96 .. ใจสู้ แต่รู้จักนิ่ง
ใ จ สู้ แ ต่ รู้ จั ก นิ่ ง
เขียนโดย รินใจ
จาก คอลัมน์ริมธาร นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ 299 :: มกราคม 2553
หรือจาก เว็บ visalo.org
กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกเมื่อคุณป้าชาซาซุน (Cha Sa-Soon) สอบใบขับขี่ได้ เมื่อกุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว คุณป้าวัย 68 ชาวเกาหลีใต้ผู้นี้เคยเป็นข่าวมาครั้งหนึ่งแล้ว เนื่องจากเธอสอบใบขับขี่มาแล้วถึง 775 ครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นใครที่รู้ข่าวก็เอาใจช่วยเธอมาโดยตลอด ส่วนคุณป้าก็ไม่ท้อแท้ เธอไปสอบแทบทุกวัน จนกระทั่งสอบได้ในที่สุดเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นการสอบครั้งที่ 950 ของเธอ!
เรื่องแบบนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นที่เมืองไทย ไม่ใช่เพราะข้อสอบในบ้านเราง่ายกว่าที่เกาหลีใต้ แต่เป็นเพราะเรามีวิธีการที่ง่ายกว่านั้นในการได้ใบขับขี่ (เช่น ใช้เส้น หรือใช้เงิน) วิธีการอย่างนั้นคงใช้ไม่ได้ที่เกาหลีใต้ จะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ของเขาซื่อสัตย์กว่าที่เมืองไทย หรือเป็นเพราะระบบของเขาเข้มงวดกว่าที่บ้านเรา ก็ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ ๆ คือ คุณป้าผู้นี้เลือกที่จะเข้าสอบโดยใช้ความสามารถของเธอเอง
ที่จริงคุณป้าชา ผ่านแค่การสอบข้อเขียนเท่านั้น ยังต้องสอบขั้นปฏิบัติอีก แต่นั่นคงไม่ยากแล้วสำหรับเธอซึ่งเป็นแม่ค้าขายผัก
ในเกาหลีใต้ ผู้ที่สอบข้อเขียนผ่านต้องได้คะแนนตั้งแต่ 60 ขึ้นไป (คะแนนเต็ม 100) โดยมีข้อสอบปรนัย 50 ข้อ ความที่เป็นชาวบ้านธรรมดา การศึกษาน้อย คุณป้าจึงไม่เคยตอบถูกถึง 30 ข้อเลยจนกระทั่งครั้งล่าสุดนี้
คุณป้าเริ่มสอบใบขับขี่ตั้งแต่เดือนเมษายน 2548 หลังจากนั้นก็เข้าสอบแทบทุกวัน โดยไม่ย่อท้อเลย คุณป้าอยากได้ใบขับขี่มาก ๆ ก็เพื่อจะได้ขับรถไปขายผักตามที่ต่าง ๆ จะว่านี้เป็นความใฝ่ฝันของเธอก็ได้ เมื่อมีคนถามว่าทำไมเธอจึงสอบไม่หยุดทั้ง ๆ ที่สอบตกมาแล้วหลายร้อยครั้ง คุณป้าตอบว่า ฉันเชื่อว่าคุณสามารถไปถึงเป้าหมายได้ ถ้ามีความเพียรไม่หยุดหย่อน เธอยังกล่าวอีกว่า อย่าละทิ้งความฝันเหมือนฉัน เข้มแข็งเอาไว้และทำให้ดีที่สุด
คุณป้าชา เป็นตัวอย่างของคนที่เชื่อว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ถ้าหากว่าพยายามแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ นั่นแสดงว่ายังพยายามไม่พอ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีแต่การล้มเลิกเท่านั้นที่นำไปสู่ความล้มเหลว อย่างไรก็ตามไม่ง่ายเลยที่ใครสักคน จะยังมีความเพียรและความมุ่งมั่นหลังจากที่ล้มเหลวมานับร้อยครั้ง จะทำเช่นนั้นได้ ต้องมีทั้งความใฝ่ฝันและความรักในสิ่งที่ทำนั้น
