Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
6 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
ปัญหาที่น่าสนใจยิ่ง ผีมีจริงหรือไม่? ตอนที่2

มาอ่านกันต่อในส่วนที่2เลยนะคะ
ซึ่งกระติ๊บน้อยชอบมากเลยค่ะ หลวงพ่อท่านอธิบายได้แจ่มแจ้งมากทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางธรรม

-------------------------
-------------------------

อย่างไรก็ตาม แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานสักเท่าใดก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังครุ่นคิดถึงแต่เหตุการณ์อักแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นนี้อยู่ตลอดมา แต่ก็ไม่สามารถที่จะไต่หาความกระจ่างในเรื่องนี้จากผู้ใดได้ คงเล่าให้ภรรยาฟังท่านั้น

จนกระทั่งประมาณปี ๒๕๐๙ หรือ ๒๕๑๐ นาวาอากาศโทอาทร โรจนวิภาต (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันเป็นพลอากาศเอก และได้เกษียณอายุราชการแล้ว) ได้ย้ายไปเป็นเสนาธิการณ์กองบิน ๔ และได้ถูกจัดให้อยู่ ณ บ้านหลังเดียวกับข้าพเจ้าประสบเหตุการณ์ดังกล่าว

พร้อมกันนั้นท่านก็ได้นิมนต์หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร (พระราชพรหมยานในปัจจุบัน) มาเป็นประธานในวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ด้วย ซึ่งข้าพเจ้าและครอบครัวก็ได้ร่วมงานบุญครั้งนั้นด้วย

อีกทั้งยังได้ไปรอ รับหลวงพ่อที่รถ ติดตามมาจนถึงมาจนหลวงพ่อเดินขึ้นบันไดบ้าน ทันใดนั้นหลวงพ่อก็หยุดอยู่ตรงบันไดชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วหันมาพูดกับข้าพเจ้ายิ้มๆว่า “นี่ คุณมณู ท่านเทพฤทธิ์มายืนฟ้องฉันแน่ะว่าคุณเป็นคนหัวดื้อ และด่าว่าท่าน ”

ข้าพเจ้าได้ฟังตอนนั้นก็งงมาก เพราะข้าพเจ้าไม่รู้จักใครที่ชื่อ “ท่านเทพฤทธิ์” มาก่อนเลย หลวงพ่อเห็นข้าพเจ้ายืนงงก็พูดตอว่า

“คุณไปคิดดูก็แล้วกันว่า คุณเคยพบใครที่มีร่างกายดำๆ สูงใหญ่เทียมประตูที่บ้านหลังนี้บ้าง คุณเคยมาอยู่ที่นี่ก่อนไม่ใช่หรือ นั่นแหละท่านนั้นแหละคือท่านเทพฤทธิ์ซึ่งเป็นเทพระดับสูงซึ่งปกป้องคุ้มครองกองบิน ๔ ล่ะ”

พูดแล้วหลวงพ่อก็เดินขึ้นบ้านไปเป็นประธานในพิธีต่อไป ปล่อยให้ข้าพเจ้ายืนตกใจ ขนลุกซู่ คิดอยู่คนเดียวว่าผีที่ข้าพเจ้าเห็นเมื่อครั้งนั้นที่แท้คือ “ท่านเทพฤทธิ์” ที่หลวงพ่อเพิ่งเปิดเผยให้ทราบนี่เอง


ด้วยเหตุนี้เอง ปัญหาแรกที่ข้าพเจ้าได้โอกาสถามหลวงพ่อในวันหนึ่งที่แพท่าน้ำวัดท่าซุง หลังหลวงพ่อฉันอาหารเพลเสร็จแล้วก็ได้ถามหลวงพ่อว่า

“หลวงพ่อครับ ผีมีจริงหรือครับ” ท่านผู้อ่านคงจะขำว่า โธ่เอ๊ย!.. เอาปัญหาระดับปัญญาอ่อนมาถามได้

แต่สำหรับหลวงพ่อพอได้ยินคำถามของข้าพเจ้าก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พูดว่า

“เออ..ถามเข้าท่านี่”

ทำให้ข้าพเจ้าค่อยหน้าบาน แต่ยังไม่ทันได้ชื่นใจ หลวงพ่อก็ถามข้าพเจ้าว่า “คุณมณู เป็นหัวหน้าสถานีวิทยุกระจายเสียง ๐๔ใช่ไหม?”

