“ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว”

ติช นัท ฮันท์
369 .. อย่าจมอยู่กับอดีต










อ ย่ า จ ม อ ยู่ กั บ อ ดี ต








ความหนักอกหนักใจ เหนื่อยใจในชีวิตของเราทั่วๆไปอีกประการหนึ่ง ก็คือ การคิดในเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมา








ไม่ใช่ว่าจะห้ามเสียเลย หามิได้ ...คิดได้ แต่ว่าต้องคิดด้วยปัญญา รื้อมันด้วยปัญญา สร้างขึ้นด้วยปัญญาตลอดเวลา


อย่างนั้นสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ ไม่เป็นความเสียหายในการที่เราจะคิด








เพราะเอามาศึกษาค้นคว้าในเรื่องอย่างนั้นว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลงไปในสภาพอย่างไร


เราจะได้จดจำไว้เป็นบทเรียนสำหรับชีวิตของเราต่อไป คิดแบบวิเคราะห์วิจัยอย่างนี้ไม่เสียหาย








แต่ว่าโดยมาก หาได้คิดในรูปนั้นไม่ เอามาคิดในรูปที่มันจะสร้างปัญหา คือ ความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนทั้งนั้น


คือ คิดด้วยความโง่เขลา ไม่ได้คิดด้วยปัญญาในเรื่องอะไรต่างๆ








เรื่องบางเรื่องมันผ่านพ้นไปตั้งนานแล้ว แต่เราก็เอามาคิด


พอคิดแล้วก็เกิดความไม่สบายใจ เป็นทุกข์ขึ้นมา ก็เพราะเรื่องอย่างนั้น








บางคนถึงกับว่าน้ำตาไหล ถามว่าทำไมจึงน้ำตาไหล


แหมคิดถึงเรื่องเก่าแล้วฉันเศร้าใจเหลือเกิน...




ก็มันเรื่องอะไรที่ไปคิดให้เศร้าใจ


อยู่ดีๆไม่ว่า ไปหาเรื่องให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน




ที่คนโบราณเขาว่า ….เอามือไปซุกหีบ


มือมันอยู่ดีๆไม่ชอบ เอาเข้าไปซุกในหีบ แล้วก็ปิดฝาหีบลงไปโดนมือเจ็บปวดไปเปล่าๆ




นี่มันไม่ได้เรื่องอะไร ทำไมจึงชอบคิดในเรื่องอย่างนั้น


เรื่องเก่าๆที่ผ่านมาไม่ชอบปล่อยชอบวาง ไม่ชอบทิ้งเรื่องนั้นออกไปเสีย









ในหลักธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ท่านวางหลักในเรื่องนี้ไว้ว่า



อตีตํ นานวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ




อย่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว อย่าคิดถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง


สิ่งใดเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้เพ่งพิจารณาในเรื่องนั้น เพื่อให้รู้ชัดเห็นชัดตามสภาพที่มันเป็นอยู่





จริงๆ อันนี้เป็นหลักการอันหนึ่ง ซึ่งเราน่าจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา









เพราะว่าคนเราทั่วๆ ไปที่มีความทุกข์ระทมตรมใจอะไรต่างๆนั้น ส่วนมากก็เป็นเรื่องเก่าๆที่มันผ่านพ้นมาแล้ว


ของหายไปตั้งสองเดือนแล้ว ก็ยังเอามาคิดถึงอยู่ คือ บางทีก็พูดกับใครๆว่า แหมนึกถึงเรื่องนั้นทีไรแล้วแสนจะกลุ้มใจ


รู้ว่ากลุ้มใจ แต่ว่าทำไมไปคิดถึงเรื่องนั้น




นี่เขาเรียกว่าเผลอไป ประมาทไป ไม่ได้ระมัดระวังควบคุมความคิดของตัว


แล้วก็ไปคิดถึงเรื่อง ที่ทำให้เศร้าใจ ให้เสียใจเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วยประการต่างๆนั้น


ล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าๆ แก่ๆ ทั้งนั้น เอามานั่งคิด นั่งฝันไป ไม่ได้เรื่องอะไร


อย่างนั้นไม่ควรคิด เพราะมันผ่านพ้นไปแล้ว








เรื่องเวลานี้มันมีสามกาละคือว่า ปัจจุบัน อดีต อนาคต


สามกาลนี้มันนิดเดียวเท่านั้นเอง


ตัวปัจจุบันนี่ก็นิดเดียว แล้วมันก็กลายเป็นอดีตไป


แล้วอนาคตก็ย่างเข้ามา กลายเป็นตัวปัจจุบัน แล้วก็เป็นอดีตต่อไป









ถ้าหากว่าเราถือหลักว่า เวลานี้มันไม่คงที่ มันมาถึงเราแล้วก็ผ่านพ้นไปๆ


วินาทีนั้นผ่านพ้นไป วินาทีใหม่ผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านพ้นไป