เบื้องหลังความสำเร็จของผู้คนเป็นอันมาก มิใช่อัจฉริยภาพ แต่เป็นความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด เซซาน เป็นศิลปินชื่อก้องชาวฝรั่งเศส ซึ่งโลกรู้จักในฐานะผู้วางรากฐานให้แก่ศิลปะตะวันตกในศตวรรษที่ 20 และมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อปิกัสโซ แต่น้อยคนที่รู้ว่ากว่าเขาจะมาถึงจุดนั้นได้เขาต้องใช้ความอุตสาหะเพียงใด
เซซาน มุ่งมั่นเป็นศิลปินตั้งแต่อายุ 21 แต่กว่าเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นที่ยอมรับของโลกตะวันตกได้ เขาต้องใช้ความเพียรพยายามนานถึง 30 ปี
ระหว่างนั้นเขาต้องขับเคี่ยวตัวเองอย่างหนักเพื่อแสวงหาแนวทางของตัวเอง เมื่อเขาวาดภาพเหมือนให้กับนักวิจารณ์คนหนึ่ง เขาใช้เวลาถึง 3 เดือน โดยให้นายแบบมานั่งถึง 80 ครั้ง กระนั้นก็ยังไม่พอใจกับผลงาน (ซึ่งต่อมากลายเป็นงานชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของเขา) แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับการวาดภาพเหมือนให้กับตัวแทนขายภาพของเขา ทุกวันนายแบบต้องมานั่งตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนถึง 11 โมงครึ่งโดยไม่มีหยุดพัก เขาใช้เวลาวาดถึง 150 วัน วาดแล้ววาดอีก นับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็เลิกเพราะผลงานยังไม่ถูกใจ
เป็นเวลานานร่วม 2 ทศวรรษที่ผลงานของเขาถูกปฏิเสธจากวงการ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่เขายังไม่พอใจผลงานของตน เขาใช้ความอุตสาหะอยู่นานจนพบแนวทางของตน ถึงตอนนั้นก็ไม่สำคัญแล้วว่า ผู้คนจะให้การยอมรับผลงานของเขาหรือไม่
แน่นอนคงมีสักครั้งที่เขารู้สึกท้อแท้สับสน แต่ความรักในศิลปะทำให้เขายังบากบั่นพากเพียรต่อไป ยิ่งได้รับความสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากเพื่อน ๆ ก็ยิ่งทำให้มีกำลังสร้างสรรค์ผลงานต่อไป
ความเพียรเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความเพียรเป็นแค่เครื่องมือหรืออุปกรณ์เท่านั้น แท้ที่จริงความเพียรยังเป็นเป้าหมายหรือคุณค่าในตัวเอง โดยเฉพาะความเพียรในสิ่งที่ถูกต้อง
ยิ่งถ้ามั่นใจว่า ความเพียรนั้นสอดคล้องหรือตรงกับเป้าหมายที่พึงประสงค์ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเป้าหมายอีกต่อไป เพียงแค่จดจ่อใส่ใจหรือทุ่มเทให้กับความเพียรนั้นก็พอแล้ว สำเร็จหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
พระมหาชนก เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ตอนที่ท่านลอยคออยู่กลางมหาสมุทรเนื่องจากเรือล่ม แม้จะมองไม่เห็นฝั่งแต่ท่านก็ว่ายน้ำไม่หยุด ผ่านไป 7 วัน 7 คืนก็ยังว่ายอยู่ จนนางมณีเมขลา ซึ่งเฝ้าท้องทะเลมาเห็น จึงลงมาถามว่า ทำไมในเมื่อไม่เห็นฝั่ง ท่านจึงยังอุตสาหะว่ายกลางมหาสมุทร ไม่มีประโยชน์อันใดเลย
พระมหาชนก ตอบว่า ข้าพเจ้าเห็นประโยชน์ของความเพียร แม้ไม่เห็นฝั่งก็พยายามว่ายต่อไป นางมณีเมขลา จึงแย้งว่า ฝั่งอยู่ไกลเหลือประมาณ ความพยายามที่เปล่าประโยชน์ย่อมนำความตายมาถึงท่านก่อนถึงฝั่ง
