Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
30 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสนทนาธรรมกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ 2

มาอ่านต่อกันค่ะ



ปรารถนาพระโพธิญาณ

ท่านก็ถามถึงธรรมมะไปหลายๆอย่าง เรียกว่าหลายอย่างน่ะละเอียดมาก แล้วก็ย้อนกันไปย้อนกันมา แต่ละจุดนี่ท่านถามละเอียดแบบนักเทศก์ก็ไม่เคยถามแบบนั้น ถามถึงเรื่องฌาน ถามถึงเรื่องอารมณ์วิปัสสนาญาณ
ไปๆมาๆท่านก็... ท่านพูดมาคำ

บอกว่า “เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิ เป็นความจริงไหมครับ...?”

ก็เลยถวายพระพรบอกว่า

“เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน เท่าที่ทราบพระองค์ปรารถนามานาน แต่เวลานี้บารมีก็เป็นปรมัตถบารมีแล้ว ก็เหลืออีกเพียง ๕ ชาติ ก็จะไปจบกิจ”

นั่งเฉย...นั่งเฉยไปประเดี๋ยว

บอก “โอ้โฮ! ต้อง ๕ ชาติหรือนี่” ชักหนักใจ!

ท่านเลยบอกว่า “เอ๊ะ! นี่ผมนึกว่าชาติเดียวนี้ก็เต็มทีแล้วนะครับ ชาตินี้ชาติเดียวก็เต็มที”

หมอเขาดูผม ผมให้หมอดู หมอเขาพยากรณ์บอกว่าจะต้องเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา และต่อไป ๓-๔ ปี บ้านเมืองก็จะอยู่ในเกณฑ์สงบเรียบร้อย ก็เป็นการดี

ผมก็เลยถามเขาว่าถ้าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้วก็ได้อยู่เป็นสุขเสียที ไม่เหน็ดเหนื่อยแล้วใช่ไหม หมอเขาตอบว่าไม่ใช่

ท่านก็เลยถามหมอต่อไปอีกว่า ฉันต้องเหนื่อยจนตายใช่ไหม หมอเขานิ่ง ท่านบอกหมอเขานิ่ง

แล้วท่านก็เลยหันมาถามว่า หลวงพ่อเห็นว่ายังไง ก็เลยตอบไปว่า ถ้าหมอเขาไม่ตอบอาตมาก็ตอบ ตอบว่าเหนื่อยยันตาย ท่านก็เลยหัวเราะ ก็เหนื่อยยันตาย! แต่วันนี้รู้สึกว่าท่านรื่นเริงมาก เห็นพวกชาววังเขาบอกว่า ตั้งแต่เสด็จไปภูพิงค์ฯนี่ท่านไม่เคยยิ้มกับใครเลย รู้สึกว่าพระพักตร์ท่านจะเครียดอยู่ตลอดเวลา แต่วันนั้นคุยกันท่านยิ้มอยู่ตลอดเวลา บางทีก็หัวเราะ ก็เล่นมวยวัดกันแล้วนี้น่ะ ท่านหัวเราะ ท่านก็เลยถามต่อ
บอกว่า “ถ้าอย่างผมนี่...”

แต่ความจริงเคยถามมาแล้วตั้งแต่ที่ดอยอ่างขาง
“ถ้าทำไปนี่จะสำเร็จไหม...?”


“ที่พระองค์ปฏิบัติมานี่มันเลยแล้ว ไม่ใช่ไม่สำเร็จ พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญบารมีกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเป็นวิริยาธิกะ วิริยาธิกะนี่ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญบารมีมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว ไอ้แสนกัปอาจจะยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ นี่หากว่าถ้าปรารถนาเป็นสาวกภูมิเฉยๆ ไม่ใช่อัครสาวก ก็บำเพ็ญบารมีเพียง ๑ อสงไขยกำไรแสนกัป อัครสาวกก็แค่ ๒ อสงไขยกำไรแสนกัป ทีนี้พระองค์ว่ามาตั้ง ๑๖ อสงไขยแล้ว ถ้าจะเป็นอรหันต์ชาตินี้ก็ควรจะได้ ถ้ากลับ”