ข้าพเจ้ารีบตอบด้วยความภาคภูมิใจ “ใช่ครับ”

หลวงพ่อชี้มือมายังเครื่องรับวิทยุที่ข้าพเจ้าถืออยู่แล้วถามว่า “นั่น คุณถืออะไรมา”

ข้าพเจ้า “เครื่องรับวิทยุครับ”

หลวงพ่อ “คุณถือเอามาด้วยทำไม”

ข้าพเจ้า “เอาไว้ฟังรายการของสถานีวิทยุ ๐๔ ว่าจะออกรายการเป็นไปตามที่ได้จัดเอาไว้หรือไม่ครับ แล้วก็เอาไว้ตรวจสอบดูด้วยว่า กำลังส่งของสถานีจะไปได้ไกลถึงไหน อย่างที่วัดท่าซุงนี้ก็ยังรับฟังชัดเจนได้ดีอยู่ครับ”

หลวงพ่อ “ ทำไมคุณไม่ใช้หูฟังคลื่นวิทยุที่ส่งโดยตรงล่ะ ทำไมจึงต้องเอาหูฟังจากเครื่องวิทยุ”

ข้าพเจ้า “หูฟังคลื่นวิทยุโดยตรงไม่ได้หรอกครับ เพราะคลื่นวิทยุมีคลื่นความถี่สูง ต้องใช้เครื่องนี้เปลี่ยนความถี่ของคลื่นเสียงก่อน หูคนเราถึงจะรับฟังได้”

หลวงพ่อพูดยิ้มๆว่า “อ้าว!...ถ้ายังงั้นคนเราก็รับฟังได้อย่างมีขอบเขตจำกัดน่ะซี ถ้าจะถือเอาเครื่องรับแบบหยาบๆ ที่รับฟังได้เฉพาะในย่านความถี่ต่ำๆ ระดับคลื่นเสียงเท่านั้นเอง ความถี่ที่สูงกว่าคลื่นเสียงก็ดี หรือต่ำกว่าคลื่นเสียงก็ดี หูคนเราโดยทั่วไปก็คงจะรับฟังไม่ได้ใช่หรือไม่”

ข้าพเจ้า “ครับหลวงพ่อ”

หลวงพ่อ “ถ้าเช่นนั้นคุณยอมรับไหมว่าหูของคนเรานั้นเป็นเครื่องรับเสียงชั้นหยาบที่ขาดประสิทธิภาพ”

ข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนที่ทระนงนักหนาว่าเป็นบุคคลที่มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ กลับถึงคราวอับจน จำต้องยอมรับกับหลวงพ่อว่า

“ครับหลวงพ่อ หูของคนเราเป็นเครื่องรับเสียงชั้นหยาบจริงๆ”


หลวงพ่อหัวเราะแล้วถามข้าพเจ้าต่อไปว่า “เออ.. ที่บ้านคุณมีทีวีดูไหม?”

ข้าพเจ้าชักลังเลใจว่าหลวงพ่อจะมารูปแบบใด แต่ก็ตอบไปว่า “มีครับ”

หลวงพ่อ “คุณไปซื้อเครื่องรับทีวี ทำไม เสียเงินทองเปล่าๆ”

ข้าพเจ้า “เอาไว้ดูรายการซิครับ กองบิน๔ เงียบเหงาจะตายไป กลางค่ำกลางคืนได้ดูทีวี ค่อยเพลิดเพลินหน่อยครับ”

หลวงพ่อ “ตาคุณก็มีไม่ใช่หรือ? ทำไมคุณถึงไม่ดูภาพที่ที่เขาส่งออกอากาศมาโดยตรงเล่า ต้องไปดูจาเครื่องรับทีวี ทำไม?”

