ทั้งสิ่งต้องปรารถนาและสิ่งที่พรั่นพรึง
สิ่งน่าขยะแขยง และสิ่งต้องอารมณ์
ทั้งสิ่งที่เธอไล่ไขว่คว้า
และสิ่งที่เธอต้องการหลบลี้

สิ่งเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่ภายในเธอ
ดุจความสว่างและเงามืดอันกอดรัดกันอยู่เป็นคู่
และในเมื่อเงามืดจากและสูญไป
ความสว่างอันคงอยู่ก็กลายเป็นเงาของความสว่างใหม่ต่อไป
เช่นเดียวกันนี้เมื่อพันธนาการแห่งอิสรภาพของเธอสิ้นสูญไป
มันเองก็กลายเป็นพันธนาการ
ของอิสรภาพอันยิ่งใหญ่กว่าต่อไป



เหตุผลและอารมณ์

และนักบวชสตรีพูดขึ้นอีกว่า
ได้โปรดบอกเราถึงเรื่องของ เหตุผลและอารมณ์
และท่านตอบว่า

บ่อยครั้งที่วิญญาณของเธอเป็นสมรภูมิ
อันเหตุผลและการตัดสินใจของเธอ
ต่อสู้กับอารมณ์และตัณหา
เรานี้อยากจะได้เป็นผู้ไกล่เกลี่ยในดวงวิญญาณของเธอ
เพื่อว่าจะได้เปลี่ยนแปรความขัดแย้งและรบพุ่ง
ของปฐมธาตุในเธอให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว
และเป็นทำนองไพเราะ
แต่เราจะทำได้อย่างไร
ถ้าเธอไม่ช่วยไกล่เกลี่ยด้วย
และไม่รักปฐมธาตุทั้งหมดของตนเองด้วย

เหตุผลและอารมณ์ของเธอนั้นเป็นดุจหางเสือและใบเรือ
ของวิญญาณของเธอซึ่งจรไปในทะเล
ถ้าหากใบเรือหรือหางเสือเสียไป
เรือก็จะโคลงเคลงและล่องลอยไป
หรือไม่ก็ลอยเฉยอยู่กลางทะเล
เพราะการใช้เหตุผลแต่อย่างเดียว
เป็นดุจแรงอันถูกล้อมกรอบอยู่
ส่วนอารมณ์ไร้สิ่งเหนี่ยวรั้ง
คือเปลวเพลิงย่อมเผาผลาญแม้ตนเองให้พินาศไป

ดังนั้นจงให้วิญญาณของเธอ
ยกเหตุผลขึ้นสู่ระดับสูงของอารมณ์ เพื่อมันจะได้ร้องเริง
และขอให้มันนำแนวทางของอารมณ์ด้วยเหตุผล
เพื่อว่าอารมณ์ของเธอนั้นจักได้ดำรงอยู่นิรันดร์
โดยการฟื้นคืนชีพของตนเองทุกวัน
และผุดลอยขึ้นเหนือเถ้าถ่านของตนเองดุจปักษีอมตะ
เราอยากให้เธอคิดเสียว่า
การวินิจฉัยและความอยากใคร่ของเธอนั้น
เป็นดุจผู้เยี่ยมเยียนที่รักสองคนอันมาสู่บ้าน

แน่ละว่า เธอย่อมไม่ยกคนใดเหนืออีกคนหนึ่ง
ด้วยเจ้าของบ้านที่เอาใจใส่เฉพาะแขกคนหนึ่งมากไปนั้น
ย่อมจะสูญความรักและความเชื่อถือจากทั้งสอง

ในท่ามกลางเนินเขา
ขณะเมื่อเธอนั่งอยู่ภายใต้ร่มเงาเย็นของทิวสน
ร่วมรับสันติสุขและความสงบดื่มด่ำกับท้องทุ่งโน้น
ก็ขอให้ดวงใจของเธอรำพึงในความสงัดว่า
พระเป็นเจ้าประทับนิ่งอยู่ในเหตุผล

และเมื่อพายุอุบัติขึ้น
กระแสลมแรงกล้าเขย่าป่าสั่นสะท้าน
และห้วงเวหาคำรณ
และประกาศิตอานุภาพด้วยอสุนีบาต
ก็ขอให้ดวงใจเธออุทานในความพรั่นพรึงว่า
พระเป็นเจ้าเสด็จดำเนินผ่านไปในอารมณ์

และเนื่องจากเธอเป็นลมหายใจในแดนด้าวของพระองค์
และเป็นใบไม้ใบหนึ่งในสวนพฤกษาของพระองค์
เธอจึงควรพักสงบในเหตุผล
และเคลื่อนไปในอารมณ์ด้วยเช่นกัน



ความปวดร้าว

แล้วหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
ได้โปรดกล่าวถึง ความปวดร้าว
และท่านกล่าวว่า

ความปวดร้าวของเธอ
คือการแตกออกของเปลือกหุ้มความเข้าใจแจ้งของเธอเอง
เธอจักต้องรู้จักความปวดร้าว
เช่นกับที่เปลือกของเมล็ดพฤกษาจะต้องแตกออก
เพื่อให้ใจกลางของมันได้รับแสงอรุณ
และถ้าหากเธอสามารถกระทำดวงใจ
ให้ตื่นต่อความประหลาดมหัศจรรย์ในทุกวันของชีวิตได้แล้ว
เธอก็จะพบว่า ความปวดร้าวนั้น
น่าพิศวงไม่น้อยกว่าความปราโมทย์เลย
และเธอก็ยอมรับฤดูกาลของดวงใจ
ดังเช่นที่เธอได้ยอมรับฤดูกาล
อันเวียนผ่านไปบนท้องทุ่งของเธอฉะนั้น
และเธอก็เฝ้าพินิจอย่างสงบดื่มด่ำ
ตลอดเหมันตกาลของความทุกข์ระทมของเธอเอง

ความปวดร้าวของเธอนั้น
เป็นส่วนใหญ่ที่เธอได้เลือกเอาเอง
มันเป็นยาขมซึ่งแพทย์ภายในเธอ
ใช้รักษาอาตมันของเธออันเจ็บป่วยอยู่
ดังนั้น ขอจงวางใจในแพทย์นั้น
และจงดื่มโอสถของเขาด้วยความสงบอันดื่มด่ำเถิด
เพราะว่ามือของเขานั้น แม้หนักและกระด้าง
แต่ก็เคลื่อนไหวนำไปด้วยหัตถ์อันอ่อนโยนของอจินตภาวะ
และถ้วยยาที่เขานำมานั้น
แม้ว่ามันเผาไหม้ริมฝีปาก
แต่ก็ปั้นขึ้นจากดินซึ่งพระองค์ได้ทำให้เปียกชุ่ม
ด้วยน้ำพระเนตรของพระองค์เอง



การบรรลุธรรม

ชายคนหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดกล่าวแก่เราถึง การบรรลุธรรม
และท่านตอบว่า

ในความเงียบสงัดนั้น
ดวงใจของเธอหยั่งรู้ความลับของทิวาและราตรี
แต่โสตของเธอกระหายต่อสำเนียงของปัญญาแห่งดวงใจเธอ
เธอต้องการได้ยินเป็นคำพูด
ถึงสิ่งที่เธอได้ทราบอยู่ดีตลอดมาเป็นความคิด
เธอต้องการสัมผัสร่างเปลือยเปล่าของความฝันของเธอ
ด้วยนิ้วของเธอเอง และเธอก็ควรได้เช่นนั้น

น้ำพุแห่งดวงวิญญาณของเธอ
จำต้องผุดขึ้นและไหลรำพึงลงสู่มหาสมุทร
และสมบัติแห่งความลึกล้ำสุดหยั่งในเธอ
ก็จะเผยตนออกปรากฏแก่จักษุของเธอเอง
แต่ขออย่าได้นำเอาเครื่องชั่งใดๆ
มาวัดปริมาณของสมบัติอันเป็นอจินไตยนี้
และอย่าได้ใช้ไม้วัดหรือสายดิ่งใดๆ
มาวัดหยั่งความลึกแห่งปัญญาของเธอเลย
เพราะอาตมันเป็นห้วงสมุทรอันไร้ขอบเขตและวัดไม่ได้

อย่าได้กล่าวว่า "เราพบสัจธรรมแล้ว"
พึงกล่าวว่า "เราพบสัจจะข้อหนึ่ง"
อย่าได้กล่าวว่า "เราพบมรรคาของวิญญาณแล้ว"
แต่พึงกล่าวเพียงว่า
"เราได้พบวิญญาณดำเนินไปตามมรรคาของเรา"
เพราะวิญญาณนั้นดำเนินไปตามมรรคาทั้งหลาย
วิญญาณไม่ได้เดินไปตามเส้นทางเฉพาะใดๆ
และมิได้เติบโตเช่นไม้อ้อ
วิญญาณเผยตนเองออก
ประดุจดอกบัวขยายกลีบบาน
มีกลีบเกสรนับไม่ถ้วน