คล้ายๆกับภาพยนตร์ เวลาเราดูหนัง ภาพต่างๆมันผ่านสายตาเราไปในรูปต่างๆกัน








นั่นคือความเปลี่ยนแปลงของภาพอยู่ตลอดเวลา ภาพมันถี่ยิบเพราะความหมุนของเครื่อง แล้วฟิล์มมันก็หมุนไป


เราก็เห็นว่าเป็นภาพวิ่ง แสดงอย่างนั้นแสดงอย่างนี้ ปรากฏแก่สายตาของเรา


ทำให้เราเห็นว่ามันเป็นจริงๆจังๆ เป็นเรื่องเป็นราว



บางทีดูด้วยความเพลิดเพลิน บางทีดูแล้วก็เศร้าโศกเสียใจ เวลาจบเรื่องลงไปก็พลอยเศร้าไปกับพระเอก หรือว่านางเอก


ที่ต้องพบชะตากรรมที่ไม่นึกฝันว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้








ที่จริงภาพเหล่านั้นมันเป็นมายาที่มาหลอกตาเราชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง


แต่ว่าภาพมันติดต่อกัน เลยเห็นเป็นเรื่องเดียวกันตลอดเวลา อย่างนี้มันก็ผ่านๆไปเท่านั้นเอง








อะไรๆมันก็ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ไม่ได้หยุดอยู่ แต่ว่าเรานั้นเป็นผู้ทำผิด


ทำผิดในเรื่องอย่างไร





ทำผิด คือไปเก็บเอาสิ่งนั้นไว้ มาใส่ในใจ ใส่ไว้ในห้วงนึกในความคิดของเรา


เก็บเรื่อยไปไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไร เรียกว่าเป็น…… คนชอบเก็บ ชอบสะสม









ลักษณะของจิตมันก็อย่างนั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน คือว่า ชอบสะสมอารมณ์ประเภทต่างๆที่ผ่านมา เข้ามา


แล้วมันก็เก็บไว้ แล้วเอามานั่งคิด นั่งนึกให้เกิดความทุกข์ความเศร้าใจ




ไม่มีเรื่องอะไรจะคิด ก็ไปเอาเรื่องที่มันเศร้าใจไม่สบายใจมาคิด


บางทีไปคิดในเวลาใกล้จะนอน เลยกระทบอารมณ์ นอนไม่หลับ


หรือบางทีไปคิด เวลารับประทานอาหาร เลยเกิดเบื่ออาหารขึ้นมา ไม่อยากจะรับประทานแล้ว ใจมันไม่สบาย








ใจมันไปคิดในเรื่องครั้งกระโน้น เก่าไม่รู้สักกี่สิบปีแล้ว ถ้าเป็นวัตถุก็เรียกว่าบูดแล้ว เน่าแล้ว เปื่อยแล้ว


เราอุตส่าห์เอามาสร้างเป็นโครงร่างขึ้นมาใหม่ ไปเก็บเอาขี้เถ้ามันมาเสกสรรปั้นแต่ง ให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา


แล้วนั่งดูด้วยความเศร้าโศกใจ นี่เรียกว่า ความเขลาหรือความฉลาด ขอให้เราคิดดูสักเล็กน้อย








สิ่งใดที่มันผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยไป ช่างมันเถอะผ่านพ้นไปแล้ว เราจะไปคิดถึงสิ่งนั้นทำไม ให้มันเป็นอดีตไป



อดีตมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว ปัจจุบันมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง









แต่ถ้ามาถึงเข้า เราก็พิจารณาต่อไปด้วยปัญญาว่า สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นแก่เรา


แต่ว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลง คอยดูว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อไป




ให้เราทำตนเป็นคนดูด้วยปัญญา อย่าดูด้วยความยึดมั่นถือมั่น อย่าดูด้วยความหลงผิดในเรื่องนั้นๆ


จิตใจเราก็จะสบายขึ้นไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ








นี้เป็นประการหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาคือความไม่สบายใจ หรือว่าความเหน็ดเหนื่อยใจที่เกิดขึ้น


ให้พอคลายไปได้.....จากการคิดนึกในรูปอย่างนี้










ขอขอบคุณ
ภาพ.......จากอินเตอร์เน็ท
เครื่องแต่งบล็อก ..... จากบล็อกชมพร / บล็อกญามี่
และบทความจาก....ส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ 10 ก.ค. พ.ศ.2520  
หนังสือพิมพ์ ธรรมลีลา ฉบับที่ 77 ...เม.ย. 50
โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์
คัดลอกจาก ลานธรรมจักร




ธรรมะสวัสดี



ร่มไม้เย็น ค่ะ




Create Date : 25 สิงหาคม 2556
Last Update : 25 สิงหาคม 2556 7:36:04 น. 0 comments
Counter : 3714 Pageviews.

ร่มไม้เย็น
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 127 คน [?]







เริ่มเขียน Blog เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2551


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยม เมื่อเวลา 18.15 น.



Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2556
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
25 สิงหาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ร่มไม้เย็น's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.