ข้าพเจ้า “ดูภาพที่เขาส่งมาโดยตรงไม่ได้หรอกครับ ต้องใช้เครื่องรับทีวี แปลงความถี่นั้นมาเป็นความถี่ภาพ ที่ตาของคนเราเห็นได้เสียก่อน”

หลวงพ่อ “ถ้าเช่นนั้นตาของคนเราทั่วๆไปก็มองเห็นอะไรได้ในขอบเขตจำกัดใช่ไหม? ดังนั้นคุณยอมรับไหมว่า ตาของคนเรานั้นเป็นเครื่องรับภาพชั้นหยาบ ไร้ประสิทธิภาพ”

ข้าพเจ้าคิดดูก็จริงอย่างที่หลวงพ่อว่า เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถมองเห็นภาพที่เขาส่งมาทางอากาศได้โดยตรง ไม่สามารถมองเห็นเชื้อโรค ไม่สามารถมองเห็นอะตอม ได้ด้วยตาตนเองจริงๆ จึงต้องยอมจำนนและยอมรับว่า

ครับหลวงพ่อ ตาของคนเราเป็นเครื่องมือจับภาพชั้นหยาบจริงๆ”

หลวงพ่อเมื่อเห็นข้าพเจ้ายอมจำนนก็อธิบายต่อว่า “เมื่อคุณยอมรับว่า ตา และหูของคนเรานั้นเป็นเครื่องมือชั้นหยาบ มีขีดความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินในขอบเขตที่จำกัด

แล้วคุณจะไปเห็นผีหรือ คุยกับผีได้อย่างไร เพราะผีก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี อยู่ต่างภพต่างความถี่กับเรา โดยปกติทั่วๆไปแล้วคนเราจะเห็นผี เห็นเทวดาหรือพรหมไม่ได้ ถ้าเขาไม่ต้องการให้เราเห็น ผีเองก็เห็นเทวดาไม่ได้

เทวดาที่มีชั้นภูมิต่ำก็ไม่สามารถมองเห็นเทวดาที่มีชั้นภูมิสูงกว่าได้ และแม้เทวดาที่มีชั้นภูมิสูงก็ไม่สามารถมองเห็นพรหมได้ เว้นไว้แต่ว่าท่านต้องการจะปรากฏให้เห็นเท่านั้น เหมือนเช่น “ท่านเทพฤทธิ์” ท่านจงใจปรากฏกายให้คุณเห็น ก็เพราะท่านเมตตาต้องการให้คุณเอาไปขบคิดว่ายังมีอะไรแปลก มหัศจรรย์อีกมากที่มนุษย์อย่างคุณไม่รู้ เพื่อคุณจะได้ศึกษาค้นคว้าและหันเหชีวิตไปในทางที่ถูกที่ควรต่อไป

ฉันเองก็ดีใจนะที่คุณเริ่มสนใจปัญหาเพราะแสดงว่าถึงเวลาของคุณแล้ว”

“ถึงเวลาอะไรหรือครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้ารีบถามชักใจคอไม่ดี

“ถึงเวลาตายน่ะซี”

หลวงพ่อตอบ ทำเอาข้าพเจ้าสะดุ้งสุดตัว หลวงพ่อมองเห็นอาการของข้าพเจ้าก็หัวเราะ พูดต่อว่า

“คุณน่ะยังไม่ตายหรอก แต่ความประพฤติปฏิบัติเก่าๆของคุณจะค่อยๆตายไปเพราะคุณเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่มาก เนื่องจากได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ หากแต่จิตของคุณในขณะนี้มีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่มาก และขาดผู้ชี้แนะที่คุณศรัทธาเท่านั้นเอง หากเมื่อใดปัญหาที่คุณเคลือบแคลงสงสัยถูกขจัดหมดไปได้ เมื่อนั้นคุณจะเห็นแสงธรรม