การสอน


แล้วครูคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
ได้โปรดกล่าวแก่เราถึง การสอน
และท่านพูดว่า

ไม่มีมนุษย์ใดอาจเปิดเผยสิ่งใดแก่เธอได้
นอกจากสิ่งที่ได้นอนซบเซาอยู่ก่อนแล้ว
ในขณะรุ่งอรุณแห่งปัญญาของเธอเอง

ครูผู้ยืนอยู่ภายใต้ร่มเงาโบสถ์ ในท่ามกลางสานุศิษย์
มิได้ให้ปัญญาของท่าน
แต่ให้ความเชื่อมั่นและความรักแก่ศิษย์
ถ้าท่านเป็นปราชญ์อย่างแท้จริงแล้ว
ท่านจะไม่นำเธอก้าวล่วงเข้าสู่เคหาสน์แห่งปัญญาของท่าน
แต่จะนำเธอไปสู่แทบธรณีแห่งดวงจิตของเธอเอง

นักดาราศาสตร์อาจกล่าวให้เธอฟัง
ถึงความเข้าใจของเขาต่อท้องฟ้า
แต่เขาก็ไม่อาจหยิบยกความเข้าใจอันนั้นให้แก่เธอได้
นักดนตรีอาจร้องทำนองเพลงทั้งหลาย
อันมีอยู่ในห้วงเวหาให้เธอฟัง
แต่เขาก็ไม่อาจให้โสตอันสดับจับทำนอง
หรือสำเนียงอันร้องสะท้อนรับทำนองนั้นแก่เธอได้
ผู้ชำนาญทางคณิตศาสตร์อาจบอกเธอถึงมาตรการวัด
และระบบการชั่งวัดทั้งหมดแก่เธอ
แต่เขาก็ไม่อาจนำเธอก้าวเลยไปจากนั้น

เพราะว่าการเห็นของบุคคลหนึ่ง
ไม่อาจให้ปีกแก่บุคคลอื่นขอยืมได้
และดังเช่นที่เธอแต่ละคนยืนโดดเดี่ยว
อยู่ในปัญญาของพระเป็นเจ้า
ก็จำเป็นที่เธอแต่ละคนจะต้องยืนอยู่เฉพาะตน
ในขณะเมื่อมีปัญญาหยั่งรู้ถึงพระองค์
และในปัญญาหยั่งรู้พื้นพิภพ



มิตรภาพ

และชายหนุ่มคนหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดกล่าวถึงมิตรภาพ และท่านตอบว่า


มิตรคือคำตอบต่อความต้องการของเธอ
เขาเป็นเหมือนท้องทุ่งที่เธอหว่านด้วยความรัก
และเก็บเกี่ยวด้วยความขอบคุณ
และเขาเป็นดุจโต๊ะอาหารและร่มไม้ของเธอ
ด้วยเหตุว่า
เธอมาสู่เขาด้วยความหิวโหย
และเธอใฝ่หาเขาเพื่อความสงบใจ

เมื่อเพื่อนพูดเปิดอก
เธอย่อมไม่กลัวที่จะขัดแย้งหรือสนับสนุน
และเมื่อเขานิ่งเงียบ
ดวงใจของเธอก็มิได้หยุดฟังสำเนียงจากดวงใจของเขา
เพราะในมิตรภาพนั้น
ความนึกคิด ความปรารถนา
และความมุ่งหวังทั้งหลายย่อมอุบัติขึ้น
และร่วมรับรู้ด้วยกันในความสงัด
และด้วยความปราโมทย์อันไร้คำกล่าวใดๆ

เมื่อยามต้องจากเพื่อนเธอก็ไม่เศร้าโศก
เพราะคุณธรรมในเขาอันเธอรักยิ่งนัก
จะปรากฏชัดแจ้งขึ้นในยามห่างไกล
เช่นเดียวกับที่ชาวเขาจะเห็นยอดผาชัดแจ้ง
ก็ต่อเมื่อมองดูจากทุ่งราบเท่านั้น

และขออย่าได้มีความมุ่งหมายใดๆ ในมิตรภาพเลย
นอกจากเพื่อขยายดวงวิญญาณให้กว้างขวางลึกซึ้งขึ้น
เพราะความรักที่มุ่งหวังสิ่งใดอื่น
นอกจากเพียงเพื่อเปิดเผยความล้ำลึกของตนเองนั้น
มิใช่ความรัก
แต่เป็นร่างแหที่ถูกเหวี่ยงทอดออก
และจะจับเอาไว้ได้ก็แต่สิ่งที่ไร้คุณค่าเท่านั้น

และจงให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่มิตรของเธอ
ถ้าหากเขาจำต้องรู้ระดับน้ำของเธอขณะน้ำลด
ก็ขอให้เขาได้รู้ขณะมันเอ่อท้วมท้นด้วย

เพื่อนที่เธอแสวงหาเฉพาะขณะเมื่อยามต้องการฆ่าเวลาเท่านั้น
จะมีคุณค่าอะไร?
จงใฝ่หาเขาขณะที่เธอปรารถนาจะดำรงอยู่อย่างแท้จริงด้วย
เพราะเขามีหน้าที่อันจะทำความปรารถนา-มิใช่ความว่างเปล่าของเธอ
ให้เต็มเปี่ยม

และในความหวานชื่นของมิตรภาพ
ขอจงมีเสียงหัวเราะและการร่วมเริงบันเทิง
เพราะในหยาดน้ำค้างของสิ่งเล็กน้อยนั้นเอง
ดวงใจจะได้พบรุ่งอรุณของมัน
และกลับสดใสอีก



การพูดคุย

และนักศึกษาผู้หนึ่งกล่าวว่า
โปรดพูดถึง การพูดคุย
และท่านตอบว่า

เธอพูดในเมื่อเธอไม่ยอมอยู่สงบกับความคิดของเธอเอง
และเมื่อเธอไม่อาจดำรงอยู่กับความโดดเดี่ยวแห่งดวงใจนั้น
เธอก็ยังชีพอยู่บนริมฝีปาก
และสำเนียงก็เป็นเครื่องกล่อมให้เพลิดเพลินและให้เวลาผ่านไป
และในการพูดของเธอนั้น
ส่วนใหญ่ความนึกคิดถูกประหารเสียครึ่งหนึ่ง


เพราะความคำนึงเป็นปักษีแห่งห้วงเวหา
แม้อาจกางปีกออกได้ในกรงแห่งคำพูด
แต่ก็ไม่อาจบินไปได้

ยังมีบางคนในหมู่เธอที่แสวงหาคนช่างพูด
ด้วยกลัวว่าจะต้องอยู่เปล่าเปลี่ยว
ความสงัดแห่งความโดดเดี่ยว
ได้เผยให้เขาเห็นอาตมันอันเปล่าเปลือยของตนเอง
และเขาต้องการหนีไป

ยังมีบางคนที่พูด
และได้เปิดเผยสัจจะซึ่งตนเองไม่เข้าใจออกมา
ทั้งที่ตนเองก็มิได้คิดหรือมีปัญญารู้อยู่ก่อนเลย
และยังมีอีกที่ประจักษ์สัจธรรมในตนแล้ว
แต่มิได้กล่าวออกมาเป็นคำพูด
ในทรวงอกของคนเหล่านี้เอง
วิญญาณดำรงอยู่ด้วยจังหวะของความสงบสงัด


เมื่อใดเธอพบเพื่อนที่ริมถนนหรือในตลาด
ขอให้วิญญาณภายในเธอ
เคลื่อนริมฝีปากและชักนำลิ้นของเธอ
ขอให้สำเนียงภายในเสียงของเธอ
กล่าวต่อโสตภายในโสตของเขา
เพราะวิญญาณของเขาจักได้รับรักษาสัจจะแห่งดวงใจของเธอ
ดังเช่นที่รสของเหล้าองุ่นถูกจำเอาไว้ได้
แม้ในเมื่อสีสันถูกลืมเลือนไป
และภาชนะบรรจุแตกสลายไปแล้ว



