ขอบคุณจากใจ Smile Nursery
อีกแค่เดือนกว่าๆ นิ๊งหน่องก็จะต้องไปโรงเรียนเพื่อเตรียมความพร้อม เปลี่ยนสถานะจากเด็กเนอร์สเซอรี่ ไปสู่เด็กอนุบาลแบบเต็มตัว ใจหายเหมือนกันนะ กับกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคยมาตลอดเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาที่จะต้องเปลี่ยนไป เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา แม่นกพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยคิดเสียใจ หรือรู้สึกว่าคิดผิดเลยที่ต้องพานิ๊งหน่องมาฝากเลี้ยงที่เนอร์สเซอรี่แห่งนี้ แม่นกเชื่อว่าถ้าเป็นไปได้ คงไม่มีแม่คนไหนอยากพาลูกไปฝากเลี้ยงหรอก ยังไงก็อยากจะเลี้ยงลูกด้วยสองมือกับหนึ่งใจด้วยตัวของแม่เอง แต่ความจำเป็นของแต่ละครอบครัวก็แตกต่างกัน สำหรับครอบครัวเรา ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมากพอที่จะให้แม่นกออกจากงานมาอยู่บ้านเลี้ยงลูก แล้วพ่อหน่อยเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว ญาติผู้ใหญ่ที่เรามีคือ คุณปู่ คุณย่า ก็อยู่ต่างจังหวัด ส่วนคุณตา คุณยาย ก็ยังไม่เกษียณอายุราชการ ทำให้แม่นกไม่คิดที่จะหาพี่เลี้ยงมาเลี้ยงนิ๊งหน่องที่บ้านอย่างแน่นอนเพราะไม่มีผู้ใหญ่คอยเป็นหูเป็นตาให้ ช่วงที่แม่นกลาคลอด 3 เดือน เรียกได้ว่าอยู่กับนิ๊งหน่อง 2 คนทั้งวัน เลี้ยงเอง ทำอะไรเองทุกอย่าง โดยไม่มีคนช่วย ยกเว้นตอนเย็นๆ ที่พ่อหน่อย หรือคุณตา คุณยายกลับมาจากทำงานแล้วถึงจะพอผลัดไปทำอะไรๆได้มากขึ้น ใกล้ถึงช่วงที่แม่นกต้องกลับมาทำงาน ถ้านิ๊งหน่องหลับ แม่นกจะต้องเปิดเน็ตหาข้อมูลเรื่องเนอร์สเซอรี่ตลอด สนใจที่ไหนก็โทรไปถามรายละเอียด ถ้าคุยแล้วไม่โดนใจ ก็ตัดทิ้งไป ส่วนอันไหนฟังดูเข้าที ก็ขอพิกัดไว้ แล้วก็ชวนพ่อหน่อยไปดูสถานที่ด้วยกัน ไปดูมาหลายที่ บางที่เห็นแล้วไม่ถูกใจ ก็ตัดทิ้งไปอีก ส่วนใหญ่เจอแต่ไม่ค่อยถูกใจทั้งนั้น เล่นเอากลุ้มใจอยู่เหมือนกันว่าจะเอายังไงดี ใกล้กำหนดที่แม่นกจะต้องกลับไปทำงานแล้วด้วย มาตรฐานในการเลือกเนอร์สเซอรี่ของแต่ละครอบครัว แม่นกว่าไม่เหมือนกัน อย่าไปฟังคำบอกเล่าว่าดี เลยพาลูกไปฝาก แต่แม่นกอยากให้เข้าไปดูสถานที่จริงดีกว่า ไปให้เห็นเลยว่าเค้าเลี้ยงน้องกันยังไง การที่เราต้องเอา "แก้วตาดวงใจ" ของเราไปฝาก เราก็ต้องหาที่ที่เราไว้ใจได้ เชื่อมั่นได้ ว่าลูกเราจะสุขสบายทั้งใจและกายภายใต้การดูแลของเนอร์สเซอรี่นั้นๆ สำหรับแม่นกเองไม่สนใจ ว่าเนอร์สเซอรี่นั้นจะมีพี่เลี้ยงที่ผ่านการอบรมการเลี้ยงเด็กมาหรือไม่ เพราะแม่นกไม่เชื่อในใบประกาศการผ่านการฝึกอบรม แม่นกเชื่อใน "ใจ" ที่รักจะเลี้ยงน้องมากกว่า ไม่ต้องไปเทียบอะไรไกล ตัวเราเองนี่แหล่ะ เคยไปอบรมวิธีการเลี้ยงลูกกันอย่างจริงจังมั๊ย อย่างมาก ก็แค่ไปฟังที่ทางโรงพยาบาลจัดคอร์สให้ช่วงฝากท้องหรือช่วงไปคลอด แล้วทำไมเราถึงเลี้ยงลูกของเรามาได้จนทุกวันนี้ ก็เพราะเราเลี้ยงลูกของเราด้วย "ใจ" ไงคะ และแล้วก็เหมือนสวรรค์มาโปรด เพื่อนที่ออฟฟิศแม่นกโทรมาบอกว่ามีเนอร์สเซอรี่อยู่ไม่ไกลออฟฟิศเท่าไหร่ เพื่อนของเพื่อนก็ฝากลูกสาวอยู่ที่นี่ บอกว่าไว้ใจได้ ดูแลน้องดี แม่นกสนใจขึ้นมาทันที เพื่อนบอกว่าลองขับรถเข้าไปดูมาให้แล้ว ขอรายละเอียดมาให้ด้วย ให้ลองโทรไปคุยรายละเอียดเอาเองนะ (มีเพื่อนดีนะคะเนี่ย เป็นปลื้มมมม) แม่นกชวนพ่อหน่อยไปดูสถานที่ทันที ไปถึงก็ปิ๊งเลยค่ะ เนอร์สเซอรี่ที่เป็นบ้านเดี่ยวขนาดกำลังดี ไม่เล็กเกินไปจนอึดอัด แยกสัดส่วนของเด็กอ่อน กับเด็กโตอย่างชัดเจน คุณครูและพี่เลี้ยงพูดเพราะ แล้วก็เห็นได้ชัด ว่าเลี้ยงน้องด้วยความรักความใส่ใจจริงๆ วันที่แม่นกไปดู ห้องเด็กอ่อนมีน้องอยู่ 2 คน คือ พี่เอื้อ กับ อิ่มเอม แต่เหลือเด็กอ่อนที่จะรับได้อีกแค่ 1 คน เพราะมีจองไว้ล่วงหน้าแล้ว 1 คน ซึ่งก็คือน้องพันช์นั่นเอง แม่นกไม่รอช้า ตกลงจองที่ให้นิ๊งหน่องทันที แม่นกพานิ๊งหน่องไปฝากก่อนจะถึงวันที่ต้องกลับมาทำงาน 1 อาทิตย์เพราะไม่ต้องการฉุกละหุก หากมีอะไรไม่พร้อม หรือไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ จะได้มีเวลาจัดการ ไม่ต้องกระวนกระวายทั้งเรื่องงานและเรื่องลูก โดยตลอดอาทิตย์นั้น แม่นกไปส่งนิ๊งหน่องตอนเช้า อยู่ด้วยจนสายๆ แล้วแม่นกค่อยเข้ามาที่ทำงาน จัดโต๊ะ เก็บของให้ต่างๆให้เข้าที่ เพราะช่วงที่แม่นกลาคลอด มีการ renovate ออฟฟิศพอดี จนบ่ายๆ ก็ออกไปรับนิ๊งหน่อง ซักถามอะไรพี่เลี้ยงซักพัก แล้วก็พากันกลับบ้าน ++ หน้าตาเด็กเนอร์สฯวัย 3 เดือน ++ นิ๊งหน่องในวัย 3 เดือนตอนนั้นสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้ดีเป็นที่น่าพอใจของแม่ เริ่มจากทุกเช้า ที่จะต้องนั่งรถมากับแม่นกทุกวัน ทำให้นิ๊งหน่องเป็นเด็กที่คุ้นเคยกับคาร์ซีทมาตั้งแต่เด็ก จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังนั่งคาร์ซีทอยู่โดยไม่เคยต่อต้านแม้แต่น้อย รวมทั้งเรื่องดูดนม จากช่วง 3 เดือนที่อยู่บ้าน นิ๊งหน่องไม่เคยดูดนมขวดเลย ดูดเต้าแม่ตลอด (มีแค่ช่วงแม่นกอยู่ไฟ ที่ปั๊มนมใส่ขวดไว้ให้แค่นั้น) แล้วแม่นกก็ไม่ได้หัดให้ลูกดูดขวดก่อนไปฝากเนอร์สฯด้วย