ท่านยิ้ม ท่านบอกว่า

“ผมเบื่อเต็มที ไอ้โลกนี้มันเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ แต่ไอ้ที่ทำไปนี่ทำไปด้วยความเมตตา”

ความจริงท่านมีเมตตาสูงนะ...
ท่านก็เลยถามถึงเรื่องการปฏิบัติ ตั้งแต่พระโสดาบันขั้นต้นถึงเอกพิชี แล้วก็ไปสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ท่านถามตามลำดับ ก็เลยถวายพระพรไปตามลำดับ แล้วท่านก็ไล่ไปไล่มา บอกคนที่จะเป็นอรหันต์นี่ ต้องเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ตามลำดับหรือเปล่า

ก็เลยบอกว่า ตามที่อ่านในพระสูตรหรือในชาติปัจจุบันนี่ เท่าที่เคยพบมาหลายองค์ บางองค์ก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อไร เพราะว่าอารมณ์จิตมีความแรง มารู้ตัวกันจริงๆ เอาเมื่อจิตเข้าถึงอรหัตตผล นั่นก็หมายความจิตมันตัดกิเลสเวลาเดียวกัน ก็หมายความถึงว่าเรานั่งสมาธิเพียงแค่ ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที นี่จิตมันตัดเร็ว ตัดจนกระทั่งตัวเองไม่รู้ว่าเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อไร มันเข้าไปจนอรหันต์ทันที อย่างนี้ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีเยอะ หลังมาก็มีเยอะ ในสมัยที่อาตมาบวชแล้วก็มีเยอะ พระที่ได้ระดับนี้ก็ไม่รู้ตัว


ฆราวาสเป็นอรหันต์

ท่านถามว่า “อย่างท่านหญิงวิภาวดีนี่ เรียกว่าพระอรหันต์ได้ไหม...?”

ก็เลยถวายพระพรบอกว่า

“พระสาวกไม่มีสิทธิ์พยากรณ์ พระที่จะพยากรณ์ได้ มีสิทธิ์พยากรณ์ก็คือพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะพยากรณ์ใครว่าเป็นพระอรหันต์หรือไม่ แต่ว่าพระสาวกรู้ได้ เพราะตัวเองเป็นถึงอรหันต์ก็รู้ว่าคนอื่นเป็นอรหันต์ได้ แต่ว่าไม่มีสิทธิ์พยากรณ์”
แล้วท่านก็เลยถามว่า “จะเรียกว่าอะไรดี”

ก็เลยบอกท่านว่า

“เรียกว่า คนมีอารมณ์เต็มถึงพระนิพพาน”

ท่านก็บอก “เอ๊ะ! ก็เต็มพระนิพพานก็เป็นอรหันต์”

บอกว่า “นี่เป็นเรื่องของพระองค์จะทรงทราบเอาเอง” (หัวเราะ) ไอ้เราไม่มีสิทธิ์นี่ คำว่าอารมณ์เต็มพระนิพพานนี่จะเป็นอะไรให้รู้ไป ก็เลยกราบทูลให้

ทรงทราบ บอกว่า
“ถ้าฆราวาสเป็นพระอรหันต์ก็คือต้องบวชในวันนั้น ถ้าไม่ได้บวชในวันนั้น วันรุ่งขึ้นไม่ทันสิ้นแสงอาทิตย์ตกก็ต้องตาย การตายประเภทนี้เรื่องอื่นมาทำไม่ทัน ก็ต้องตายด้วยอุบัติเหตุ”

อย่างสมัยพระพุทธเจ้า ก็มีนางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย นี้เขาเรียกว่าตายแล้วไปพระนิพพาน นี่อย่างสมัยนี้ก็ไม่ต้องไปรอนางยักษิณี รถยนต์มีเยอะแยะไป ไปเดินไปเผลอรถยนต์ก็ชนตาย นี้ก็พูดกันถึงเรื่องท่านหญิงวิภาวดี

ท่านก็เลยบอกว่า “ผมไม่นึกเลย ท่านหญิงวิภาวดีนี่จะมีอารมณ์เข้มข้นแบบนี้”