เวลา

และนักดาราศาสตร์คนหนึ่ง
ถามว่าเวลา เป็นอย่างไร
และท่านตอบว่า

เธอปรารถนาจะวัดกาลเวลาอันไร้การวัดและวัดไม่ได้
เธอปรารถนาจะจัดความประพฤติและแม้กระทั่ง
นำแนวทางเดินของเธอไปตามโมงยามและฤดูกาล
เธอปรารถนาจะสร้างกระแสธารขึ้นจากเวลา
เพื่อว่าเธอจะได้นั่งบนฝั่งและเฝ้าดูมันไหลเลื่อนผ่านไป
แต่ว่าสภาวะไร้กาลเวลาในเธอนั้นย่อมรู้พร้อมอยู่เสมอ
ถึงความไร้กาลเวลาของชีวิต
และรู้ชัดว่า เมื่อวานนี้เป็นเพียงความทรงจำของวันนี้
และพรุ่งนี้เป็นความฝันของวันนี้
และสิ่งที่ร้องเริงและรำพึงอยู่ในเธอนั้น
ก็คงยังดำรงอยู่ในขอบเขตแห่งขณะแรก
เมื่อดวงดาวถูกสาดกระจายไปในเวหา

ใครในหมู่เธอบ้างที่รู้สึกว่าอำนาจของตนที่จะรักนั้นไร้ขอบเขต
และใครบ้างที่ไม่รู้สึกว่าความรักนั้นเอง
แม้ไร้ขอบเขตจำกัด
แต่ก็ถูกโอบอุ้มไว้ในท่ามกลางแห่งตน
มิได้เคลื่อนที่จากความคิดหนึ่งไปยังอีกความคิดหนึ่ง
หรือจากการกระทำหนึ่งไปยังอีกการกระทำหนึ่ง

เวลาก็เป็นเช่นความรัก
แบ่ง ไม่ได้ และไม่เคลื่อนที่ไปเป็นก้าว
แต่ถ้าในความคำนึงของเธอจำเป็นต้องแบ่งวัดเวลาเป็นฤดูกาล
ก็ขอให้ฤดูกาลนั้นครอบคลุมฤดูกาลอื่นไว้ด้วย
และขอให้วันนี้จงโอบอุ้มอดีตไว้ด้วยความทรงจำ
และอนาคตด้วยความเฝ้ารอเถิด



คุณธรรม
และความชั่วร้าย

และผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดบอกเราถึงเรื่อง คุณธรรม และความชั่วร้าย
และท่านตอบว่า

เราอาจกล่าวถึงคุณธรรมในเธอได้
แต่มิอาจกล่าวถึงความชั่ว
เพราะความชั่วร้ายนั้นมิใช่อื่นไกล
มันคือคุณธรรมอันถูกทรมานโดยความหิวกระหายของตนเอง
แท้จริงนั้นเมื่อคุณธรรมความหิวโหยเกิดขึ้น
มันย่อมแสวงหาอาหารแม้ในถ้ำมืด
และเมื่อมันกระหาย มันย่อมดื่มได้แม้น้ำโสโครก

เธอมีคุณธรรมในเมื่อเธอเป็นหนึ่งเดียวกับตนเอง
แต่เมื่อเธอมิได้เป็นหนึ่งเดียวกับตนเอง
เธอก็มิได้ชั่วร้าย
เพราะบ้านที่แตกแยกนั้นก็ยังมิได้เป็นซ่องโจร
ยังคงเป็นเพียงบ้านที่แตกแยก

และนาวาอันไร้หางเสือ
แม้จะล่องลอยไปอย่างไม่มีจุดหมายในท่ามกลางหินโสโครก
แต่ก็ยังมิได้จมลงสู่ก้นสมุทร

เธอมีคุณธรรมในเมื่อเธอบากบั่นที่จะอุทิศตนเอง
แต่เมื่อเธอแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตน
เธอก็ยังไม่ชั่วร้าย
เพราะขณะเมื่อเธอแสวงหาผลประโยชน์นั้น
เธอเป็นดังรากไม้อันเกาะแนบแน่นกับแม่พระธรณี
และดูดกินอาหารจากอ้อมอกของนาง

เป็นที่แน่แท้ว่า
ผลไม้ไม่อาจกล่าวแก่รากไม้ว่า
จงเป็นเช่นเราสิ จงสุกสะพรั่ง
และอุทิศความสมบูรณ์ท่วมท้นของตนเถิด
ด้วยสำหรับผลไม้นั้น การอุทิศให้เป็นความจำเป็น
เช่นเดียวกับที่การรับเอาเป็นความจำเป็นของรากไม้

เธอมีคุณธรรมในเมื่อเธอตื่นเต็มที่ต่อคำกล่าวของตนเอง
แต่เธอก็ยังมิได้ชั่วร้ายขณะเมื่อเธอหลับ
ทั้งที่ลิ้นของเธอกระดิกไปโดยไร้ความหมาย
ด้วยแม้คำพูดพล่อยที่เพ้อออกมานั้น
ยังอาจทำลิ้นอันอ่อนให้แข็งแรงขึ้นได้
เธอมีคุณธรรมในเมื่อเธอก้าวสู่จุดหมาย
อย่างมั่นคงและด้วยฝีก้าวห้าวหาญ
แต่แม้เมื่อเธอเดินไปอย่างอ่อนเปียก เธอก็มิได้ชั่วร้าย
เพราะแม้ผู้เดินโซเซไปก็ยังมิได้ถอยหลัง
แต่เธอผู้แข็งแรงและว่องไวอยู่
จงระวังให้ดีว่า เธอเองมิได้อ่อนเปลี้ยไปก่อนผู้พิการ เ
ธอมีคุณธรรมได้โดยทางนับไม่ถ้วน
แต่ก็ยังไม่ชั่วร้ายแม้ว่าไร้คุณธรรม
เธอยังแต่เพียงล้าหลัง และเกียจคร้านอยู่เท่านั้น

เป็นที่น่าสงสารว่า
เจ้ากวางหนุ่มไม่อาจสอนความฉับไวให้แก่เต่าตะพาบได้
คุณธรรมของเธอนั้นอยู่ในความเฝ้ารอ
ความบรรลุธรรมอันยิ่งใหญ่ของเธอเอง
และความเฝ้ารอนั้นก็มีอยู่ในทุกตัวคน
ความเฝ้ารอของเธอบางคนนั้นเป็นประดุจสายน้ำ
พุ่งไปด้วยกำลังแรงสู่ห้วงสมุทร
นำเอาความลี้ลับของเนินเขา
และบทเพลงของแนวป่าไปพร้อมกับตน
และในบางคนมันก็เป็นธารน้ำไหลเรียบวกวนไปมา
และค่อยเอื่อยอยู่กว่าจะถึงฝั่งทะเล
แต่ขออย่าให้ผู้รอคอยอย่างจริงจัง
กล่าวแก่ผู้ไม่เฝ้ารอเท่าใดนักว่า
เธอยังมัวชักช้าอยู่ด้วยเหตุใด
และหยุดอยู่ด้วยเหตุใด
ด้วยผู้ทรงคุณธรรมแท้จริงนั้น
ย่อมไม่ถามผู้เปล่าเปลือยว่า
เสื้อผ้าของเธออยู่ที่ไหน
หรือถามผู้ไร้บ้านว่า
บ้านของเธอเป็นอะไรไป



การสวดวิงวอน

แล้วนักบวชสตรีรูปหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดสอนเราถึงเรื่อง การสวดวิงวอน
และท่านตอบว่า

เธอมักสวดวิงวอนเฉพาะขณะเมื่อมีความทุกข์
และเกิดความจำเป็นต้องการ
เธอควรจะสวดด้วยในขณะเมื่อมีความปราโมทย์อย่างเต็มเปี่ยม
และในวันวารแห่งความสมบูรณ์เพียบพร้อมของเธอ
เพราะการสวดวิงวอนนั้น จะเป็นอะไรอื่น
ไปจากการขยายอาตมันในตนเข้าสู่ห้วงเวหาอันมีชีวิต
และถ้าหากเธอรู้สึกสบายใจ
ในการถ่ายเทความมืดมนเข้าสู่ห้วงเวหานั้น
ก็ควรจะมีความชื่นชมที่จะถ่ายเทรุ่งอรุณแห่งดวงใจของเธอด้วย
และถ้าเธอทำได้แต่สะอื้นไห้
ในเมื่อดวงวิญญาณนำเธอให้สวดวิงวอน
มันก็ควรจะกระตุ้นเตือนเธอแล้วเตือนอีก
ทั้งๆ ที่เธอร่ำไห้อยู่จนกว่าเธอจะหัวเราะได้

