Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
1 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสนทนาธรรมกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ 3

มาต่อกันในครั้งที่3ค่ะ ซึ่งจบในส่วนที่คัดมาให้อ่านกันค่ะ




พุทธพยากรณ์

ก็เล่าถึงนิมิตว่า ก่อนจะไปมีนิมิตเกิดขึ้นอันหนึ่ง คือว่าก่อนที่จะลงกรรมฐาน สอนกรรมฐานคืนนั้นคืนแรก ตอนทุ่มหนึ่งพอใจสบาย ก็เห็นท่อน้ำแป๊ปที่เราต่อไว้ แต่ว่ามันมีน้ำใสท่วม ท่วมขึ้นมาสูง แต่น้ำนี่ใสมากและท่อแป๊ปก็ขาด ท่อแป๊ปมันขาดออกไปแต่มันไม่สลายตัว มันขาด มันห่างกันไปนิด ฉันเห็นฉันก็นิ่งเสีย ฉันก็ไม่ตีความหมายพยากรณ์นิมิต

ทีนี้ต่อมาตอนเช้ามืด ลุกขึ้นมาจงกรมตอนตี ๓ กว่าๆ ก็จงกรมเดินไปเดินมาก็เห็นสมเด็จองค์ปฐมท่านมา ท่านก็ถาม

“นิมิตตอนหัวค่ำเธอรู้ไหมว่าเป็นเรื่องอะไร...?”

ก็เลยบอก “เรื่องอะไรข้าพระพุทธเจ้าจะยุ่งกับนิมิต”

บอก “บ๊ะ! ฉันบอกเรื่องนิมิต เธอไม่คิดมั่งเลย”

บอกว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่คิด เรื่องอะไร ถ้าจะบอกก็บอกตรงๆ มานั่งคิดเรื่องนิมิตก็ปวดหัวตาย เดี๋ยวก็มีนิมิตอย่างโน้นเดี๋ยวก็มีนิมิตอย่างนี้ ไม่เอาด้วย นิมิตนี่ไม่เอา”

ท่านก็เลยบอกว่า “การไปคราวนี้มีคนหนึ่งนะ มีอารมณ์เข้าถึงพระโสดาบัน”
ฮึ! ท่านบอกนะ

บอก “น้ำใสนั้นแสดงว่าน้ำใจบริสุทธิ์ มีอารมณ์เป็นกุศล ไอ้ท่อแป๊ปที่มันขาด แต่ขาดมันไม่ละลาย ขาดห่างออกไป แต่แป๊ปนี่มันเป็นเหล็ก ถ้ามันจะกลับเข้ามาชนกัน มันก็เนื้อไม่ติดกันตามเดิม ก็แสดงว่าคนผู้นั้นเข้าถึงโลกุตตรธรรมและก็เป็นโลกุตตรธรรมเบื้องต้น”

และถามท่านว่า “ใคร...?”

“ก็จะเป็นใคร ก็พระราชินีเจ้าภาพแกนี่”

ท่านบอกไปเลย ท่านบอก ก็เลยเล่าให้ท่านฟัง บอกนี่พระท่านว่างี้ เชื่อก็เชื่อไม่เชื่อก็แล้วไป จริงก็ช่างไม่จริงก็ช่าง ก็ตอบเล่าเรื่องนิมิต แล้วท่านก็สงสัย พระราชินีท่านก็นั่งนึก

บอก “เอ๊ะ! คนอย่างฉันจะเป็นพระโสดาบันได้หรือ...?”

ก็เลยเรียนถามท่าน บอกว่า

“แล้วคนประเภทไหนที่เขาเป็นพระโสดาบันได้...?”

“คนที่เป็นพระโสดาบันได้ก็คือ มีอาการ ๓๒ มีสติสัมปชัญญะดี มีจิตน้อมไปในกุศล”

ท่านก็ถามว่า “พระโสดาบัน องค์พระโสดาบันมีอะไรบ้าง...?”

