....OUR FAMILY'S JOURNEY....
++ ยุ ง เ ฟ ร า....หนาวจนสะท้าน ++







อ่านเรื่อง: ต้นฤดูร้อนที่ เยอรมัน...ออสเตรีย...สวิส ในบล๊อก
อ่านเรื่อง: อินเทอลาเค่น..เย็นจริงๆ





วันนี้ วันที่ 16 ตุลาคม 2555 เราตื่นเช้าเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นชมยอดเขายุงเฟราหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆหัวหน้าทัวร์คนสวยของเรานัดให้ทุกคนทานอาหารให้เรียบร้อยพร้อมออกเดินทางกันให้ทันรถไฟที่จะขึ้นสู่ยอดเขาตามตั๋วที่จองเอาไว้คือ 9.30 น. เพราะจากที่พักเราจะต้องเดินทางไปอีกพอสมควร






หน้าที่พักริมทะเลสาบ Brienze





เราลงมาที่ห้องอาหารน่าจะก่อนคนอื่นนะวันนั้น เช้าจนพนักงานยังไม่มาเปิดครัวเลย ไฟที่ล็อบบี้ก็ยังปิดอยู่ด้วยซ้ำ หลังจากทานมื้อเช้าแบบสวิสเสร็จ (ซึ่งก็แปลกที่เขาให้เราเดินเข้าไปในครัวได้ด้วย เพราะอาหารบางอย่างจะวางอยู่ในบริเวณนั้น) เราก็ออกไปเดินท้าลมหนาวที่แถวทะเลสาบ ถ่ายภาพและชมความงามของธรรมชาติรอบๆที่พัก ซึ่งขนาบสองข้างไปด้วยภูเขาที่มียอดสีขาวของหิมะปกคลุมอยู่ ล่างลงมาหน่อยจะเป็นต้นไม้ที่ใบกำลังเปลี่ยนสี และต่ำลงไปคือทะเลสาบบรีเอนซ์ (Brienze) นิ่งสงบบอยู่หน้าที่พัก โดยมีเจ้าเป็ดน้อยฝูงหนึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่ริมฝั่งของทะเลสาบ กลายเป็นของแปลกให้คณะเราถ่ายภาพกัน








บรรยากาศรอบๆที่พัก




รสชาดของอาหารในสวิสผมว่าดีกว่าที่อิตาลี หรือเยอรมัน เพราะไม่เค็มมาก หรือเป็นเพราะเราไม่ชอบเค็มก็ไม่รู้ เช้านั้นเลยทานไดดีเป็นพิเศษ... ถ่ายภาพข้างนอกได้ไม่นานก็ต้องกลับเข้ามาหลบหนาวที่โรงแรมอีก อื้อ..เช้านี้หนาวได้ใจจริงๆ แม้จะเตรียมป้องกันไว้อย่างดี แต่หนาวมีลมนี่มันเย็นสุดๆจริงๆครับ







บ้านเรือนที่ปลูกตามไหล่เขา





รถออกเดินทางจากที่พัก ผ่านบ้านเรือของชาวสวิสในที่ราบแล้วก็ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งวันนี้เราจะไปขึ้นรถไฟที่ "กลินเดลวาลด์" (Grindelwald) กัน ปกติถ้านักท่องเที่ยวที่มาเองและมีตั๋วรถไฟแบบที่เรียกว่า Swiss pass เขาก็จะต่อรถไฟจากในเมืองมาทีได้แค่หมู่บ้านแห่งนี้เท่านนั้น จากนั้นต้องต่อรถขึ้นเขาไปแบบเรา เพื่อไปที่ไคลเนไชเด็ก (Kleine Scheidegg) ไกด์เราเธอพูดติดตลกชื่อสถานีว่าว่า ใครนะใช้เด็ก...ประมาณนั้น