และบัดนี้ก็เริ่มถึงเวลาของคุณแล้วที่ได้มีโอกาสมาพบฉัน คุณมีอะไรที่สงสัยก็ถามมา การถามเป็นวิสัยของคนฉลาด พระพุทธเจ้าเองท่านก็สอนมิให้เชื่ออะไรง่ายๆ เพราะผลอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมานั้น ย่อมมาแต่เหตุทั้งสิ้น จึงต้องศึกษาให้กระจ่างเสียก่อนแล้วจึงเชื่อ ต้องศึกษาค้นคว้าก่อนแล้วจึงเชื่อ

เหมือนดังเช่นพระสารีบุตรท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังพระที่ได้บวชรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งนี้เพราะท่านไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ต้องศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์กันก่อน แต่เมื่อท่านได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ได้รับการยกย่องให้เป็นอัครสาวกด้านขวาของพระพุทธองค์ เพราะเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา (พระโมคัลลาน์ เป็นอัครสาวกด้านซ้าย เลิศด้วยอิทธิฤทธิ์)เป็นต้น”

หลวงพ่อได้อธิบาย และให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าในการถามด้วยความเมตตาฉะนี้

“หลวงพ่อครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอถามต่ออีกนิดนะครับ คือว่า การที่ผมชาขยับเขยื้อนไม่ได้ในขณะที่ท่านเทพฤทธิ์ ทั้ง ๒-๓ครั้งนั้นจะเป็นเพราะท่านช่วยปรับความถี่ในตัวผมให้ประสาทในการมองเห็นของผมมีความถี่เดียวกับท่านใช่ไหมครับ ผมจึงสามารถมองเห็นท่านได้” ข้าพเจ้ารีบถามต่อทันที


“ก็เป็นทำนองนั้น แต่เป็นการปรับให้เห็นทางจิตโดยตรงทีเดียวนะ ตามปกติตาของคนเรามองเห็นอะไรก็บอกให้จิตรับรู้ แต่ถ้ามองไปที่สิ่งนั้นแบบเลื่อนลอย ไม่บอกให้จิตรับรู้ ก็ย่อมไม่เห็นในสิ่งนั้นเช่นกัน” หลวงพ่อตอบ


“ถ้าอย่างงั้นคนเราฝึกจิตให้ดี ก็สามารถปรับความถี่ในการมองเห็นและการได้ยินเสียง จนสามารถติดต่อกับผู้อยู่ต่างภพได้ใช่ไหมครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ


“ถูกต้อง คุณเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างหรือไม่ว่า คนที่ใกล้จะตายนั้น บางคนทำไมจึงแสดงกิริยาอาการหวาดกลัวตาเหลือกลานโบกไม้โบกมือไล่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งคนธรรมดาที่อยู่รอบข้างเขามองไม่เห็น และบางครั้งก็ถึงกับร้องออกมาอย่างหวาดกลัวว่า “ข้ายังไม่ไป อย่ามาเอาตัวข้าไป อย่าเข้ามา”

ทำนองนั้น ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะความถี่ในการมองเห็นและการได้ยินของคนใกล้ตายนั้นใกล้เคียงกับความถี่ของคนตายไปแล้ว เขาจึงติดต่อและเห็นกันได้

ด้วยเหตุนี้ แม้นคนไม่ต้องฝึกจิตก็ย่อมได้เห็นผีแน่นอน แต่จะเป็นตอนใกล้ตาย ซึ่งก็ย่อมเป็นการสายเกินไป

ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่สามารถมองเห็นผี เห็นเทวดาหรือเห็นพรหม หรือเห็นพระนิพพานได้ ก็อย่าไปคิดว่าทุกคนก็คงจะไม่เห็นเหมือนตน เพราะว่าท่านที่ทรงฌานและได้ญาณที่เพียรพยายามฝึกจิตจนสามารถปรับความถี่ในการมองเห็น และการได้ยิน อีกทั้งยังสามารถติดต่อกับผู้อยู่ต่างภพได้ ในปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่มิใช่น้อยเลย”

หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้าฟังด้วยความสนใจ ก็พูดต่อว่า