ในหลวงบอก “เอ๊ะ! ฟังอยู่ทุกวันน่ะ” (หัวเราะ) ตอนนี้ขู่ ฟังทุกวัน

ท่านบอก “ฉันก็อยากจะขอความมั่นใจ”

ก็เลยทูลท่าน บอกว่า
“พระโสดาบันมี ๓ ขั้น เอกพิชี โกลังโกละ สัตตักขัตตุปรมะ แต่ว่าจะเป็นขั้นไหนก็ตาม นั่นก็คือ

๑. มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อมันมีความเลื่อมใส มีจิตน้อมนึกมั่นคง

ประการที่ ๒ มีศีลบริสุทธิ์

ประการที่ ๓ มีอารมณ์หยั่งพระนิพพาน”

ท่านก็นั่งนึก คงจะนึกไล่เบี้ยไปเอง

“เอ๊ะ! ถ้าอย่างนี้ฉันก็คงจะมีแล้ว”

ในหลวงบอก แหม...ฉันไม่นึกว่าเธอจะซื่อขนาดนี้เลย (หัวเราะ) ทะเลาะกัน วันนั้นรู้สึกครื้นเครงมาก พวกชาววังดีใจมาก ตอนเช้ามาเล่าให้ฟังดีใจ บอก แหม...หลวงพ่อมารู้สึกว่า ในหลวงรู้สึกพระพักตร์สดชื่น เจอะหน้าใครก็ยิ้มตลอด เวลาตอนเช้าพวกเขาก็ว่า ตามปกติเห็นท่าน พระพักตร์ท่านเครียดตลอดเวลา

บอก “ฉันไม่นึกว่าเธอจะซื่ออย่างนี้เลย ความจริงฉันนึกมานานแล้ว ว่าอันนี้เธอทำได้แล้ว แต่ฉันขี้เกียจพูด ฉันก็ไม่อยากพูด ฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันรอถามหลวงพ่อเหมือนกัน นี่เธอถามเสียก่อน”

โดยมากถ้ามีปัญหาแล้ว พระราชินีท่านชิงถามก่อน พระราชินีท่านก็รู้สึกว่า ท่านถามมาอีกที

บอกว่า “ถ้าจะทำให้มั่นคงนี่”

บอกว่า “มีอันเดียว คือว่าใช้อุปสมานุสสติเป็นปกติ (ระลึกถึงพระนิพพาน) แต่ว่าที่พูดเมื่อกี้นี้ ขอพระองค์อย่าทรงคิดว่าอาตมาพยากรณ์ นี่เป็นที่อาตมานิมิตไปแล้วพระท่านมาพูดแบบนั้น อาตมาไม่มีสิทธิ์ในการพยากรณ์ว่าใครจะเป็นพระอริยเจ้าขั้นไหน”

ท่านบอกท่านรับทราบ ดีไม่ดีท่านไปเล่าให้ชาวบ้านหาว่าเราพยากรณ์ ซวยใช่ไหม ท่านบอกท่านบันทึกเทปไว้ทั้งหมด ในหลวงบอก ไม่เป็นไรหลวงพ่อ ผมบันทึกไว้หมดแล้ว ใครก็ว่าไม่ได้ หลวงพ่อก็พูดตามนิมิต อันนี้รู้สึกท่านบันทึกไว้หลายเทป เท่าไรรู้ไหม ๕ ชั่วโมง เศษเท่าไรก็ไม่รู้ ก็ ๕ คาสเซทกว่าน่ะ คุยกันไปท่านก็บันทึก ท่านขออนุญาตบันทึก
เอ๊ะ! คุยๆไป พระราชินีตรัสถามว่า

“ประเทศลาวนี่จะกลับเป็นอิสรภาพได้ไหม...?”

นั่น! เอาเข้านั่น พระเจ้าแผ่นดินมองหน้า ว่านี่เธอถามยังไง วันนี้เราคุยธรรมะกัน พระราชินีบอก อันนี้ก็ธรรมะเหมือนกัน ฉันสงสารเขานี่ ฉันสงสารเขา ฉันก็มีพรหมวิหาร ๔ (หัวเราะ) ฉันก็สงสารเขานี่ ฉันเห็นเขาลำบากฉันก็สงสารเขา

ก็เลยบอกว่า

“ประเทศลาวมีโอกาสเป็นอิสรภาพตามเดิม แต่ว่าต้องขอเวลานิดหน่อย แต่ไอ้ไข้กว่าจะหายนี่ต้องฉีดยากันบ้าง ผ่าตัดกันบ้าง อาจจะต้องแหลกลาญกันไปบ้างชั่วขณะหนึ่ง”