ตามเส้นทางที่ไป Grindelwald





ตามเส้นทางที่เราไปมีธารน้ำไหลอยู่ด้านล่าง ผ่านชนบทของสวิสที่เขาชอบเลี้ยงวัวจนเกิดการทำช๊อคโกแลตที่ขึ้นชื่อ (นอกจากเบลเยี่ยม แล้วชอคโกแลตที่นี่ถือดีที่สุด) อีกอย่างที่ได้จากการเลี้ยงวัว คือผลิตภัณฑ์จากหนังที่มีชื่อว่า Bally เช่นกระเป๋าสะพายใบเล็กของผู้ชายที่สายแดง-ขาวนั่นไงครับ







ใกล้ๆกับ Grindelwald จุดที่เราจะขึ้รนรถไฟ








แผนที่และการเดินทางขึ้นสู่ Jungfrau (จากเวบ)





เส้นทางที่นักท่องเที่ยวจะขึ้นสู่ยอดเขายุงเฟรา ถ้าออกมาจากเมือง (ดูแผนที่ตามไปด้วยนะครับ) ก็จะไปได้สองทาง คือ 1. Grindelwald - Kleine Scheidegg - Jungfraujoch หรือตามเส้นสีแดงในแผนที่ทางซ้ายมือ และอีกเส้นทางหนึ่ง (ทางขวามือ) คือ 2. Lauterbrunnen - Kleine Scheidegg - Jungfraujoch โดยที่ทั้งสองเส้นทางนี้จะใช้เวลาใกล้เคียงกัน คือประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งครับ โดยที่ทั้งสองเส้นทางนี้จะต้องไปต่อรถไฟสายใหม่ที่สถานี Kleine Scheidegg ทั้งขาขึ้นและขาลงเช่นกัน วันนี้เราเลือกขึ้นเส้นทางที่ 1 และลงตาเส้นทางที่ 2











บน : ลำธารที่ไหลผ่านใกล้ๆสถานี ล่าง : ถ่ายภาพบนสะพานขณะที่อากาศแสนหนาว





เราไปถึง Grindelwald (กรินเดลวาลด์) ก่อนเวลาที่รถจะมา โดยที่เราสังเกตุอุณหภูมบนรถก่อนที่จะถึงสถานี ได้ลดลงเรื่อยๆเหลือประมาณ 0 องศา C หรือต่ำกว่านั้นเป็นบางช่วง ที่นี่จะตั้งอยู่บนระดับความสูงประมาณ 1,034 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง โดยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 171.08 ตารางกิโลเมตร แยกเป็นพื้นที่สำหรับบ้านเรือนและถนนประมาณ 3.06 ตร.กม. ที่เหลือเป็นพื้นที่สำหรับการเกษตร ป่าไม้ แม่น้ำและทะเลสาบ กรินเดลวาลด์มีประชากรเพียง 3,796 คน สถิติเมือเดือนธันวาคม 2011 (ที่มา : //en.wikipedia.org/wiki/Grindelwald)







ถ่ายภาพร่วมกับสาวน้อย 3 และ 7 ขวบ





พอเข้าถึงสถานีรถเจอหิมะขาวโพลนทั่วเมือง มีเวลาได้ไปถ่ายภาพบนสะพานเหนือธารน้ำที่ไหลลงมาจากเขาบ้าง.. พอรถไฟเขียว-เหลืองเรืองรอง คลานเข้ามาจอดที่สถานี เราชาวยูโรเปี้ยนทัวร์กรุ๊ปได้ 2 โบกี้เลย โดยภายในรถมีที่นั่งสบายๆพร้อมฮีตเตอร์ที่ปล่อยความร้อนออกมาจากผนังด้านข้างของรถ ทำให้เรารู้สึกสบายจนบางครั้งเหมือนจะร้อนเอาด้วย







มาแล้วรถไฟสาย Wengernabahn (สายเขียวเหลือง)





รถไฟสีเขียว-เหลืองที่ว่านี้มีชื่อว่า Wengernabahn ซึ่งก่อสร้างเชื่อมเมือง Grindelwald และสถานี Lauterbrunnen (เลาเธอร์บรุนเนน) ระยะทางประมาณ 19 กิโลเมตร โดยรางรถไฟมีขนาดความกว้าง 80 ซม. มีแร๊ค (Rack) อยู่ตรงกลาง นับว่าเป็นทางรถไฟที่ใช้ Rack and Pinion ยาวที่สุดในโลก