แต่ก็รู้เหมือนกันว่าท่านมีกำลังใจเข้มแข็ง และไม่ย่อท้อต่อการงาน และเวลาฝึกพระกรรมฐานของท่านรู้สึกว่าจะน้อยมาก ใช้เวลาจริงๆ เพียง ๘ เดือน ๘ เดือนนี่ก็ไม่ได้มานั่งอยู่กับพวกเรา รับฟังนิดหน่อยท่านก็ไปประพฤติปฏิบัติ

ก็เลยถามท่านบอกว่า

“ท่านหญิงวิภาวดีทำความดีมาตั้งแต่เมื่อไหร่...?”

ท่านบอกว่า

“สิบปีกว่าที่สงเคราะห์ประชาชนไปนั่นก็ท่านทำ กว่าพระเจ้าแผ่นดินจะช่วย ท่านทำมาถึง ๘ ปี ใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์หรือใช้ทรัพย์ของท่านหญิงเอง และต่อมาภายหลังพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงช่วย ท่านแต่งหนังสือเก่ง ท่านแปลหนังสือได้ รายได้จากค่าซื้อลิขสิทธิ์ได้มาหนึ่งแสนสองแสนท่านก็มาใช้ ท่านชายให้ท่านบ้าง ท่านก็มาใช้ การใช้ของท่านสงเคราะห์คนทั้งหมด สงเคราะห์คนจนต่างๆ ให้ประกอบอาชีพจักสานบ้าง ทำทุกอย่างที่เขาทำได้ แกะสลักก็ตาม แล้วท่านก็มาขายให้ มาขายให้เมื่อได้สตางค์ก็ไปให้เขา แล้วเอาทุนทรัพย์นี่ไปสร้างโรงเรียน จ้างครูสอน เอาใช้เป็นส่วนสำหรับตรงนั้นของท่านหญิงเองทำอย่างนี้มา ๑๐ ปีกว่า”

ก็เลยถามพระองค์ว่า

“ทำอย่างนี้ถ้าจิตไม่เข้มแข็งทำได้ไหม...?”

ท่านบอกว่า “ทำไม่ได้”

“ในเมื่อมีความเข้มแข็งในด้านนี้แล้ว เขาเรียกว่าอะไร..?”

ถามท่านบ้าง ต่างคนต่างถาม เรามีสิทธิ์ถามเหมือนกันนี่ ใช่ไหม ไม่ใช่มานั่งมีสิทธิ์ถามคนเดียวนะ

ท่านก็เลยบอกว่า
“ต้องมีอารมณ์ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔”

“นี่หมายความว่าพรหมวิหาร ๔ นี่เป็นแกนใหญ่”

ท่านถาม “แกนใหญ่อะไร...?”

บอก “ศีลบริสุทธิ์ได้ก็เพราะพรหมวิหาร ๔ สมาธิจะทรงตัวได้ก็เพราะพรหมวิหาร ๔ วิปัสสนาจะทรงได้เพราะพรหมวิหาร ๔ ในเมื่อมีพรหมวิหาร ๔ อารมณ์จิตมันเย็น ไอ้คนที่มีพรหมวิหาร ๔ เป็นปกตินี่ อารมณ์ใจเขาเย็นไม่ร้อน เพราะอะไร เพราะมีความเมตตาความรักใช่ไหม ไอ้ตัวรักไม่ใช่รักในราคะ รักด้วยความปรานี กรุณา มีความสงสาร อารมณ์นี้มันไม่ร้อน มุทิตา ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นชาวบ้านเขาได้ดีพลอยยินดีด้วย อุเบกขา ถ้าสิ่งใดเป็นกฎธรรมดามันเข้ามาถึงเรา เช่น พ่อตายแม่ตาย ลูกตาย หลานตาย ตัวป่วยไข้ไม่สบายจวนจะตาย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีอารมณ์ไม่หวั่นไหว อันนี้มันก็มีอารมณ์เย็น”