ท่านก็หันมาถามว่า “ประเทศไทย”

บอก “ประเทศไทยก็ไม่เป็นไร แต่ว่าต้องผ่าตัดกัน คำว่าผ่าตัดก็หมายถึงว่า ต้องผ่าตัดทั้งภายในและผ่าตัดทั้งภายนอก”

ท่านก็พอใจ ท่านเชื่อเพราะว่า ท่านหญิงวิภาวดีเคยเล่าอะไรให้ฟัง บอกว่าถ้าหลวงพ่อพูดเล่นๆ ล่ะก็ ต้องรับฟัง บอกว่าถ้าหลวงพ่อพูดเล่นๆ ล่ะก็ ต้องรับฟังด้วยนะ เพราะเสียท่ามาสองหนแล้ว อีตอนรัฐบาลเสนีย์น่ะท่านถามว่า รัฐบาลนี้จะอยู่ไปได้นานไหม บอก ไม่เกิน ๕ วันไป นี่ ๓ วันไปนะ และตอนที่ไปสุโขทัย วันนั้นได้สตังค์แปดหมื่นเศษ ท่านก็บอกว่า หลวงพ่อไปที่พระรูปพระเจ้ารามคำแหง เลยบอกว่าไม่ดันไม่ไป ถ้ายังไม่ถึงแสนไม่ลุก ไม่ยอมลุกจากที่ อีก ๑๐ นาทีกว่าๆ ก็ได้แสน ครบแสน ท่านก็เลยวิทยุไปกราบทูลในหลวง

พระราชินีท่านก็เลยบอกว่า ท่านหญิงวิภาวดีเคยบอกไว้ ถ้าหลวงพ่อพูดเล่นๆ หัวเราะล่ะก็ ต้องรับฟังไว้ด้วยนะ แล้วท่านก็เลยบอกว่า เอ๊ะ! มันก็จริงมาทุกอย่างที่รับฟังมา อันนี้ฉันเชื่อ บอกว่า เชื่อก็... ฟังอาตมาแล้วก็ฟังคนอื่นด้วย พระเจ้าแผ่นดินก็เลยบอก เอ๊ะ! หมอดูหลายคนเขาก็ว่ายังงั้น ว่า ๓-๔ ปีข้างหน้าบ้านเมืองจะเรียบร้อยและมีความสงบสุข ว่าคำพยากรณ์ของหลวงพ่อคงจะจริง เลยบอกว่า

“อาตมาไม่ได้พยากรณ์เอง อาศัยพุทธพยากรณ์กับคำพยากรณ์พระอรหันต์สมัยกรุงศรีอยุธยา”



ตอนนี้พระเจ้าแผ่นดินก็ตรัสบอกว่า ข่าวเขาจะลอบฆ่าผมกับพระราชินีทั้งสองคนมีมาตลอดเวลา ที่นักศึกษาฝ่ายซ้ายอันนี้ฉันได้ยินข่าวมานานแล้วเหมือนกัน และก็ทางตำรวจตระเวนชายแดนเขาก็แจ้งข่าวกันไปทั่ว ให้ป้องกันพระองค์อย่างหนักและราชวงศ์

และก็ตอนที่แล้วมาท่านเสด็จไปที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีข่าวว่านักศึกษาญวณลูกญวณที่มาเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยน่ะ สองคนมันจะฆ่า ที่รู้ได้เพราะรู้ได้จากตอนนั้น มันไปลาพ่อลาแม่ ว่าวันนี้อาจจะไม่ได้กลับและขอลา ว่าตามแผนในเมื่อพระองค์พระราชทานปริญญาบัตร พอถึงจังหวะเขาสองคนจะเข้าประหารพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชินีทันที และพร้อมกันนั้นเขาอาจจะตาย เข้าพร้อมที่จะตาย