รางรถไฟขึ้นเขาจะเป็นแบบนี้ (มีฟันเฟืองอยู่ตรงกลางราง)






ที่สถานีรถไฟกรินเดลวาลด์




รถไฟค่อยๆไต่ภูเขาขึ้นไปเรื่อยๆ ทิ้งให้กรินเดลวาลด์อยู่เบื้องล่าง เมื่อมองกลับลงไป บ้านเรือนผู้คนดูเหมือนเป็นบ้านตุ๊กตาไปเลย... ตามเส้นทางมีกระท่อมสร้างอยู่เป็นระยะๆ แต่ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ ตามความสูงที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุดเราก็มาถึงสถานี Kleine Scheidegg (ไคลเน่ไชเด็ก) ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,061 เมตร หรือ 6,762 ฟุต เราก็ต้องลงเปลี่ยนรถที่นี่






รถไฟค่อยๆไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ







ในโบกี้รถไฟปรับอากาศ (ให้อุ่น)







น้องบุ๋ม ไกด์สาวสวยน่ารักของเรา





Kleine Scheidegg ที่มีความหมายในภาอังกฤษว่า "Watershed" หรือ "สันปันน้ำ" ในภาษาไทยเรา ซึ่ง ณ จุดนี้เป็นที่รวมของ 2 สาขาของแม่น้ำ Luschinen เป็นที่นิยมมาตั้งแค้มป์ของนักท่องเที่ยวในหน้าร้อน และเล่นสกีในหน้าหนาวกัน .... จากตรงนี้เราต่อรถไฟสาย "Jungfruaubahn" เพื่อขึ้นสู่สถานี Jungfraujoch ครับ












ถึงสถานีไคลเน่ไชเด็ก..ที่เราจะต้องเปลี่ยนเป็นรถไฟสีแดง (Jungfraubahn)







รถไฟสาย Jungfraubahn พาเราฝ่าทะเลหิมะสู่ยอดเขาแบบนี้





รถไฟสีแดงสดใส พาเราวิ่งผ่านทุ่งหิมะสีขาวโพลนขึ้นสู่ยุงเฟรา โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาที ระยะทางประมาณ 9 กม.เศษๆ ซึ่งตามเส้นทางเกือบทั้งหมดรถจะวิ่งเข้าอุโมงค์ โดยมีกำหนดจะจอดพักเพื่อให้เราได้ปรับตัว 2 สถานีด้วยกัน คือที่หน้าผาไอเกอร์ (Eigerwand) และไอส์เมียร์ (Eismeer) เพื่อให้เราได้ลงไปถ่ายรูปทิวทัศน์ของหุบเขากรินเดลวาลด์-ไคลเน่ไชเด็ก และธารน้ำแข็ง Aletsch Glacier (ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์) ผ่านหน้าผาที่เจาะเป็นช่องหน้าต่างเอาไว้ ซึ่งแต่ละจุดจะมีห้องน้ำให้เข้าด้วย






ที่สถานีชมวิว: มองผ่านหน้าต่างกระจก สู่หุบเขา





อีกสถานีที่รถจอดให้เราชมธารน้ำแข็งและปรับตัว






กลับขึ้นรถแบบหมดสภาพ เพราะอากาศเริ่มเบาบาง




การที่เราจะขึ้นที่สูงนั้น เราต้องค่อยๆทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยๆ ฉะนั้นรถไฟสาย Jungfraubahn นี้จึงมีที่ให้เราลงไปพักถึง 2 สถานีๆละประมาณ 5 นาที โดยที่นี่มีหน้าต่างให้เราชมวิว ภายในอุปโมงค์นั้นปรับอากาศไว้อย่างดี ไม่ให้เราหนาวมาก (สังเกตุด้านนอกหน้าต่าง น้ำจะกลายเป็นแท่งน้ำแข็ง)