ก็กราบทูลท่านบอกว่า

“การรู้ท่านหญิงวิภาวดีทำแบบนี้ ก็เป็นการเจริญพระกรรมฐานมาโดยตรง แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวทำ คือไม่เข้าใจว่าเป็นการปฏิบัติพระกรรมฐาน แต่จิตแบบนี้เขาถือว่าทรงฌาณในพรหมวิหาร ๔ เพราะการทรงฌานนี่ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาส่ง ไอ้คนที่นั่งหลับตาส่งมันไม่ใช่คนดี คือมันยังไม่ได้ดี ถ้าดีจริงๆมันต้องจิตทรงอยู่ตลอดวัน จิตเราคุมอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ตลอดวัน เราไม่คิดจะเป็นศัตรูกับใคร เราจะมีความเมตตาปรานีสงสารสงเคราะห์เขา เราไม่อิจฉาริษยาเขา พลอยยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี และกรรมใดที่เป็นอกุศลกรรมมาสนองเราไม่หนักใจ อย่างนี้ชื่อว่าเราเป็นผู้ทรงฌาณในพรหมวิหาร ๔”

ท่านก็เลยตรัสบอกว่า

“ผมก็เคยแนะนำเขาไปยังงั้นเหมือนกัน”

เคยพูดถึงพระราชินีกับลูกสาวท่าน ท่านหญิงสิรินธร
“หรือลูกสิรินธรของผมก็เหมือนกัน เขาก็ทำอยู่ทุกวันในด้านเมตตาปรานี ปรารถนาการสงเคราะห์คนอื่น เมื่อคืนเขาต้องการพบหลวงพ่อ ผมจึงให้ฆราวาสเขาไปนิมนต์”

แหม...คุยกันตอนดึกก็ดีเหมือนกัน

ถาม “ทำไมถึงต้องการพบตอนดึก...?”

บอก “เช้าเขาต้องรีบไปเข้าโรงเรียน”

คือท่านสอนเจ้าฟ้าหญิง ตอนเช้าท่านต้องไปเข้าโรงเรียน ไปถึงมหาวิทยาลัย ๒ โมงเช้า เมื่อท่านต้องไปเข้ามหาวิทยาลัย ๒ โมงเช้าก็อยากจะพบกลางคืน

ก็เลยบอกว่า “คืออาตมารู้เหมือนกัน ว่าพระองค์จะไปนิมนต์ตอนดึก อาตมาก็เลยรีบนอนซะตอน ๔ ทุ่มครึ่ง”

ท่านถามว่า “ทำไม เป็นเพราะอะไร...?”

ก็เลยบอก “ตอนดึกหนักๆ เข้าก็คุยไปคุยมาก็จะหลับคุยกัน หลับคุยกันก็ต้องฝันคุยกัน เพราะทราบอยู่แล้วว่า ถ้ามาก็ถึงสว่าง”

ท่านก็เลยหัวเราะ ท่านเลยคุยถึงเรื่องการเจริญกรรมฐาน บอก ผมเวลาเมื่อป่วยหมอเขาห้ามออกกำลังกาย ผมก็เอาเทปอันนี้ ไอ้เทปที่ไม่มี ที่ยาวๆ ของท่านล่ะนะ ตอนนั้นท่านขอบันทึกเสียง ผมขออนุญาตบันทึกเสียงครับ บอก เอ้า! อนุญาต บันทึกไปก็ได้คุยกันเยอะ ท่านก็บันทึกเสียงไว้ด้วย

บอกว่า “เวลาผมเดินๆ ไปรอบๆ ที่อยู่ ผมก็เอาเทปสะพาย แล้วก็คาสเซทของหลวงพ่อใส่ไปด้วย ผมเดินไปผมก็ฟังเรื่อยไป”

เป็นอันว่าในวังเวลานี้ ทั้งข้าหลวงทั้งพระราชินี ทั้งเจ้าฟ้าหญิงทั้งในหลวง เห็นเขาบอกว่าได้ยินเสียงฉันอยู่เสมอ ถ้าว่างเป็นเปิดฟัง

ท่านบอกว่า “เมื่อก่อนนี้ผมชอบฟังเพลง เดี๋ยวนี้ผมไม่เอา ฟังธรรมะดีกว่า”
เปลี่ยนเป็นฟังธรรมะไป ท่านก็ปรารภ บางทีหลวงพ่อบอกว่าไม่รู้ใครมาเอาเทปไปถวาย เทปที่เราสอนๆ กันอยู่นี่ มีคนส่งไปถวาย ท่านฟังหมวดท้าย
ถามว่า “มหาบพิตรมีเทปเท่าไร...?”