ท่านบอกท่านได้ยินข่าว และก็ผมก็ไป ถามว่า ทำไมจึงไป บอก ถ้าไม่ไปเราก็เป็นผู้แพ้ เราต้องไปในที่ทุกสถานที่เขาจะฆ่าเรา เราจึงจะไม่เป็นผู้แพ้ ดีไม่ดีข่าวนี้อาจจะปล่อยข่าวเฉยๆ พอเราไม่ไปเขาจะหาว่าเราขี้ขลาด ก็เป็นอันว่าพระเจ้าแผ่นดินขลาดซะคนเดียว คนทั้งประเทศก็ต้องพลอยขลาดด้วยนี่น่ะ...น้ำใจของพระองค์เป็นยังไง

พอถึงตรงนี้ พระราชินีก็เลยถามว่า

“พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หม่อมฉันก็ดี ก็มีความเคารพในพระคุณพระราชวงศ์จักรีอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านสามารถจะทรงความเป็นเอกราชไว้ได้ ก็อยากจะทราบว่า ทั้งสองคนนี่จะทรงชาติกับศาสนาไว้ได้ไหม จะต้องการพระศาสนาทรงตัวอยู่”



บอกว่า “ก็ได้ ประเทศเราไม่มีเกณฑ์จะต้องตกเป็นเหยื่อของคอมมิวนิสต์”
ท่านถามอีกที “ว่าฉันทั้งสองคนนี้ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวด้วย และฉันด้วย จะต้องตายเพราะการที่เขามุ่งฆ่าไหม...?”


อีตอนนั้นเราเผลอ เผลอเลย ไม่เผลอก็ไม่รู้ เพราะว่าเวลาจะไปก็อาราธนาสมเด็จฯ ท่านไว้ บอกว่าถ้าถ้อยคำใดที่ควรจะพูด ก็ขอให้พระองค์จัดการพูดไปเอง เราไม่ได้ใช้สมองเลยนะ พอถามตรงนี้เลยไม่รู้นะพูดไปยังไง
บอกว่า


“ก็ในเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ เป็นนักรบฝีมือดีมาจากสุโขทัย และการมาเกิดคราวนี้ต้องการจะเกิดจรรโลงชาติให้คงอยู่ ให้ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข และเรื่องอะไรที่ต้องมาตายเพราะเรื่องคมอาวุธล่ะ ถ้าจะเจ็บตายเองเป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องตายด้วยเรื่องคมอาวุธอันนี้ไม่มี”

ความจริงพูดกับพระเจ้าแผ่นดิน เขาไม่พูดว่าตายนะ ต้องเป็นสมเด็จใหญ่แน่ เพราะท่านคุมอยู่ใช่ไหม ท่านคุมไปตลอดเวลา พระราชินีก็ยิ้ม ก็คุยกันไปคุยกันมา และท่านก็เตือนพระเจ้าแผ่นดินว่าใช้เวลามาก ท่านบอกว่า พักทีหลวงพ่อจะเหนื่อย ใช้เวลาเข้าไป ๓ ชั่วโมงกว่าแล้ว ท่านก็เตือน พระเจ้าแผ่นดินท่านก็เฉย ท่านก็คุยของท่านไปเรื่อย ไอ้เราก็ต้องคุยกับท่านนะ

แล้วพระราชินีก็เสด็จออกไปข้างนอกสักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเปิดประตูเข้ามา ท่านก็มาบอกว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อที่ไม่เคยเห็นหลวงพ่อเลย คือพวกชาววัง เขาต้องการจะมานมัสการหลวงพ่อ ท่านก็เลยเปิดประตูไว้

ความจริงเรื่องนี้มันควรที่จะเป็นเรื่องของพระเจ้าแผ่นดินท่านตรัสน่ะ เราก็พูดไปเองบอกว่าก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ให้เขาเข้ามาไหว้ก็ได้นี่ ไอ้เราเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเองน่ะตอนนั้น (หัวเราะ) มันชักจะนอกคอกไปแล้ว เห็นจะเป็นสมเด็จใหญ่ เพราะท่านคุมอยู่

พระเจ้าแผ่นดินท่านหัวเราะ ท่านหันไปตรัสบอก เข้ามาๆ สิ อยากจะมาไหว้หลวงพ่อเข้ามา ท่านกวักมือหัวเราะ...หัวเราะใหญ่ ไอ้เราก็นึก...พอรู้สึกตัวก็นึก เอ๊ะ! นี่ย่องเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเมื่อไรก็ไม่รู้นี่ เอาซะเองแล้ว เขาก็มาเขาก็กราบกราบสัก ๕ นาทีเขาก็ไป และคุยกันไปคุยกันมาอีก อีกพักหนึ่ง พระราชินีบอก เลิกเหอะ หลวงพ่อท่านเหนื่อย ท่านเหนื่อยมากแล้ว นี่ตั้งแต่ ๓ โมงมาถึง ๒ ทุ่มกว่าแล้ว