บนรถไฟจะมีเจ้าหน้าที่มาคอยตรวจตั๋วเหมือนบ้านเราครับ เจอคุณลุงคนนี้ (ภาพซ้าย) ทักพวกเราเป็นภาษาไทยได้ และสามารถโต้ตอบกันได้หลายคำด้วย แถมตอนรถจอดหลายคนทั้งคณะเราและคณะอื่นจึงขอถ่ายภาพกับลุงแกด้วย...บางคนเรียกชื่อแกว่า "ลุงใจดี" ถ้าเจอแกที่นั่นลองทักดูนะครับ





สถานียุงเฟรา (Jungfraujoch) ซึ่งมีความหมายว่า "สาวน้อย" ที่เราจะไปนั้น ตั้งอยู่ภายในอุโมงค์ อยู่ระหว่างยอดเขายุงเฟราและยอดเขาเมินช์ (Monch) ในจุดที่ต่ำสุด (ดูจากภาพแผนผังประกอบครับ) อยูใน Burness Alps ในพรมแดนระหว่างรัฐ Burn และ Valias ที่ระดับความสูง 3,454 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง

ทางรถไฟสายนี้มีความคิดริเริ่มที่จะสร้างโดย Adolf Guyer-Zeller ในปี 1893 โดยมีจุดสิ้นสุดของเส้นทางทางที่ Sphinx ในปัจจุบัน แต่เมื่อสร้างเสร็จจริงๆกลับมาได้ตรง Jungfraujoch แห่งนี้... หลังจากฝ่าฟันจนผ่านอุปสรรค์ต่างๆรวมทั้งการต่อต้านจากผู้คน ก็มาเริ่มก่อสร้างได้ในวันที่ 27 กรกฎาคม ปี 1896 และใช้เวลาก่อสร้างอยู่นานถึง 16 ปี สาเหตุที่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้น ก็เพราะว่า ขาดเงิน สภาพอากาศ และปัญหาอุบัติเหตุจากการระเบิดหิน. (อ่านเพิ่มเติม)






อุโมงค์ที่เดินออกไปชมวิว




ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงที่ระดับ 3,454 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง รถไฟขบวนสีแดงสดใสพาเรามาส่งถึงที่แล้วที่สถานี Jungfraujoch ซึ่งถือเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป ตามความหมายที่เขาโฆษาณาว่า "Jungfraujoch Top of Europe" ก็หมายถึงสถานีรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในยุโรปแห่งนี้แหละครับ ไม่ได้หมายถึงสถานที่หรือยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปแต่อย่างใด จากสถานีตรงนั้น เขาทำอุโมงค์เชื่อมต่อกับสถานที่ต่างๆ มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก วังน้ำแข็ง ลิฟท์ขึ้นชมวิว.






ร้านอาหารที่อยู่ริมหน้าผา







ไปถึงทานมื้อกลางวัน..ประมาณว่าอาหารจีน (แต่เขาเรียกอาหารเอเชี่ยน)



จขบ. ชอบรายการปิดท้าย..อันนี้








ด้านนอกหน้าต่างร้านอาหาร..เย็นจนน้ำที่หยดลงมากลายเป็นแท่งน้ำแข็ง







แผนผังภายในอุปโมงค์ที่ยุงเฟรา




ออกจากร้านอาหาร เราไปชมวังน้ำแข็งหรือถ้ำน้ำแข็งกัน ซึ่งในถ้ำมีทางเดินวนและกลับมาเจอกันได้ (ที่แผนผังจะอยู่ซ้ายสุด) โดยแต่ละแห่งที่เราผ่านเข้าไปจะมีการสลักน้ำแข็งสวยงาม รวมถึงจัดที่สำหรับถ่ายภาพให้เราด้วย ตามทางเดินจะมีราวแสตนเลสสตีลให้จับไปตลอดแนว








ชมวังน้ำแข็ง (Ice Palace)