ในขณะเมื่อเธอสวดวิงวอนนั้น
เธอลอยขึ้นสู่เวหาเพื่อพบกับบรรดาผู้กำลังสวดอยู่ในขณะเดียวกัน
ซึ่งเธอจะไม่มีโอกาสพบเลยนอกขณะสวด
ดังนั้นขอให้การเข้าเยี่ยมเยือนโบสถ์อันมองเห็นไม่ได้นั้น
อย่าเป็นไปเพื่อสิ่งอื่นใดเลย นอกจากความซาบซึ้ง
และการอยู่ร่วมอันหวานล้ำ
เพราะถ้าเธอข้าสู่วิหารเพียงเพื่อวอนขอแต่อย่างเดียว
เธอจะไม่ได้รับ
และถ้าเธอเข้าสู่วิหารนั้นเพื่อน้อมตนลงต่ำ
จะไม่มีผู้ใดยกพยุงเธอขึ้น
หรือแม้เธอเข้าไปวอนขอคุณความดีจากผู้อื่น
ก็จะไม่มีใครเอาใจใส่ฟังเธอ

เป็นการเพียงพอแล้วที่เธอจักย่างเข้าสู่วิหารนั้น
อย่างไม่มีจักษุใดมองเห็นได้
เราไม่อาจสอนเธอให้สวดเป็นถ้อยคำใดๆ ได้
พระเป็นเจ้ามิได้ฟังคำพูดของเธอ
นอกจากเมื่อพระองค์เองตรัสผ่านริมฝีปากของเธอ
และเราก็ไม่อาจสอนเธอถึงคำสวด
ของท้องทะเล แนวไพร และขุนเขา

แต่เธอที่เกิดอยู่ท่ามกลางขุนเขาลำเนาไพรและท้องทะเล
ย่อมพบคำสวดของสิ่งเหล่านี้ในดวงใจของเธอ
และถ้าเพียงแต่เธอเฝ้าฟังอยู่ในความสงัดนิ่งแห่งราตรีกาล
เธอก็จะได้ยินมันในความสงบว่า
พระเป็นเจ้า พระผู้เป็นอาตมัน ล่วงเวหาได้ในเรา
ความมุ่งมาดของพระองค์นั้นเองเป็นความมุ่งมาดในเรา
ความปรารถนาของพระองค์เป็นความปรารถนาของเรา
และความกระตุ้นเตือนของพระองค์ในเรานั้นเอง
ย่อมแปรราตรีกาลอันเป็นของพระองค์ ให้เป็นทิวากาล
ซึ่งก็เป็นของพระองค์ด้วย
เราไม่อาจวอนขอสิ่งใดจากพระองค์ได้
เพราะพระองค์ทรงหยั่งถึงความจำเป็นของเรา
แม้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นในตัวเรา
พระองค์เป็นความจำเป็นของเรา
และในการอุทิศประทานพระองค์เองยิ่งขึ้น
พระองค์ก็ได้ประทานทั้งหมดแก่เราแล้ว



ความบันเทิง

แล้วนักพรตรูปหนึ่งซึ่งเข้ามาในเมืองปีละครั้ง
ก้าวออกมาและพูดว่า
ได้โปรดบอกพวกเราถึงเรื่อง ความบันเทิง
และท่านตอบว่า

ความบันเทิงเป็นบทเพลงอิสรภาพ
แต่ว่ามันมิใช่อิสรภาพ
มันเป็นการผลิบานของความปรารถนาของเธอ
แต่มันก็มิใช่ผลพฤกษ์ของความปรารถนานั้น
มันเป็นความลึก กู่เรียกต่อความสูงส่ง
แต่มันเองก็มิใช่ความลึก หรือความสูง
มันเป็นกรงขังอันได้ปีกบิน แต่มันก็มิใช่เวหาอันบรรลุแล้ว
ถูกละ ตามความสัตย์จริงนั้น
ความบันเทิงเป็นบทเพลงแห่งอิสรภาพ
และเราก็พอใจจะให้เธอร้องเพลงนี้ด้วยดวงใจเต็มเปี่ยม
แต่ก็ไม่อยากให้เธอสูญเสียใจไปในการร้องเพลงนั้น
เธอบางคนที่ยังหนุ่ม เสาะแสวงหาความบันเทิง
ราวกับว่ามันเป็นสิ่งสูงสุดแล้ว
และเขาก็ถูกพิพากษาและภาคทัณฑ์

เราเองจะไม่พิพากษาหรือว่ากล่าวเขา
แต่อยากจะให้เขาใฝ่หา
เพราะเขาไม่พบแต่เพียงความบันเทิงอย่างเดียว
นางมีน้องอยู่เจ็ดนาง
และน้องสุดท้องนั้นงดงามยิ่งกว่านางเองนัก
เธอไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าถึงคนขุดดิน หารากไม้
แล้วได้พบทรัพย์สมบัติหรอกหรือ

เธอผู้สูงอายุบางคนระลึกถึงความบันเทิงด้วยความเสียใจ
ดุจว่าเป็นความผิดที่กระทำไปขณะมึนเมา
แต่ความเสียใจนั้นเป็นหมอกเฝ้าคลุมดวงจิต
และมิใช่สิ่งที่ชำระมันให้บริสุทธิ์
เขาควรจะระลึกถึงความบันเทิงของตนด้วยความสำนึกคุณ
ดังเช่นที่เขาระลึกถึงการเก็บเกี่ยวในคิมหันตกาล
แต่ถ้าหากเขาจะสบายใจได้โดยการเสียใจนั้น
ก็ให้เขาได้สบายใจเช่นนั้นเถิด
และยังมีเธอบางคนที่อ่อนเกินจะเสาะแสวง
หรือแก่เกินกว่าที่จะจำได้
เนื่องด้วยกลัวต่อการใฝ่หาและทรงจำ
เขาก็หลีกหนีความบันเทิงทั้งหลายเสีย
ด้วยกลัวว่าจะฝ่าฝืนหรือผิดธรรมะ
แต่ในการกระทำเช่นนั้นเอง เขาก็มีความบันเทิง
ด้วยเหตุนี้ เขาก็พบสมบัติเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะขุดหารากได้ด้วยมือสั่นเทา

แต่ได้โปรดบอกกับเราว่า
ใครนะสามารถขัดแย้งธรรมะได้
เจ้านกไนติงเกลทำให้ความสงัดแห่งราตรีโกรธ
หรือเจ้าหิ่งห้อยกระทำให้ดวงดาวโกรธได้ละหรือ
และเปลวไฟหรือควันคลุ้มของเธอนั้น
จะเดือดร้อนแก่สายลมละหรือ
เธอคิดหรือว่าวิญญาณเป็นสระน้ำนิ่ง
ที่เธอจะแกว่งกวนให้กระเพื่อมได้ด้วยไม้
บ่อยครั้งในการปฏิเสธต่อความบันเทิงนั้น
เธอได้แต่สะสมความกระหายไว้ในส่วนลึกของตนเอง
ใครบ้างจะรู้ว่าสิ่งที่ละเว้นไว้ในวันนี้นั้น
รอคอยโอกาสแห่งวันพรุ่งอยู่
แม้กายของเธอก็ล่วงรู้เชื้อสาย
และความต้องการอันถูกต้องของมันเอง
และไม่มีใครหลอกมันได้
และกายของเธอนั้น เป็นประดุจพิณของวิญญาณเธอ
แล้วแต่ว่าเธอจะทำให้เกิดดนตรีไพเราะ
หรือสำเนียงระคายโสตขึ้น

และบัดนี้ เธอถามในดวงใจว่า ในความบันเทิงนั้น
เราจะแยกสิ่งที่มีคุณธรรมออกจากสิ่งไร้คุณธรรมได้อย่างไร
จงไปถามท้องทุ่งและไร่สวนของเธอดู
และเธอก็จะเรียนรู้ว่า
ผึ้งนั้นมีความบันเทิงในการเก็บน้ำหวานจากดอกไม้
และดอกไม้ก็มีความบันเทิงด้วย
ในการยอมให้น้ำหวานแก่แมลงผึ้ง
สำหรับแมลงผึ้งนั้น บุปผาเป็นธารน้ำพุแห่งชีวิต
และสำหรับบุปผานั้น แมลงผึ้งก็เป็นผู้นำสารแห่งความรัก
และสำหรับทั้งคู่ คือแมลงผึ้งและบุปผา
การให้และการรับความบันเทิงนั้น
เป็นทั้งความจำเป็นและความหวานซาบซึ้ง
ประชาชนชาวออร์ฟาลีสทั้งหลาย
จงมีความบันเทิงดังเช่นบุปผาและแมลงผึ้งเถิด



ความงาม

และกวีผู้หนึ่งกล่าวว่า
ได้โปรดพูดถึง ความงาม
และท่านตอบว่า

เธอจะแสวงหาความงามที่ไหน
และจะพบได้อย่างไรกัน ถ้าความงามนั้นเองมิได้เป็นทาง
และเป็นผู้นำทางของเธอด้วย
และเธอจะพูดถึงความงามได้อย่างไร
ถ้าหากนางเองมิได้เป็นผู้ร้อยกรองคำพูดของเธอ