แต่พอไปอยู่เนอร์สฯ นิ๊งหน่องก็สามารถดูดขวดได้เลยโดยไม่มีการอิดออด พอโตขึ้น ก็เริ่มหัดดูดหลอดก่อนจนถึงหัดให้ดื่มนมจากแก้วให้เรียบร้อย อีกเรื่องที่แม่นกชอบการเลี้ยงน้องของที่นี่ก็คือเรื่องผ้าอ้อม พี่เลี้ยงจะไม่เลี้ยงน้องด้วยโปโกะค่ะ (ยกเว้นเป็นความต้องการของผู้ปกครอง) จะใช้ผ้าอ้อมนุ่งให้น้อง ซึ่งแม่นกชอบมาก ประหยัดดี เอ๊ยยย ม่ายช่ายยย เพราะลูกจะได้โล่ง สบายตรูด อิอิ ยกเว้นตอนใกล้กลับบ้าน ที่นิ๊งหน่องจะใส่โปโกะเตรียมไว้ เพราะบ้านเราไกล กันไว้ก่อนดีกว่าโนะ เรื่องสบายๆสำหรับแม่นกอีกอย่างก็คือเรื่องอาบน้ำให้นิ๊งหน่อง ออกจากบ้านตอนเช้า แม่นกยังไม่ต้องอาบน้ำให้นิ๊งหน่องก็ได้ หอบหิ้วกันมาทั้งชุดนอนนั่นเลย ทางเนอร์สเซอรี่จะอาบน้ำให้เองทั้งเช้าแล้วก็เย็น แต่ตอนนี้ แม่นกเริ่มหัดนิ๊งหน่องให้ชินกับการตื่นมาแล้วต้องแปรงฟันอาบน้ำแต่งตัวก่อนออกจากบ้านค่ะ เพราะถ้าเข้าอนุบาลแล้ว ก็ต้องแต่งตัวออกจากบ้านให้เรียบร้อย ไปหาอาบกลางทางไม่ได้แล้วนิ มาถึงเรื่องหม่ำๆมั่ง เมื่อถึงวัยที่ต้องเริ่มอาหารเสริม อาหารเสริมมื้อแรกที่นิ๊งหน่องได้ ก็เริ่มต้นที่เนอร์สเซอรี่นี่แหล่ะ แม่นกเอง ถึงกับลางานวันศุกร์ 1 วัน เพื่ออยู่ดูที่เนอร์สเซอรี่จัดการป้อนอาหารเสริมให้นิ๊งหน่อง เพื่อที่จะได้กลับไปป้อนให้นิ๊งหน่องในวันเสาร์แรกที่แม่จะต้องป้อนอาหารเสริมให้เอง จนถึงวัยที่ทานข้าวเม็ดได้ แม่นกไม่ประสบความสำเร็จในการทำอาหารให้ลูกทาน พูดง่ายๆว่ามานไม่ยอมกินอาหารที่แม่ทำให้ ชิชิ แม่นกก็ต้องผูกปิ่นโตที่เนอร์สเซอรี่ทุกเย็นวันศุกร์ เอากับข้าวกลับมาให้นิ๊งหน่องกินที่บ้าน แล้วมานก็ยอมกินแต่โดยดี ฮ่วย!!! ++ ชีวิตประจำวันในห้องเด็กอ่อน ++ นิ๊งหน่องอยู่ในห้องเด็กอ่อนจนถึง 1 ขวบ เรียกว่าหัดคลาน ตั้งไข่ เกาะเดินกันอยู่ในห้องนั้นมาตลอด ก่อนที่จะย้ายออกมาอยู่ข้างนอก กับพวกพี่ๆที่อยู่ในวัย 1ขวบถึง 2 ขวบครึ่ง ++ สไปเดอร์แมนน้อยของแม่ ++ ++ หัดเดิน ++ ย้ายออกมาข้างนอก ก็ไม่ใช่ว่านิ๊งหน่องจะได้แต่เล่นอย่างเดียว พี่เลี้ยงจะเริ่มอ่าน ก.ไก่ ให้น้องฟังทุกเช้า เตรียมพร้อมสำหรับเด็กๆวัย 2 ขวบครึ่ง ที่จะได้ขึ้นไปอยู่ชั้น 2 เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าอนุบาล ส่วนเด็กเล็กวัย 1 ขวบอย่างนิ๊งหน่อง ก็จะได้หัดฟังไปเรื่อยๆด้วย (หน้าตาดูเบื่อหน่ายเล็กน้อย 555+) แม่นกว่าเด็กในวัยนี้สมองกำลังบันทึกข้อมูลได้เป็นอย่างดี การที่ให้เค้าได้ยินสิ่งต่างๆเหล่านี้เรื่อยๆ ก็ถือเป็นการค่อยๆให้ความรู้โดยที่เค้าไม่รู้ตัว น้องคนไหนยังไม่พร้อมที่จะมานั่งล้อมวงฟัง ก.