บอกว่า “เทปของหลวงพ่อมากที่สุด เทปของคนอื่นมีอยู่บ้าง ทั้งหมดเห็นจะมีอยู่ ๑๐๐ คาสเซทได้มั้ง”

โอ้โฮ! ไม่ใช่ก้อยเลยนะ ถามว่า ร้อยฟังหมด บอกว่า ฟังหมดครับ ท่านบอก ฟังซ้ำๆ ของหลวงพ่อ ถาม ทำไม บอก เข้าใจง่ายดี ท่านมีของหลวงปู่ฝั้น ถวายท่านมา ท่านบอกท่านฟังๆแล้วท่านก็ไม่เข้าใจ หลวงปู่ฝั้นบอกทำจิตให้สบาย ก่อนหน้าที่หลวงปู่ฟั่นท่านตายสักสองเดือน ท่านบอกเพิ่งเข้าใจตอนนั้น ท่านฟังมาตั้งหลายหน คืออารมณ์เข้าถึงในการฟังธรรมปฏิบัตินี่ ถ้าอารมณ์มันไม่ถึง มันฟังไม่รู้เรื่อง

ก็คุยกันไปสักพักก็พอดีพระราชินีท่านเสด็จ เสด็จมาท่านก็บอกว่า
“ฉันไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติธรรม เพราะทำไม่ค่อยได้ ได้แต่สวดมนต์”

“แต่พระราชินีนี่ไม่ใช่เล่นนะ สวดมนต์เป็นชั่วโมงเลย และก็ชอบให้ทาน และก็ชอบฟังพระสูตร ขอหลวงพ่อบันทึกคาสเซทมาให้ฟังได้ไหม”

บอกว่า “ได้ ไม่เป็นไร”

ขอพระสูตร ในหลวงขอจริต ๖ จริต ๖ ท่านบอกว่าต้องการยังงี้ จริตละเทป หมายความคาสเซทหนึ่งชั่วโมงนี่สองด้านจริตละหนึ่งเทป เพราะอะไร เพราะว่าเพื่อนๆของท่าน เพื่อนที่ปฏิบัติร่วมกัน ถ้าเขาเห็นว่าเขามีจริตยังงี้ ก็เอาเทปนี่ให้เขาไป ให้เขาไปฟัง ถ้ามีจริตบวกเอาเทปบวกเข้าไป
ท่านบอกว่า

“ลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งหมด ผมวินิจฉัยแล้ว เข้าใจว่าเป็นคนที่มีศรัทธาจริตเป็นส่วนใหญ่ เห็นจะเป็นทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านหญิงวิภาวดีนี่ มีศรัทธาจริตอย่างแรงกล้า”

ทั้งนี้ก็เลยถวายพระพร บอกว่า

“คนที่มีศรัทธาจริตแรงกล้านี่ หรือหนักไปในศรัทธาจริตนี่ เขาได้กำไร”
ท่านถามว่า “ได้กำไรยังไง”

บอก “ตัวนี้บรรลุง่าย เพราะว่าสอนแล้วก็จำ แล้วก็เชื่อ แต่ว่าผลก็มีอยู่ว่า แต่ต้องคนนำไปในทางที่ถูก ถ้านำไปในทางที่ผิด กลุ่มคนประเภทนี้ก็เลยหลงไปเลย พัง! สำหรับท่านหญิงวิภาวดี อาตมาว่าไม่ใช่ศรัทธาจริตอย่างเดียว เพราะเป็นพุทธจริตด้วย”

ท่านบอกว่า “ใช่...ใช่...”