ผู้ระทมทุกข์ และผู้เจ็บปวดกล่าวว่า
ความงามนั้นมีเมตตาและอ่อนโยน
เธอย่างกรายไปท่ามกลางพวกเรา
ประหนึ่งมารดาสาวผู้เอียงอายในความเฉิดโฉมของตนเอง
และผู้มีอารมณ์แรงกล่าวว่า ไม่ใช่
ความงามนี้เป็นสิ่งทรงอานุภาพและพึงสยอง
นางสั่นสะเทือนพื้นพิภพ และห้วงเวลาเบื้องบนดุจพายุใหญ่
ผู้เหน็ดเหนื่อยและผู้อ่อนเพลียกล่าวว่า
ความงามคือเสียงกระซิบอ่อนโยน ดังแผ่วอยู่ในวิญญาณของเรา
สำเนียงของนางนั้นยอมตามต่อความเงียบสงัดของเรา
ดุจเปลวไฟริบหรี่ซึ่งสั่นระริกด้วยความพรั่นพรึงต่อเงามืด
แต่ผู้ไม่สงบกล่าวว่า
เราได้ยินเสียงของนางกู่ก้องอยู่ท่ามกลางขุนเขา
และพร้อมกับเสียงของนางนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าม้า
เสียงกระพือปีกและเสียงคำรามของราชสีห์ ณ ยามราตรี
ยามรักษานครกล่าวว่า
ความงามจะผุดขึ้นพร้อมกับรุ่งอรุณจากฟากฟ้าตะวันออก
และ ณ กลางเที่ยง
ผู้กรำงานและผู้สัญจรทางไกล กล่าวว่า
เราได้เห็นนางเยี่ยมมองพื้นโลกจากบัญชรแห่งอัสดงคต
ในเหมันตกาล ผู้อยู่ท่ามกลางปุยหิมะกล่าวว่า
นางจะย่างก้าวข้ามเนินเขามาพร้อมกับไม้ผลิ
และในความร้อนระอุแห่งคิมหันตกาล
ผู้เก็บเกี่ยวพูดว่า เราได้เคยเห็นนางเริงรำอยู่กับใบไม้ร่วง
มีปุยหิมะเลื่อนไหลอยู่บนผมของนาง

เธอได้กล่าวถึงความงามด้วยถ้อยคำเหล่านี้
แต่ที่จริงนั้น เธอมิได้กล่าวถึงความงาม
แต่หากกล่าวถึงความปรารถนาของเธออันยังไม่บรรลุผล
และความงามก็มิใช่ความจำเป็นที่ต้องการ
แต่เป็นความดื่มด่ำ
มันมิใช่ปากอันแห้งกระหาย หรือมือว่างเปล่าที่ชูขอ
แต่เป็นดวงใจอันลุกโรจน์ และดวงวิญญาณที่บรรเจิดจ้า
ความงามมิใช่ภาพที่เธอจะเห็นได้
หรือเพลงที่เธอจะได้ยิน
แต่เป็นภาพที่เธอจะเห็นผ่านดวงตาที่ปิดแล้ว
และเพลงที่เธอได้ยินแม้อุดโสตเสียแล้ว
ความงามมิใช่ยางที่ซึมซาบจากรอยขูดของเปลือกไม้
หรือปีกที่ติดอยู่กับอุ้งเล็บ
แต่เป็นสวนพฤกษชาติอันบานสะพรั่งตลอดกาล
และหมู่เทพยเจ้าอันเหินเวหาอยู่ตลอดกาล

ประชาชนชาวออร์ฟาลีส
ความงามนั้นคือชีวิตที่เลิกม่านคลุมพักตร์ของนางออกแล้ว
แต่เธอเองก็เป็นทั้งชีวิตและม่านคลุม
ความงามคือนิรันดรภาพซึ่งเพ่งดูตนเองในกระจก
แต่เธอก็เป็นทั้งนิรันดรภาพและเป็นกระจกด้วย



ศาสนา

นักพรตชรารูปหนึ่งพูดว่า
โปรดพูดถึงเรื่อง ศาสนา
และท่านตอบว่า

วันนี้เราได้พูดถึงเรื่องอื่นใดหรือ
ศาสนานั้นมิใช่การกระทำทั้งหมด
และความคำนึงทั้งหมดหรอกหรือ
และนอกจากนั้นศาสนามิใช่การกระทำ
หรือความคำนึง
แต่เป็นความซาบซึ้ง
สนเท่ห์อันผุดขึ้นมามิหยุดหย่อนในดวงวิญญาณ
แม้ขณะเมื่อมือบดหิน หรือถือไม้กวาดอยู่หรอกหรือ

ใครบ้างที่สามารถแยกศรัทธาออกจากการกระทำของตนเอง
หรือแยกความเชื่อมั่นออกจากการอาชีพของตนได้
ใครบ้างที่สามารถแผ่โมงยามออกตรงหน้า และกล่าวว่า
ตอนนี้สำหรับพระเป็นเจ้า ตอนนี้สำหรับตัวเอง
สิ่งนี้สำหรับวิญญาณ และสิ่งนี้สำหรับร่างกายของเรา
โมงยามทั้งหมดของเธอนั้น
เป็นประดุจปีกกระพือผ่านอาตมันสู่อาตมัน
ผู้ใดก็ตามที่สวมใส่จริยธรรมของตนดังอาภรณ์ประดับกายนั้น
ควรจะอยู่เปลือยเปล่าเสียดีกว่า
สายลมและแสงแดดคงจะไม่ถึงกับฉีกและเผาผิวหนังของเขาได้

และผู้ใดก็ตามจำกัดตนด้วยกฎแห่งจริยธรรม
ก็เปรียบเสมือนขังนกเพลงไว้ในกรง
เพลงอันไพเราะและมีอิสระนั้น
ไม่อาจออกมาจากกรงและตาข่ายได้
และใครก็ตามที่ถือว่า
การบูชาเป็นเสมือนหน้าต่าง มีเวลาเปิดและปิด
ผู้นั้นยังไม่เคยไปถึงที่พำนักแห่งจิตวิญญาณของตนเอง
ซึ่ง ณ ที่นั้นหน้าต่างเปิดอยู่นิรันดร

พึงระลึกไว้ว่า ทุกขณะชีวิตของเธอนั้น
คือโบสถ์วิหาร และศาสนาของเธอ
เมื่อใดเธอเข้าไปสู่วิหารนั้น
จงนำทั้งหมดที่เธอมีอยู่เข้าไปด้วย
จงนำเอาคันไถ เตาสูบ ค้อน และขลุ่ยเข้าไปด้วย
จงนำเอาทุกสิ่งที่เธอสร้างขึ้นด้วยความจำเป็น
หรือด้วยความชื่นชมเข้าไปด้วย
เพราะในความเคลิ้มฝันนั้น
เธอไม่อาจลอยเหนือขึ้นความสำเร็จผลของเธอเอง
หรือตกลงต่ำกว่าความพลาดหวังของเธอเองได้
และจงนำเอาชนทั้งหลายเข้าไปด้วยกับเธอ
เพราะในการบูชาบวงสรวงนั้น
เธอไม่อาจลอยสูงเหนือความหวังของเขาเหล่านั้น
และไม่อาจตกลงไปต่ำกว่าความสิ้นหวังของเขาเหล่านั้น
และถ้าเธอต้องการจะบรรลุถึงพระเป็นเจ้า
ก็อย่าทำตนเป็นผู้ขบปัญหา
ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ ตัว
และเธอก็จะเห็นพระองค์ทรงเล่นหัวอยู่กับลูกหลานของเธอ
และเมื่อมองขึ้นไปบนเวหา
เธอก็จะเห็นพระองค์ย่างก้าวไปในหมู่เมฆ
ปรากฏในสายอัสนี และลงมาพร้อมกับสายฝน
เธอจะเห็นพระองค์ ทรงแย้มสรวลในหมู่บุปผาชาติ
และโบกพระหัตถ์อยู่ในทิวไม้



ความตาย

แล้วอัลมิตราก็กล่าวว่า
ณ บัดนี้เราจะได้ถามท่านถึงเรื่อง ความตาย
และท่านตอบว่า

เธอต้องการรู้ความลับของความตาย
แต่เธอจะพบมันที่ไหนเล่า
นอกจากจะแสวงเอาในท่ามกลางของชีวิต