“ถ้าคุณต้องการเห็นผี เห็นเปรต ก็ต้องเจริญกสินกองใดกองหนึ่ง แล้วฝึกทิพยจักษุญาณ จนมีระดับฌานเพียงแค่อุปจารฌาน หรือ ฌาน๑ ฌาน๒ ก็พอ คุณก็จะได้เห็นผี เห็นเปรตนะ แม้แต่เทวดาคุณก็พอจะเห็นได้แต่ไม่ชัด แต่ถ้าคุณอยากเห็นพรหมก็ต้องได้ฌาน๔ จะเห็นได้แต่ไม่ชัด

แต่ถ้าคุณอยากจะเห็นพรหมก็ต้องได้ฌาน๔ชำนาญ ทิพยจักษุจะแจ่มใสขึ้น สามารถเห็นพรหมได้แต่จะเห็นพระนิพพานไม่ได้ ถ้าอยากจะเห็นพระนิพพานก็ต้องเจริญวิปัสสนาญานให้ได้บรรลุโสดาบันเป็นอย่างต่ำ

เมื่อได้มรรคผลและเป็นพระอริยเจ้า โลกียฌานที่เคยได้ไว้ก็จะกลายเป็นโลกุตรฌานขึ้นมา เกิดวิมุตติญาณทัสนะขึ้น เท่านี้พระนิพพานก็จะปรากฏชัดแก่ญานจักษุเอง แต่พระโสดาบันนี้จะเพียงได้แต่เห็นเท่านั้นนะ ยังอาศัยพระนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้” หลวงพ่ออธิบาย

“วิมุตติญาณทัสนะ แปลว่าไรครับ หลวงพ่อ?”

“วิมุตติญาณทัสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมกับญาณเป็นเครื่องรู้ยังไงล่ะ”หลวงพ่อตอบยิ้มๆ

ท่านผู้อ่านที่รัก หลวงพ่อได้อธิบายไว้โดยละเอียดพอสมควรส่วนท่านจะเชื่อว่าผีมีจริงหรือไม่นั้น ก็ขอให้ท่านได้พิจารณาด้วยตัวท่านเองเถิด

คัดจากหนังสือ สู่แสงธรรม ของ ของ พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป



Create Date : 06 กรกฎาคม 2554
Last Update : 6 กรกฎาคม 2554 8:28:28 น. 3 comments
Counter : 641 Pageviews.

 


โดย: esyab วันที่: 6 กรกฎาคม 2554 เวลา:9:00:27 น.  

 
เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของหมอโจพอดีครับ
หมอโจกำลังศีกษาเรื่องพลังควอนตัมซึ่งเป็นพลังงานที่
อาจจะทำให้เราสื่อสารกับมิติอื่นๆที่ซ้อนทับกันอยู่ได้ครับ

ขอบคุณมากครับที่เขียนเรื่องนี้มาแบ่งปันกัน


จองคอร์สหมอโจ กับดนตรีบำบัดเพิ่มความเยาว์วัย


เครียด ไมเกรน นอนไม่หลับ กำจัดได้ด้วยดนตรีบำบัดขั้นสูงอ่านที่บล๊อกนี้นะครับ
ดนตรีบำบัดขั้นสูง


พวกเรามาดูแลสุขภาพหัวเข่า และป้องกันเข่าเสื่อมกันดีกว่า
ป้องกันเข่าเสื่อม

รับผู้โชคดีเพียง9ท่าน จับฉลากเดือนละครั้ง กดอ่านรายละเอียดได้เลยครับ
จัดฟันฟรี


โดย: หมอโจ (preutipong ) วันที่: 6 กรกฎาคม 2554 เวลา:11:57:34 น.  

 
ขอบคุณสำหรับบทความครับ


โดย: tothza_one วันที่: 6 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:52:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กระติ๊บน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 89 คน [?]




ศึกษาธรรมะ ชอบไพ่ยิปซี
แล้วก็เป็นคนที่มีชีวิตที่ธรรมดาๆ

.....................................................
สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๘
ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน
หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน Blog แห่งนี้
ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และโดยอ้างอิง
โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้ใดฝ่าฝืน จะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
New Comments
Friends' blogs
[Add กระติ๊บน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.