Ice Palace หรือ วังน้ำแข็ง เป็นสถานที่จัดแสดงประติมากรรมแกะสลักน้ำแข็งหลากหลายรูปแบบให้ชมในถ้ำน้ำแข็งที่เจาะลึกลงไปในธารน้ำแข็งกว่า 30 เมตร มีการคำนวณกันว่าในแต่ละปีวังน้ำแข็งแห่งนี้จะทรุดตัวลงราวปีละ 50 ซม. ตามการยุบตัวหรือละลายไปตามสภาวะโลกร้อน






กรอบรูปน้ำแข็ง




จบจากการชมวังน้ำแข็ง เราก็เดินขึ้นไปสู่จุดชมวิวยอดฮิต Plateau ที่เมื่อคุณๆมาถึงที่นี่ อยากจะสัมผัสหิมะ ก็ต้องออกไปที่ลานหิมะแห่งนี้แหละ... แต่วันนี้ลมแรงมาก พัดเอาเกล็ดหิมะมาถูกหน้าเจ็บไปหมด จนเราไม่สามารถเดินไปไกลๆได้









ขึ้นมาสู่ Plateau...จุดชมวิวบนลานหิมะ









ตอนออกไปฝ่าพายุหิมะถ่ายภาพด้านนอกนั้นน่าหวาดเสียวพอควร ทั้งอากาศที่หนาวเหน็บ ลมที่พัดแรง มีฝอยหิมะมาปะทะใบหน้า (ส่วนที่เราปิดไม่มิด) รู้สึกเจ็บไปหมด ประกอบกับบนพื้นทางเดินที่กลายเป็นน้ำแข็งแล้ว ทำให้เวลาเดินลื่นครับ หลายๆคนหกล้ม.... อย่าลืมเตรียมรองเท้าที่เหมาะสมกับการเดินบนพื้นแบบนั้นมาด้วยนะครับ.









ออกไปลุยกัน ทั้งๆที่อากาศเลวร้าย (มีลมแรงมาก)





ขณะที่เราถ่ายภาพอยู่ เจอหนุ่มสาวชาวตะวันตกคู่หนึ่ง กำลังถ่ายภาพกันด้วย Iphone พอเห็นผมถือกล้องตัวเขื่องนี้อยู่ เธอเลยเข้าใจเอาเองว่าผมคงจะเป็นช่างภาพ เลยมาขอให้เราถ่ายภาพที่เธอสวีทกับเพื่อนชายให้ การถ่ายภาพนั้นไม่มีปัญหาหรอกนะครับ ผมก็พอรู้วิธีถ่ายจากเจ้าไอโฟนนี้อยู่ แต่การที่ต้องถอดถุงมือแล้วถ่ายให้นี่สิ มันหนาวเหน็บเจ็บหัวใจจริงๆ...เวลาคุณถือกล้องตัวใหญ่ๆดีๆไปเที่ยว คุณก็จะโดนขอให้ช่วยถ่ายภาพให้เสมอแหละครับ...อันนี้เรื่องประจำและธรรมดา







ด้านหน้าคือธารน้ำแข็งที่ไม่เคยละลาย








ลอดอุโมงค์ไปขึ้นลิฟท์สู่จุดชมวิว Sphinx.







ถึงแล้ว Sphinx ถ่ายภาพกับป้ายซะหน่อย





Sphinx Observation Terrace หรือจะเรียกว่า หอสังเกตุการณ์สฟิ๊งซ์ก็ไม่ผิดกติกานะครับ ที่เขาตั้งชื่อแบบนี้คงมาจากรูปร่างของหอสังเกตุการณ์ที่แลดูคล้ายๆรูปปั้นสฟิงซ์เฝ้าปิรามิดในอียิปต์ตั้งอยู่บนโขดหินสูงนั้นกระมัง







Sphinx Observation Terrace (ภาพจากเวบ)




เวลาเราขึ้นลิฟท์ไปข้างบน คุณก็จะได้ลงและออกไปเดินโต้ลมหนาวและพายุหิมะในบางครั้งที่ลานด้านซ้ายมือในภาพนั่นแหละครับ ส่วนแบคกราวนด์ของภาพด้านบนเป็นธารน้ำแข็งอเลทช์ (Aletsch Glacier)....วันที่เราไปก้เจอลมแรงหรือจะเรียกว่าพายุยังได้ ณ ที่ตรงนั้น ภาพที่ได้มาเลยออกมาสลัวๆแบบนั้น