เลยบอกท่านว่า
“อย่างนี้เขาเรียกจริตบวก คือมีกำลังกล้า จริตความจริงมันมีด้วยกัน ๖ อย่าง และว่าท่านหญิงวิภาวดีมีทั้งศรัทธาจริตและก็พุทธจริต และพุทธจริตนี่เป็นคนฉลาด ศรัทธาจริตที่มีขึ้นก็เป็นคนไม่ใช่คนหัวดื้อ ลักษณะคนหัวดื้อนี่มันเป็นพวกโมหะจริตกับวิตกจริต คนพวกนี้เอาดีไม่ได้ ให้สอนจนตายก็เอาดีไม่ได้ เพราะเป็นปทปรมะ บวชอยู่สักกี่พันพรรษาก็ตาม ตายแล้วก็มีหวังลงอเวจี เพราะว่ามีสันดานหยาบไม่รับคำสอน

นักปฏิบัติก็เหมือนกัน ฆราวาสก็เหมือนกัน ถ้าเป็นโมหะจริตกับวิตกจริต อันนี้ไม่มีทางได้ดี เพราะพวกนี้มีสันดานหยาบ มักจะไม่รู้จักความเลวของตัว คอยจะไปมองดูคนอื่นแต่ตัวไม่ดู นี่เขาเรียกโมหะจริต ไอ้โมหะมันแปลว่าหลง หลงเข้าใจว่าตัวดี แต่ไอ้ที่ทำเลวไม่รู้ ถ้าคนมีอารมณ์ประเภทนี้ก็แสดงว่าเป็นเหยื่อของอเวจีมหานรก ทำไมรู้ไหม ก็มันไม่เอาดีก็ลงอเวจี เพราะรักษาเอาแต่ความชั่วเป็นอาจิณกรรม ได้แต่มองคนอื่นเขาว่าเขาชั่ว

ไอ้การที่ไปมองคนอื่นว่าชั่วนี่ แต่ความจริงตัวนี่ชั่วมาก ถ้าตัวเองไม่ชั่วล่ะมันไม่มองความชั่วของคนอื่น เพราะการมองและเห็นว่าเขาชั่ว มุ่งจะดูความชั่วมันเป็นคนที่ขาดพรหมวิหาร ๔ มันเป็นความเลวของจิต แต่คนที่เขามีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจนี่ เขามองเพื่อนด้วยความเมตตา และกรุณามุทิตาพร้อมๆกันไป เพราะอะไร เพราะถ้าเห็นว่าเพื่อนทำผิด เขาจะเตือนด้วยดีใช่ไหม นี่ต้องวินิจฉัยศัพท์ให้เข้าใจ ก็มีการตักเตือนกันด้วยความหวังดี ไม่ใช่คอยจะจับผิดคิดประทุษร้าย”

นี่ก็เลยกราบทูลบอก

“ท่านหญิงวิภาวดีก็ทรงตัวอยู่ได้ดีแบบนี้ เพราะอาศัยที่มีพรหมวิหาร ๔ มา ท่านเวลาปฏิบัติจึงใช้เวลาน้อยที่สุด ที่ ๘ เดือนนี่ ไม่ใช่มานั่งรับฟังทั้ง ๘ เดือน มานั่ง...แต่ไม่ใช่มานั่งรับฟังทุกวัน คือฟังครั้งสองครั้ง อาศัยศรัทธาจริต ศรัทธามีความเชื่อ ฟังแล้วก็เชื่อทันที พอเชื่อแล้วก็อาศัยความฉลาด พุทธจริตนี่เขาเป็นคนฉลาด พอเชื่อแล้วก็เอาไปคิด คิดแล้วก็ปฏิบัติตาม”