ไก่ ก็ไม่เป็นไร ไม่มีการบังคับฝืนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะคุณครูบอกว่าจะทำให้น้องต่อต้านการเรียนหนังสือได้ ปล่อยตามใจเค้าไปก่อน ++ เป่าเค้กวันเกิดกับเพื่อนๆตอน 2 ขวบ ++ ++ 3 ขวบ ++ จนนิ๊งหน่องอายุ 2 ขวบครึ่ง กลายเป็นเด็กโตในเนอร์สเซอรี่ ย้ายขึ้นไปอยู่ชึ้น 2 กิจกรรมต่างๆที่ทางเนอร์สเซอรี่จัดให้เด็กๆก็เป็นไปตามวัย เหมือนได้ไปเรียนเตรียมอนุบาลข้างนอก อย่างที่แม่นกเอามาเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ นอกจากเรียนหนังสือกันในห้อง บริเวณนอกบ้าน ก็มีที่ให้เด็กๆเล่นออกกำลังกายกันได้ ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้านอย่างเดียว ประมาณว่าเล่นได้ทั้ง in door และ out door แล้วแต่สภาพอากาศ เรียกได้ว่า ตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่เนอร์สเซอรี่วันแรกจนถึงทุกวันนี้ นิ๊งหน่องได้อะไรต่างๆจากเนอร์สเซอรี่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเอาใจใส่อย่างดี พัฒนาการตามวัย วิชาความรู้ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ การเรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมใหม่ๆร่วมกับผู้อื่น ฯลฯ ++ นิ๊งหน่องกับเพื่อนๆ ++ ไม่ใช่เฉพาะนิ๊งหน่อง ที่ได้รู้จักสังคมใหม่ๆ ส่วนตัวแม่นกเอง ก็ได้รู้จัก พูดคุยกับผู้ปกครองของน้องๆคนอื่นด้วย ถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกซึ่งกันและกัน ให้รู้พฤติกรรมของเด็กอื่นๆในวัยเดียวกันกับลูกเราว่าเหมือนหรือต่างกันยังไง จนปัจจุบันนี้ เรื่องที่พูดคุยกันก็ไม่พ้นเรื่องโรงเรียนของลูกๆที่จะต้องแยกย้ายกันไปอยู่นั่นเอง แม่นกอยากจะขอขอบคุณ Smile Nursery ขอบคุณ ครูอนันต์ ครูมล พี่แดง ครูปุ้ย และพี่เลี้ยงทุกๆคน จากใจจริง ที่ช่วยดูแล "แก้วตาดวงใจ" ดวงนี้ของแม่นกเป็นอย่างดีมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้ แม่นกไม่สามารถเขียนออกมาเป็นคำพูดได้หมด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันซึ้งอยู่ข้างในใจของแม่นกจริงๆค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ แม่นก ปล. แล้วเจอกันใหม่ กับนิ๊งหน่องในสถานะเด็กหลังเลิกเรียนนะคะ ^^
Free TextEditor
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2552 19:43:40 น. |
|
5 comments
|
Counter : 6019 Pageviews. |
|
|