มาถึงตรงนี้พระมหาชนกจึงตอบว่า บุคคลเมื่อทำความเพียร เมื่อจะตายก็ได้ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ ไม่ถูกญาติ เทวดา มารดาและบิดาติเตียน....บุคคลเมื่อเห็นความประสงค์ของตนและทำการทั้งหลายด้วยความเพียร แม้กิจนั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตามที ผลแห่งการงานนั้นย่อมประจักษ์แก่ตน
นางมณีเมขลา จำนนต่อเหตุผลของพระมหาชนก อดไม่ได้ที่จะสรรเสริญท่าน จากนั้นก็ประคองท่านพาไปส่งถึงฝั่ง
หากมั่นใจว่าทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ก็ควรเพียรไม่หยุด อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องหาเรื่องทำไม่หยุด อยู่เฉยไม่ได้
ความเพียรที่ถูกต้องนั้นต้องประกอบด้วยปัญญา คือการเห็นประโยชน์ของสิ่งที่ทำ และรู้ว่าการกระทำนั้นพาไปสู่เป้าหมายได้ แต่ปัญญายังหมายถึง การรู้จักหยุด เมื่อมาถึงจุดที่ทำอะไรไม่ได้ รวมทั้งตระหนักว่าในบางสถานการณ์ การ ทำ อาจก่อผลเสียมากกว่าการ ไม่ทำ ในสถานการณ์เช่นนั้น การอยู่นิ่งเฉย จึงเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า
หญิงผู้หนึ่งเล่าว่า ขณะที่เธอกำลังว่ายน้ำที่เกาะสมุย จู่ ๆ ก็ถูกกระแสน้ำพัดออกห่างจากฝั่ง เธอจึงว่ายน้ำเข้าฝั่ง แต่ยิ่งว่ายก็ยิ่งถูกกระแสน้ำพัดไกลออกไปเรื่อย ๆ ด้วยความตกใจเธอจึงรวบรวมกำลังว่ายเข้าฝั่ง แต่ยิ่งว่ายก็ยิ่งเหนื่อย จนไม่มีแรงต้านกระแสน้ำ เพื่อนที่เห็นเหตุการณ์พยายามว่ายมาช่วยเธอ แต่พอเจอกระแสน้ำ รู้ว่าสู้ไม่ได้ จึงว่ายเข้าฝั่ง ตอนนั้นเธอรู้ว่าคงไม่รอดแล้ว ชั่วขณะนั้นเองเธอได้สติขึ้นมา จึงควบคุมจิตใจให้หายตื่นตระหนก แทนที่จะว่ายต่อ เธอตัดสินใจลอยคออยู่นิ่ง ๆ พร้อมรับความตายที่กำลังใกล้เข้ามา
หลังจากลอยคออยู่พักใหญ่ เธอสังเกตว่าคลื่นค่อย ๆ ซัดเธอเข้าฝั่ง เธอไม่รู้ว่าหลุดจากกระแสน้ำเมื่อไร แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ เธอรู้ว่าตัดสินใจถูกที่อยู่นิ่ง ๆ เพราะหากยังขืนว่ายต่อไป นอกจากจะไม่ช่วยเธอแล้ว ยังทำให้เธอหมดแรงเร็วขึ้นจนอาจจมน้ำตายได้
เธอยังเล่าอีกว่า ตอนที่ลอยคอนิ่ง ๆ พร้อมรับความตาย เธอรู้สึกสงบมาก ไม่มีความตื่นตระหนกหรืออาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเธอไม่ยอมรับความตาย ใจคงกระสับกระส่าย ทุรนทุราย ส่วนมือไม้ก็คงไม่อยู่เฉย ต้องดิ้นรนทำอะไรสักอย่าง ซึ่งก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
ความนิ่งเฉยหรือไม่ทำอะไรเลย ในบางสถานการณ์ก็มีประโยชน์กว่าการดิ้นรนขวนขวาย หากเป็นการนิ่งด้วยสติและปัญญา มิใช่เพราะท้อแท้ เกียจคร้าน หรือเพราะตื่นตระหนก ใช่หรือไม่ว่าบางครั้งเราอดไม่ได้ที่ต้องทำอะไรสักอย่างเพราะตกใจ ตื่นกลัว หรือขาดสติ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี
การอยู่นิ่งเฉย บางครั้งจึงยากกว่า การไม่ยอมอยู่นิ่ง ยิ่งในยามที่ต้องเผชิญเหตุร้าย การอยู่นิ่งเฉย อาจทำให้พ้นอันตรายได้ การรู้ว่าเมื่อไรควรอยู่นิ่งเฉย จึงเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของชีวิต
ในหนังสือเรื่อง ชวนม่วนชื่น พระอาจารย์พรหมเล่าถึงนายทหารชาวอังกฤษผู้หนึ่งซึ่งนำกองร้อยออกลาดตระเวนในป่าพม่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่กำลังหยุดพัก มีทหารมารายงานว่าพบกองทหารญี่ปุ่นหลายกองร้อยอยู่ในบริเวณนั้นและกำลังโอบล้อมอยู่ หลายคนคาดว่านายทหารผู้นั้นจะต้องออกคำสั่งให้ต่อสู้เพื่อตีฝ่าวงล้อมออกไป อย่างน้อยก็คงมีใครบางคนรอดตาย หรือถึงตายกันหมด ก็ยังได้ปลิดชีวิตข้าศึกให้ตายตามกันไปด้วย
ตรงกันข้าม นายทหารกลับสั่งให้ลูกน้องอยู่เฉย ๆ นั่งลง แล้วชงชาดื่ม ทหารเกือบทั้งหมดประหลาดใจในคำสั่ง แต่ก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา หลายคนดื่มไปกระสับกระส่ายไป แต่ก่อนที่จะดื่มชาเสร็จ หน่วยลาดตระเวนก็มารายงานว่า ข้าศึกได้เดินผ่านไปแล้ว ได้ฟังเช่นนั้นนายทหารก็สั่งให้ทุกคนรีบเก็บสัมภาระอย่างเงียบ ๆ แล้วเคลื่อนย้ายโดยเร็ว
นายทหารรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนั้น ไม่มีอะไรดีกว่าการอยู่นิ่งและพร้อมรับมือกับเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น ในระหว่างที่รออีกฝ่ายเข้ามาปะทะ ไม่มีอะไรดีกว่าการดื่มชาให้สบายอารมณ์ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการจมอยู่ในความตื่นตระหนกหรือหวาดกลัว
ความพากเพียรไม่ยอมวางมือ แม้ประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า กับการอยู่นิ่งเฉย แม้มีอันตรายมาประชิดตัว หาใช่ขั้วตรงข้ามกันไม่ หากเป็นสิ่งที่หนุนเสริมกัน และต่างต้องอาศัยสติและปัญญาเป็นพื้นฐาน
พากเพียรแต่ขาดปัญญา ย่อมทำให้หลงทางและห่างไกลจากเป้าหมายที่ต้องการ การมีสติ ทำให้ไม่พะวงกับเป้าหมาย สามารถทุ่มเทจิตใจให้กับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่
ในทำนองเดียวกัน ปัญญา ก็ทำให้รู้ว่า เมื่อไรจึงควรนิ่งเฉย ส่วนสติ ก็ทำให้ใจสงบนิ่งไม่หวั่นไหวต่ออันตรายที่ใกล้เข้ามา ชีวิตไม่อาจเจริญงอกงามได้หากขาดอันใดอันหนึ่ง จะว่าไปแล้วหากทำเต็มที่ พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ขณะที่รอผลปรากฏออกมา ไม่มีอะไรดีกว่าการสงบนิ่ง
เพราะใจที่ปลอดโปร่ง ไร้กังวล ย่อมดีกว่าใจที่กระสับกระส่าย ในเมื่อวิตกกังวลไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่ทุกข์เปล่า ๆ แล้วจะกังวลไปทำไม
ใช่หรือไม่ว่า ถ้าปัญหาแก้ได้ จะวิตกกังวลไปทำไม ในยามนั้นสิ่งที่ควรทำคือ ลงมือแก้ไขอย่างเต็มที่ พากเพียรไม่หยุดหย่อนจนกว่าจะแก้ได้ในที่สุด
แต่ถ้าปัญหานั้นแก้ไม่ได้ มีประโยชน์อะไรที่จะวิตกกังวล ไม่ดีกว่าหรือ หากจะทำใจสงบนิ่งและยอมรับความจริง
เคล็ดลับแห่งการสร้างดุลยภาพระหว่างความเพียรกับการอยู่นิ่ง มีอยู่แล้วในภาษิตธิเบตดังกล่าว.
ธรรมสวัสดี
ร่มไม้เย็น ค่ะ
Create Date : 16 เมษายน 2553 |
Last Update : 28 มีนาคม 2558 21:49:06 น. |
|
100 comments
|
Counter : 3869 Pageviews. |
|
|