พระเจ้าแผ่นดินท่านก็เฉย ท่านก็ว่าเรื่อย ก็คุยเรื่อยไปยังไม่จบ เรื่องท่านน่ะ ก็ไม่มีอะไร เรื่องกรรมฐานโดยเฉพาะ มาตอนหลังสมเด็จพระราชินีบอก เอายังงี้แล้วกัน เลิกเสียทีเถอะแขกเขามาคอยอยู่ข้างนอกตั้งเยอะแล้ว มันเลยเวลานัดเขาไว้ ๒ ทุ่ม (หัวเราะ) ว่าแขกเขามาคอยไปเถอะ หลวงพ่อท่านก็เหนื่อยมากแล้ว เราเลยได้จังหวะบอก ถ้างั้นอาตมาขอถวายพระพรลา

ก็ลุกมาเลย ก็ล่อเต็มที่! ตอนจะลุกมา บอกแหม...ผมยังไม่จบเรื่องเลย วันหลังต้องนิมนต์หลวงพ่อใหม่ ก็เลยบอกท่านบอกว่า ถ้านิมนต์ล่ะก็ ขอให้เป็นข้างนอกแบบนี้สะดวกดี ถ้าในพระราชวังในกรุงเทพฯ ไม่เป็นเรื่อง เพราะการเข้าไปลำบาก ท่านบอก ไม่เป็นไรครับ มันเป็นเรื่องของผม เรื่องของผมก็ไม่ต้องผ่านหน้าประตู ผมจะให้รถหลวงไปรับแล้วเข้ามาคุยกันตามลำพังแบบนี้

ก็เลยเดินนึกทบทวนมา ทบทวนความหลังว่า ที่วัดนี่ ๔๕ นาทีใช่ไหม เลยเวลา ท่านมีกำหนดเวลาไว้ ๑๕ นาที ก็ว่าเสีย ๔๕ ไปที่สงขลาไม่มีกำหนดเวลา ว่าซะมือเลยใช่ไหม ๓๕ นาที ไปดอยอ่างขาง ๓ ชั่วโมง ไปที่ภูพิงค์ฯนี่ ๕ ชั่วโมงเศษ นี้ถ้าหากว่าเข้าไปในพระที่นั่งดุสิตสวนจิตรฯนี่ สงสัยจะว่ากันทั้งวันก็ไม่รู้ (หัวเราะ) นี่เอาละจบกันนะ.


เนื่องในวันที่๕ ธันวาคมเวียนมาอีกวาระหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้า นางสาว บงกช กระต่ายวงษ์พระจันทร์ ขอถวายพระพรแด่พระองค์ท่าน

ขอให้พระองค์ท่านทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ อยู่เป็นมิ่งขวัญชาวไทยตราบนานเท่านาน


=======================================

จากหนังสือชื่อ ธรรมปฏิบัติ ๒๖ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
หน้าที่ ๓๓-๖๔ ค่ะ

ภาพจากการ search ใน google ค่ะ

========================================










Create Date : 01 ธันวาคม 2554
Last Update : 1 ธันวาคม 2554 9:35:14 น. 2 comments
Counter : 8017 Pageviews.

 


โดย: สาวชนบท วันที่: 2 ธันวาคม 2554 เวลา:17:54:07 น.  

 
ด้วยคนค่ะ


โดย: AeChan วันที่: 4 ธันวาคม 2554 เวลา:6:50:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

กระติ๊บน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 89 คน [?]




ศึกษาธรรมะ ชอบไพ่ยิปซี
แล้วก็เป็นคนที่มีชีวิตที่ธรรมดาๆ

.....................................................
สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๘
ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน
หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน Blog แห่งนี้
ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และโดยอ้างอิง
โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้ใดฝ่าฝืน จะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
New Comments
Friends' blogs
[Add กระติ๊บน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.