นกแสกผู้มีตามืดต่อกลางวัน
ย่อมไม่อาจเข้าใจกระจ่างถึงความลับแห่งแสงสว่างได้
ถ้าเธอต้องการเห็นวิญญาณแห่งความตายจริงๆ แล้ว
ขอจงเปิดดวงใจของเธอต่อกายแห่งชีวิตเถิด
เพราะชีวิตและความตายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ดังเช่นที่แม่น้ำและทะเลเป็นหนึ่งเดียวกัน

ในความล้ำลึกของความหวังและความปรารถนาของเธอนั้น
มีความหยั่งรู้อันไร้คำกล่าวถึงสภาวะแห่งโลกหน้า
และดวงใจของเธอก็เฝ้าฝันถึงยามใบไม้ผลิ
เช่นกับที่เมล็ดพันธุ์พืชฝันรออยู่ใต้ปุยหิมะ
จงเชื่อความฝันนั้น
เพราะในความฝันนั้นเอง
เป็นที่แฝงเร้นของทวารไปสู่นิรันดร
ความกลัวต่อความตายของเธอนั้น
เป็นเพียงความสั่นกลัวของเด็กเลี้ยงแกะ
เมื่อเขายืนเฉพาะพระพักตร์ขององค์กษัตริย์
ผู้ทรงเอื้อมพระหัตถ์มาเพื่อประทานศักดิ์แก่ตน
ภายใต้ความสั่นกลัวนั้น
เขาไม่รู้สึกปราโมทย์หรือว่าจะได้เป็นข้าราชบริพาร
และเขาไม่สำนึกถึงความสั่นกลัวของเขายิ่งขึ้นหรอกหรือ

เพราะการเข้าสู่ความตายนั้น
จะเป็นอะไรอื่นจากการยืนเปล่าเปลือยในกระแสลม
และการหลอมละลายเข้าสู่แสงอรุณ
และการหยุดลมหายใจนั้นเล่า
จะเป็นอะไรอื่นจากการปลดเปลื้องมันจากการเข้าออกไม่หยุดหย่อน
เพื่อว่ามันจะได้ลอยขึ้น ขยายออกและมุ่งหาพระผู้เป็นเจ้า

เมื่อใดเธอได้ดื่มกินจากธารน้ำแห่งความสงัดนิ่งแล้ว
เธอจะสามารถร้องเพลงได้อย่างแท้จริง
และเมื่อเธอขึ้นจากยอดเขาแล้ว
นั่นแหละเธอจึงจะเริ่มปีนไต่
และเมื่อใดพื้นพิภพโอบอุ้มเธอแนบแน่นแล้ว
เธอจึงจะเริงรำได้อย่างแท้จริง



บทอำลา

และ ณ บัดนี้ก็ถึงสนธยากาล
และอัลมิตราผู้เห็นธรรมพูดว่า
ขอสวัสดิภาพจงมีแด่วันนี้ สถานที่นี้
และวิญญาณของพระคุณท่านอันได้พูด

และท่านตอบว่า
เราหรือเป็นผู้พูด
เรามิได้เป็นผู้ฟังด้วยหรอกหรือ
แล้วท่านก้าวลงบันไดโบสถ์
และประชาชนชาวออร์ฟาลีสก็ตามท่านไป
ท่านขึ้นไปถึงเรือและยืนบนกราบและหันมาทางฝูงชนอีก

ท่านเอ่ยปากกล่าวว่า
ประชาชนชาวออร์ฟาลีส กระแสลมได้เตือนเราแล้ว
เรามิได้เร่งร้อนดังเช่นสายลม แต่เราก็ต้องไป
พวกเราเป็นผู้เที่ยวไป
ค้นหาทางจรอันเปลี่ยวกว่าเดิมเสมอ
เมื่อวันหนึ่งสิ้นสุดลงแล้ว ก็มิได้เริ่มต้นวันใหม่ ณ ที่ใด
สนธยากาลจากเราไปแล้ว รุ่งอรุณก็มิได้พบเราอีก
เราเดินทางไปแม้ขณะพื้นพิภพหลับสนิท
พวกเราเป็นเมล็ดพันธุ์ของพฤกษาที่มิรู้สูญ
ในความสุกสะพรั่งและเติบโตเต็มเปี่ยมนั้น
เราถูกส่งให้กระแสลม เพื่อว่าจะได้แผ่กระจายไป

วันเวลาที่เราได้อยู่ท่ามกลางพวกเธอนั้นน้อย
แต่คำกล่าวที่เราได้พูดต่อเธอยังน้อยกว่านั้น
แต่ถ้าหากคำกล่าวของเราจางไปจากหูของเธอ
และความรักของเราสูญไปในความทรงจำของเธอ
เราจะกลับมาอีก
และเราจะพูดกับเธอด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมกว่านี้
และด้วยริมฝีปากที่ยอมตามวิญญาณมากกว่านี้

ถูกแล้ว เราจะกลับมาพร้อมกับกระแสน้ำ
และถึงแม้ความตายจะซ่อนบังเราไว้
แม้ความอันสงัดยิ่งกว่าจะห่อหุ้มเราไว้
เราก็จะยังแสวงหาความเข้าใจของเธออีก
และเราจะไม่แสวงหาโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าสิ่งใดที่เรากล่าวแล้วเป็นสัจธรรม
สัจธรรมนั้นๆ ก็จะเผยตนเองออก
ในสำเนียงอันกระจ่างแจ้งกว่า
และในถ้อยคำอันใกล้ชิดความคำนึงของเธอยิ่งกว่าเดิม

ประชาชนชาวฟาออร์ลีสทั้งหลาย
เราไปกับสายลม แต่มิใช่สู่ความสูญเปล่า
และถ้าหากวันนี้มิได้เป็นการบรรลุความต้องการของเธอ
และความรักของเรา
ก็ขอให้มันเป็นคำสัญญาจนกว่าจะถึงวันหน้า
ความปรารถนาของมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้
แต่ความรักของเขาไม่เปลี่ยน
และความต้องการที่จะให้ความรักของเขา
สนองความต้องการก็ไม่เปลี่ยน
ดังนั้น จงรู้ไว้เถิดว่า
เราจะกลับมาจากความสงัดอันยิ่งกว่านี้
หมอกซึ่งเลือนหายไป ณ รุ่งอรุณ
ทิ้งไว้แต่หยาดน้ำค้างในท้องทุ่ง
จะลอยขึ้นรวมตัวเป็นเมฆและกลับตกลงมาเป็นฝนอีก
และเราก็ได้เป็นหมอกมาแล้ว
ในความสงัดนิ่งแห่งราตรีกาล
เราได้เดินทางไปตามถนนของเธอ
และวิญญาณของเราได้เข้าเยือนตามบ้านของเธอ
และเสียงเต้นระทึกของดวงใจของเธออยู่ในดวงใจเรา
ลมหายใจของเธอต้องใบหน้าของเรา
และเราก็รู้จักเธอทั้งหมด

ถูกละ เรารู้ความปราโมทย์ และความปวดร้าวของเธอ
และในนิทรากาลนั้น ความฝันของเธอเป็นความฝันของเรา
และบ่อยครั้งที่เราอยู่ในท่ามกลางพวกเธอ
ดังเช่นทะเลสาบอยู่ท่ามกลางขุนเขา
เราสะท้อนยอดสูงของเธอ และลาดผาอันโค้งชัน
เราสะท้อนแม้ฝูงแกะแห่งความคำนึง
และความปรารถนาของเธออันเคลื่อนผ่านไป
และเสียงหัวเราะของลูกหลานของเธอ
กับทั้งความเฝ้าคอยแห่งความหนุ่มสาวของเธอก็ไหลมาในธารน้ำ
สู่ความสงัดนิ่งของเรา
และแม้เมื่อมาถึงความล้ำลึกของเราแล้ว
แม่น้ำและลำธารนั้นก็ยังไม่หยุดร้องเริง
แต่สิ่งที่หวานกว่าเสียงหัวเราะ
และยิ่งใหญ่กว่าการเฝ้าคอยก็มายังเราด้วย
นั่นคือสภาวะไร้ขอบเขตในเธอ

เขาทั้งหลายผู้ซึ่งเป็นเพียงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
เมื่อเขาเปล่งเสียงสวดนั้น
เสียงเพลงของเธอทั้งหมด
จะดูประหนึ่งความสั่นสะเทือนที่ไร้สำเนียง
ความไร้ขอบเขตของเขาทำให้เธอไร้ขอบเขต
และในการเห็นประจักษ์เขานั้น
เราก็เห็นประจักษ์เธอ และรักเธอด้วย
เพราะความรักนั้นจะแผ่ไปยังระยะใดเล่า
ถ้ามิใช่สู่เวหาอันไร้ขอบเขต
และความคิดฝัน ความหวัง
และความมุ่งหมายใดเล่าจะเกินเลยการแผ่กระจายนั้นไปได้
สภาพอันยิ่งใหญ่ในเธอนั้นเป็นประดุจพฤกษาใหญ่
มีกิ่งก้านสาขาปกคลุมด้วยไม้ดอกบานสะพรั่ง
อานุภาพของเขาผูกพันเธอไว้กับพื้นพิภพ
ความหอมกรุ่น พยุงเธอขึ้นสู่เวหา
และในความไม่รู้ดับสูญของเขานั่น เธอก็เป็นอมตะ