เป็นอันว่าประวัติของท่านหญิงวิภาวดีนี่ รู้สึกลูกเต้าเข้าหน้าไม่ค่อยติดตามปกติ นี่ขอเล่าประวัติเก่านี่ พระเจ้าแผ่นดินท่านก็บอกเหมือนกัน บอก
“ท่านหญิงวิภาวดีเป็นคนเจี๊ยวจ๊าว หมายความโมโหง่าย คนโมโหร้ายแสดงถึงว่าเป็นคนมีอารมณ์จิตรวดเร็ว เพียงแต่พอเริ่มไปปฏิบัติกับหลวงพ่อไม่ถึงเดือนผมเห็นแปลกไปถนัด ไอ้เรื่องเหตุที่ต้องว่าต้องดุต้องด่าใครหายไปหมด มีแต่อารมณ์ยิ้ม และก็คอยจะสงเคราะห์ คอยมองดูพวกชาววังก็ตามพวกข้างนอกก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกในวัง ถ้าใครเขาทำอะไรผิดพลาดไปนิดนึง บางทีท่านก็ไม่เตือนก่อน เรียกมากินขนมบ้างมาให้ของแจกบ้าง เขาคนนั้นรู้สึกว่าจะจิตน้อมลงมาถึง ๖ เดือน นี่เป็นลักษณะของพรหมวิหาร ๔ เตือนด้วยความหวังดี”

และท่านก็เลย ตอนนี้พระราชินียิ้มออกมา

พระราชินีท่านก็บอกว่า

“ท่านไม่ถนัดในการนั่งสมาธิ มีอารมณ์ชอบรักษาศีลและก็สวดมนต์ และก็ชอบในการให้ทาน”

เรื่องทานบารมีของท่านนี่หนักมาก พระเจ้าแผ่นดินท่านบอกไม่ใช่เท่านั้นอย่างเดียว

ถาม “อะไรอีก...?”

บอก “บางทีได้จังหวะเปรี๊ยวปร๊าวๆ”

นี่ขัดคอกันตอนนี้น่ะ พระราชินีท่านก็ยอมรับ ท่านบอกว่าบางทีมันเผลอเอาเหมือนกัน แต่ส่วนอื่นของท่านก็ส่วนใหญ่ ไม่ใช่โมโหโทโสคนภายใน ถ้าเรื่องของคนรักชาตินี่ แหม...พอจะช่วยชาติขึ้นมาก็ต้องตั้งท่าจะเอาอย่างโน้นตั้งท่าจะเอาอย่างนี้ ทำท่าใหญ่โตต้องลงทุนมากมาย อีตอนนี้ท่านก็เลยบอกมันอดโมโหไม่ได้ คนจะช่วยชาติมันไม่ต้องทำใหญ่ ทำคนละเล็กละน้อย ทุกคนต่างคนต่างทำมันก็มากไปเอง อีตอนนี้ท่านก็หวังดีนั่นเอง ท่านก็เปรี๊ยวปร๊าวตอนนี้ นี่ท่านก็ยอมรับ
พระเจ้าแผ่นดินท่านก็ตรัสว่า

“นี่เขาไม่รู้หรอกว่าเขาทำดี”

พระราชินีตรัสถามว่า

“พระองค์เห็นหม่อมฉันทำดียังไง...?”

ท่านบอก “ที่เธอนั่งสวดมนต์น่ะ เธอรู้เรื่องไหม รู้คำสวดไหม...?”

พระราชินีบอก “ถ้าหม่อมฉันไม่รู้ หม่อมฉันนั่งสวดไปยังไง” บอก “รู้ทุกคำ”
ท่านบอก “รู้ทุกคำนี่มันเป็นสมาธิ”

แน่ะ! นี่ว่ากันเองนะตอนนี้น่ะ

ท่านบอก “นี่มันเป็นสมาธิ”

ท่านเลยถามว่า “เวลาที่จะสวดมนต์น่ะ นึกเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไหม...?”

พระราชินีบอก “ถ้าไม่เคารพล่ะก็ จะสวดทำไมล่ะ เพราะเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงสวด”