ได้มีผู้กล่าวว่า เธอนั้นเหมือนสายโซ่
อ่อนแอเหมือนห่วงอ่อนแอที่สุด
นี้เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว
เธอนั้นแข็งแรงดังเช่นห่วงที่แข็งแรงที่สุดเหมือนกัน
การวัดคุณค่าของเธอด้วยการกระทำที่ต่ำต้อยที่สุด
ก็เปรียบเสมือนการคิดพลังของห้วงสมุทร
จากความบอบบางของปุดพรายน้ำ
การวินิจฉัยเธอด้วยข้อผิดพลาดของเธอนั้น
ก็เช่นกับการกล่าวโทษฤดูกาล
เพราะความแปรปรวนของมัน

ถูกละ เธอเป็นดังห้วงสมุทร
และแม้ว่าเรือเกยแห้ง
จะรอกระแสน้ำอยู่บนฝั่งของเธอ
แต่ก็เช่นกับห้วงสมุทร
เธอไม่อาจเร่งกระแสน้ำของเธอได้
และเธอก็เป็นเช่นฤดูกาลด้วย
แม้ในเหมันตกาลนั้น เธอปฏิเสธฤดูใบไม้ผลิ
แต่ฤดูใบไม้ผลิพักสงบอยู่ภายใน
ก็ยิ้มอยู่ในความซบเซา และไม่ขัดเคืองแต่อย่างใด

อย่าคิดว่าเราพูดดังนี้
เพื่อเธอจักได้กล่าวแก่กันว่า
ท่านสรรเสริญเรา ท่านเห็นแต่คุณธรรมในเรา
เราพูดต่อเธอเฉพาะสิ่งที่เธอเองรู้ดีในความคิด
และปัญญาอันกล่าวเป็นถ้อยคำได้นั้น
จะเป็นอะไรอื่นจากเงาของปัญญาที่ไร้คำพูด
ความคำนึงของเธอ และคำกล่าวของเรา
เป็นระลอกคลื่นจากความทรงจำอันผนึกแน่น
ซึ่งบันทึกเมื่อวานนี้ของเราไว้
และบันทึกวันแห่งบุราณกาล
ในสมัยซึ่งพื้นพิภพยังไม่รู้จักเราหรือแม้ตนเอง
และบันทึกราตรีกาล ขณะเมื่อพื้นพิภพก่อตัวขึ้นในความสับสน

ปวงปราชญ์ได้มายังเธอเพื่อให้ปัญญา
แต่เรามาเพื่อเอาปัญญาของเธอไป
และจงรู้เถิดว่า เราได้พบสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่ว่า
ปัญญานั่นคือเปลววิญญาณในเธอ
ซึ่งรวบรวมตัวเองเพิ่มทุกขณะ
ขณะเดียวกันเธอผู้ซึ่งไม่สังเกตการแผ่ขยายของมัน ก็ก่นแต่ร่ำไห้
ชีวิตอันแสวงหาชีวิตในรูปกายนั้น ย่อมหวาดหวั่นต่อสุสาน
ที่นี่ไม่มีสุสาน
ขุนเขาและทุ่งราบเหล่านี้คือ เปลและขั้นบันได
เมื่อใด เธอผ่านท้องทุ่งที่เธอได้ฝังบรรพบุรุษไว้ ขอจงดูให้ดี
และเธอก็จะเห็นตนเองและลูกหลานเริงรำด้วยกัน
แท้จริงนั้น เธอมักจะเริงรำกันบ่อยโดยไม่รู้สึก
ผู้อื่นได้มาสู่เธอ
ซึ่งเธอได้ให้ทรัพย์ศฤงคาร และอำนาจราชศักดิ์แก่เขา
เพราะว่าเขาทำให้เธอเกิดศรัทธาว่าจะได้ผลตอบแทนในเบื้องหน้า
สำหรับเรานั้น เธอได้ให้ความกระหายต่อชีวิตอันล้ำลึกกว่า
เป็นที่แน่แท้ว่าไม่มีของขวัญใดล้ำค่าไปกว่า
สิ่งที่แปรความมุ่งหมายของผู้รับให้เป็นริมฝีปากแห้งผาก
และแปรชีวิตทั้งหลายเป็นธารน้ำพุ
นี่เองเป็นเกียรติ และของตอบแทนที่เธอให้แก่เรา
เมื่อใดเรามายังน้ำพุเพื่อจะดื่ม
เราก็ได้พบน้ำอันมีชีวิตนี้กระหายอยู่ด้วยแล้ว
และมันก็ดื่มเราด้วยขณะที่เราดื่มมัน

เธอบางคนได้คิดเอาว่า เราหยิ่งและอายเกินไปที่จะรับของให้
เรานี้หยิ่งผยองแน่แท้ต่อการรับค่าจ้าง แต่มิใช่ต่อของขวัญ
และถึงแม้เราได้กัดกินผลไม้อยู่ในขุนเขา
ขณะที่เธอก็พึงใจจะให้เรานั่งอยู่ที่โต๊ะของเธอ
และนอนอยู่ตามระเบียงโบสถ์
ขณะที่เธอก็ยินดีให้ที่พักอาศัยแก่เรา
แต่มิใช่ความห่วงใยด้วยความรักอันเธอ
มีต่อทิวาและราตรีของเรานี้หรอกหรือ
ที่ทำให้อาหารทั้งหลายของเรามีรสโอชา
และโอบรัดความหลับของเราไว้ด้วยความฝัน
เราสรรเสริญเธออย่างสูงในข้อนี้
เธอได้ให้มากมาย แต่ก็หาได้รู้แต่น้อยว่าเธอให้

เป็นสิ่งแน่แท้ว่า
ความเมตตากรุณาที่มองดูตนเองในกระจกเงานั้นย่อมแปรเป็นหินผา
และคุณธรรมอันเรียกชื่อตนเองอย่างเลิศลอยนั้น
เป็นต้นตอของความชั่วร้าย

และเธอบางคนได้กล่าวว่า
เราเก็บตัวและมึนเมาในความโดดเดี่ยวของตัวเอง
และเธอได้พูดกันว่า ท่านเป็นมิตรกับต้นไม้ในป่า มิใช่กับมนุษย์
ท่านนั่งอยู่โดดเดี่ยวบนยอดเขา และมองลงมายังบ้านเมืองเรา
เป็นความจริงที่เราได้ปีนขึ้นบนเขา และเที่ยวไปในที่ห่างไกล
เราจะเห็นเธอได้อย่างไร ถ้ามิใช่จากที่สูงหรือระยะไกล
เราจะอยู่ใกล้เธอได้อย่างไร ถ้าไม่ไปอยู่ไกลด้วย

และคนอื่นในหมู่เธอได้เรียกร้องเรา มิใช่เป็นคำพูด
และเขากล่าวว่า ท่านผู้แปลกถิ่น
ท่านผู้รักความสูงอันสุดเอื้อม
เหตุใดท่านจึงเที่ยวอยู่ตามยอดเขาอันเป็นที่ทำรังของนกอินทรี
ทำไมท่านจึงแสวงหาสิ่งอันบรรลุถึงไม่ได้
ท่านคิดดักพายุใดไว้ในตาข่ายของท่าน
ท่านตามล่านกชนิดใดในห้วงเวหา
ลงมาอยู่กับเราเถิด
ลงมาและบรรเทาความหิวของท่านด้วยขนมปังของเรา
และตับความกระหายด้วยน้ำองุ่นของเรา

เขากล่าวคำพูดเหล่านี้ในความเปล่าเปลี่ยวของวิญญาณ
แต่ถ้าหากความเปล่าเปลี่ยวของเขาลึกกว่านี้
เขาก็จะรู้ว่า
เราแสวงหาแต่ความลับของความปราโมทย์
และความปวดร้าวของเธอ
และเราเที่ยวตามล่าแต่อาตมันของเธอ
ซึ่งสัญจรในเวหา

แต่นายพรานนั้นก็ถูกล่าด้วยในขณะเดียวกัน
เพราะลูกธนูของเรามากมายหลุดจากแหล่ง
เพื่อจะย้อนปักทรวงอกของเราเอง
และผู้โผผินไปนั้นก็คือผู้คืบคลานไปด้วย
เพราะเมื่อปีกของเรากางแผ่ออกในแสงอรุณ
เงาของมันบนพื้นพิภพย่อมเคลื่อนไปดังเช่นเต่า
และเราผู้มีศรัทธาก็เป็นผู้สงสัยเองด้วย

เพราะบ่อยครั้งที่เราเอานิ้วจี้ลงบนบาดแผลของตนเอง
เพื่อว่าเราจักได้มีศรัทธายิ่งในเธอ
และมีความรู้ในตัวเธอมากขึ้นด้วย
และด้วยศรัทธาอันนี้
และปัญญาอันนี้ เราขอกล่าวว่า
เธอมิได้ถูกห่อหุ้มอยู่เฉพาะในร่างกายของเธอ
และก็มิได้ถูกจำกัดอยู่แต่ในบ้านหรือทุ่งนา
สิ่งซึ่งเป็นเธอนั้นดำรงอยู่เหนือขุนเขา
และเคลื่อนไปกับสายลม
มันมิใช่สิ่งที่คืบคลานออกมาตากแดดเพื่ออบอุ่น
หรือขุดรูลงในความมืดเพื่อหนีภัย
แต่เป็นสิ่งเสรี เป็นวิญญาณอันแผ่คลุมพื้นพิภพ
และเคลื่อนไปในเวหา

ถ้าหากคำพูดเหล่านี้เลือนราง
ก็อย่าได้พยายามทำมันให้กระจ่าง
ความเลือนรางและหมอกฝ้า
เป็นการเริ่มต้นของสรรพสิ่ง แต่มิใช่ปลายทางของมัน
และเราก็พอใจให้เธอจำเรา เป็นเช่นการเริ่มต้น
ชีวิตและสรรพสิ่งอันดำรงชีวิตอยู่
ย่อมเข้าใจได้ในหมอก และมิใช่อย่างกระจ่างแจ้ง
และใครบ้างจะรู้ว่า แท้จริงเมื่อหมอกฝ้าสลายลงนั้น
มันก็รวมเป็นหยาดผลึกใสชัดเจนนั่นเอง

เมื่อเธอระลึกถึงเรา ขอให้เธอระลึกดังนี้
สิ่งใดในตัวเธอซึ่งดูคล้ายอ่อนแอ และเลือนรางที่สุดนั้น
แท้จริงแข็งแรงและชัดเจนที่สุด
มิใช่ลมหายใจของเธอหรอกหรือ
ที่ได้ทำให้โครงสร้างของกระดูกเธอตั้งตรงและแข็งแรง
และมิใช่ความฝันอันไม่มีเธอคนใดจำได้
ว่าได้เคยฝันไว้หรอกหรือที่ได้ก่อสร้างเมืองของเธอขึ้น
พร้อมทั้งตบแต่งสิ่งทั้งหลายในนั้น

ถ้าเพียงแต่เธอได้เห็น กระแสของลมหายใจนั้น
เธอก็จะเลิกมองดูสิ่งอื่นใด
และถ้าเพียงแต่เธอได้ยินเสียงกระซิบของความฝันนั้น
เธอก็จะไม่ฟังสำเนียงอื่นใดอีก
แต่เธอไม่เห็น และไม่ได้ยิน และก็เป็นการดีแล้ว
ม่านที่ปกคลุมจักษุของเธอจะถูกรูดขึ้นโดยมือซึ่งได้ทอถักมันขึ้น
และก้อนดินที่อุดโสตของเธอก็จะถูกแทงทะลุด้วยนิ้วซึ่งปั้นมันขึ้นเอง
เธอจะได้เห็น เธอจะได้ยิน
แต่เธอก็จะไม่เสียใจที่ได้เคยพบความมืดบอดมาก่อน
หรือที่เคยหูหนวกมาก่อน
เพราะในวันนั้นเอง
เธอจะได้รู้ความหมายอันแฝงอยู่ในสรรพสิ่ง
และเธอก็จักสรรเสริญความมืดบอด
เช่นเดียวกับสรรเสริญความสว่าง


เมื่อได้กล่าวสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านก็มองไปรอบๆ
และก็ได้เห็นนายท้ายเรือของท่านยืนอยู่ข้างพวงมาลัย
มองดูที่ใบอันถูกลมตึงและมองไปในทะเลลึกสลับกันอยู่ และกล่าวว่า

อดทน นายเรือของเรานี้อดทนรอยิ่งนัก
ลมพัดแรงและใบเรือรอไม่ไหว
แม้หางเสือก็ถามทิศทาง
แต่นายท้ายเรือก็ยังรอความสงัดของเราอยู่
และคนเรือของเราเหล่านี้
ผู้ได้ยินเสียงเพลงของห้วงสมุทรแล้ว
ก็ได้รอฟังเราอย่างอดทนด้วย
บัดนี้เขาจะไม่รออีกต่อไป
เราพร้อมแล้ว
ธารน้ำได้บรรลุถึงห้วงสมุทร
และมารดาผู้ยิ่งใหญ่ก็จะโอบรัดบุตรของนางไว้กับอกอีกครั้งหนึ่ง

ลาก่อน ประชาชนชาวออร์ฟาลีส
วันนี้สิ้นสุดลงแล้ว มันหุบปิดลงบนเรา
ดังเช่นดอกบัวหุบลงบนพรุ่งนี้ของมันเอง
สิ่งใดที่เราได้รับที่นี่ เราจะรักษาไว้
และถ้าหากมันไม่เพียงพอ เราก็จะเข้ามารวมกันอีก
และก็จะร่วมกันชูมือขอยังพระผู้ประทาน
อย่าลืมว่าเราจะกลับมาสู่พวกเธออีก
เพียงชั่วขณะ
และความเฝ้ารอของเราก็จะรวบรวมฝุ่นผงสำหรับร่างใหม่
เพียงชั่วขณะ
เพียงพักชั่วขณะในสายลม
แล้วหญิงหนึ่งก็จะโอบอุ้มเราไว้
ลาก่อนสำหรับเธอ
และความหนุ่มอันเราได้อยู่ในหมู่เธอ
เราเพิ่งได้พบกันในความฝันแต่วันวานนี้
เธอได้ร้องเพลงให้เราฟังในความเปล่าเปลี่ยว
และเราได้สร้างปราสาทขึ้นในเวหาจากการเฝ้ารอของเธอ
แต่บัดนี้ ความหลับของเราสูญไป และความฝันสิ้นสุดลงแล้ว
และบัดนี้ก็มิใช่ยังรุ่งอรุณอยู่อีก
ขณะนี้เป็นยามเที่ยงเต็มที่
และความครึ่งหลับของเราก็แปรเป็นวันเต็มเปี่ยมแล้ว
และเราก็ต้องจากกัน

ถ้าในสนธยากาลแห่งความทรงจำ เราได้มาพบกันอีก
เธอก็จะร้องเพลงอันลึกซึ้งกว่าให้เราฟัง
และถ้ามือของเราได้สัมผัสกันอีกในความฝันอื่นต่อไป
เราก็จะสร้างปราสาทขึ้นบนเวหาใหม่อีก

ท่านกล่าวแล้วก็ให้สัญญาณแก่ชาวเรือ
เขาเหล่านั้นถอนสมอขึ้น ปลดเรือจากเครื่องผูกพัน
และเรือพร้อมด้วยเขาเหล่านั้นก็เคลื่อนไปทางตะวันออก
เสียงร่ำไห้ก็เปล่งออกจากประชาชน
ประหนึ่งออกจากดวงใจเดียว
มันแผ่สูงขึ้นในความสลัว
และลอยลมออกไปเหนือท้องทะเลประดุจเสียงจากแตรใหญ่

แต่อัลมิตรานิ่งเงียบ
เธอมองตามเรือจนจากหายไปในหมอก
และแม้เมื่อฝูงชนแยกย้ายไปหมดแล้ว
เธอก็ยังยืนโดดเดี่ยวบนฝั่งทะเล
ในดวงใจของเธอรำลึกถึงคำกล่าวของท่าน
.................. ชั่วขณะหนึ่ง เพียงพักชั่วขณะในสายลม
................... แล้วหญิงหนึ่งก็จะโอบอุ้มเราไว้


เรื่องและภาพ ผู้จัดการออนไลน์



Create Date : 07 มกราคม 2554
Last Update : 7 มกราคม 2554 19:36:06 น. 0 comments
Counter : 7042 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

atruthoflife10
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยสุขภาพที่ดีกว่า

ไตรลักษณ์
เกิดขึ้น 26 พ.ย.2553

ดับไป....???

Friends' blogs
[Add atruthoflife10's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.