บอก “นี่ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำไมจึงว่าไม่ชอบทำสมาธิ การนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นการทำสมาธิ การติดใจในการสวดมนต์ก็เป็นการทำสมาธิ นั่นก็เป็นบุญเป็นกุศล และการให้ทาน เรื่องทานนี่ให้มาก เขาไม่มีเรื่องอื่น วันๆหนึ่งเขาก็นั่งนึก ถ้าเขาว่างจะทำอาหารไปถวายพระที่ไหน จะทำขนมถวายพระที่ไหน จะไปทำบุญที่ไหน จะสงเคราะห์ใคร ก็นั่งนึกชาวบ้านชาวช่องที่ไปเยี่ยม ไอ้คนหมู่บ้านนั้นก็ลำบาก คนหมู่บ้านนี้ก็ยากจน จะหาอะไรไปช่วย หาเงินที่ไหน หาของไปช่วยเขา อะไรเป็นที่ถูกใจของเขา นั่งนึกแบบนี้ ผมก็ว่านี่เขาก็ทำกรรมฐานอยู่เรื่อย”

ท่านหันมาพูดนี่นะ! ก็เลยบอกว่า

“อาตมาเห็นด้วย ว่านักเจริญกรรมฐานที่ดีเขาก็ไม่มุ่งในขั้นหลับตา ถ้าหลับตาดีก็ถือว่าดีไม่ได้ ทีนี้ถ้าอารมณ์จิตคิดอยู่เป็นปกติ อย่างนี้นะจึงชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌานในด้านกรรมฐาน เพราะว่าฌานแปลว่าการเพ่ง เพ่งก็คือนึกไว้นั่นเอง นึกว่าเราจะทำความดีส่วนโน้นส่วนนี้”

ยังมีต่ออีกค่ะ

จากหนังสือชื่อ ธรรมปฏิบัติ ๒๖ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
หน้าที่ ๓๓-๖๔ ค่ะ

ภาพจากการ search ใน google ค่ะ






 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2554
5 comments
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2554 8:17:34 น.
Counter : 2268 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะคุณกระติ๊บน้อย
บล็อกก่อนไม่ได้อ่าน ข้ามมาอ่านบล็อกนี้เลย
แต่อ่านไม่ละเอียดทุกตัวอักษรนะคะ ขออภัยด้วย
และขอบคุณที่นำบทสนทนาทางธรรม
จากหนังสือดีๆมาแบ่งปันกันอ่าน
อนุโมทนาสาธุค่ะ


ช่วงนี้พายุเข้าค่ะทั้งลม ทั้งฝน และลูกเห็บ
ไฟฟ้าทำท่าร่อๆแร่ๆ ดับๆติดๆหลายรอบแล้วค่ะ
ลมพายุพัดอื้ออึงทั้งวันทั้งคืนเลยค่ะ น่ากลัว

 

โดย: เกลือหนึ่งกำน้อย 30 พฤศจิกายน 2554 12:00:21 น.  

 

ขอบคุณที่เอาเรื่องดีๆ มาให้อ่านชอบมากเลยค่ะ ขอบคุรนะคะ จะคอยอ่านต่อนะคะ

 

โดย: notenook IP: 125.26.224.206 30 พฤศจิกายน 2554 14:28:50 น.  

 

ขอบคุณคะ
มาติดขอบรออ่าน บทต่อไปคะ

 

โดย: สาวชนบท IP: 192.168.5.31, 58.136.207.100 30 พฤศจิกายน 2554 15:38:49 น.  

 

ขอบคุณครับ

 

โดย: ใบไม้เบาหวิว 1 ธันวาคม 2554 14:47:34 น.  

 

กลุ่มเพื่อน 5.63 โรงเรียนอุตรดิตถ์ ขอแสดงมุทิตาจิตถวายพระครูถาวรธรรมโกวิท (ถวิล) ธ. วัดพระแท่นศิลาอาสน์ จ.อุตรดิตถ์ เนื่องในโอกาสที่พระเดชพระคุณท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่ พระวินัยสาทร สย. ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2554

 

โดย: กลุ่มเพื่อน 5.63 อ.ต. IP: 118.172.169.62 11 ธันวาคม 2554 13:02:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


กระติ๊บน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 89 คน [?]




ศึกษาธรรมะ ชอบไพ่ยิปซี
แล้วก็เป็นคนที่มีชีวิตที่ธรรมดาๆ

.....................................................
สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๘
ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน
หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน Blog แห่งนี้
ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และโดยอ้างอิง
โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้ใดฝ่าฝืน จะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
New Comments
Friends' blogs
[Add กระติ๊บน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.