เดินชมวิวรอบๆ





ที่นี่เป็นสถานีทดลองโครงการวิจัยทางวิทยาสาสตร์หลายด้าน รวมทั้งด้านดาราศาสตร์ ธรณีวิทยาติดตามการเปลี่ยนแปลงของเทือกเขาแอลป์ในด้านต่างๆ แต่เขาก็เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้าได้แบบรอบทิศทาง บนความสูง 3,571 เมตร ตรงนี้เราสามารถมองเห็นเทือกเขา ธารน้ำแข็ง ตลอดจน Plateau ที่อยู่ต่ำลงไปด้วย







ด้านล่างนั้นคือ Plateau ที่เราออกไปโต้ลม






ธารน้ำแข็ง Aletsch Glacier มองจาก Sphinx





ธารน้ำแข็งอเลทช์ (Aletsch Glacier) เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ มีความยาวประมาณ 23 กิโลเมตร มีความลึกประมาณเกือบ 1 กิโลเมตร (3,300 ฟุต) ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 120 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางตะวันออกของ Berness Alps ในสวิส ธารน้ำแข็งนี้ประกอบไปด้วยธารน้ำแข็งที่มีขนาดเล็กกว่านี้อีก 3 ธาร ซึ่งไหลลงไปสู่หุบเขา Rhone ก่อนที่จะก่อให้เกิดเป็นแม่น้ำ Massa. (อ่านเพิ่มเติม)









ระเบียงชมวิวบนสฟิ้งซ์ (Sphinx observation terrace)









ถ่ายภาพไว้หน่อย







เที่ยวจนเหนื่อย...แล้วมาขึ้นรถไฟกลับ







หิมะและหุบเขา...ช่วงที่รถไฟผ่าน







นักท่องเที่ยวเดินเที่ยวบนเขา







มาเปลี่ยนรถไฟที่ Kleine Scheidegg..เพื่อลงไปที่ Lauterbrunnen (คนละทางกับตอนมา)







โรงแรมระหว่างทาง







ทิวทัศน์ระหว่างทางลง




หมู่บ้านเลาเธอร์บรุนเนน (Lauterbrunnen) เป็นหมูบ้านในหุบเขา โดยมีสายน้ำตกสูงใหญ่ชื่อ ชเตาบ์บาค (Staubbach Falls) เป็นสายน้ำที่ตกจากยอดเขา สูง 200 เมตร เมื่อมองจากสถานีรถไฟก็พอมองเห็น ตอนนั่งรถไฟลงมามองเห็นได้ชัดเจน






สถานีรถไฟเลาเธอร์บรุนเนน (Lauterbrunnen)






จากลานจอดรถสถานีเลาเธอร์บรุนเนน




ตอนรอขึ้นรถที่ลานจอดรถบัส เรามองออกไปรอบๆบริเวณเห็นใบไม้กำลังเปลี่ยนจากสีเขียวไปสู่เหลือง และแดงในบางต้น ทิวทัศน์ในหุบเขายามนั้นจึงสวยงามเป็นอย่างยิ่ง

รถเราพาเราออกจากสถานีรถไฟเลาเธอร์บรุนเนน วิ่งวนลงจากเขาสู่เบื้องล่าง เพื่อนำเราไปช้อปปิ้งต่อที่ในเมืองอินเทอร์ลาเค่น ก่อนที่จะไปทานมื้อเย็น และชมการแสดงพื้นเมืองของชาวสวิสที่ร้าน Spycher Restaurant บริเวณ Casino Kursaal

บล๊อกนี้ใส่ภาพไปมากมาย จึงขอจบตอนไว้เพืียงแค่นนี้ก่อน บล๊อกหน้าเราจะเดินเที่ยวอินเทอร์ลาเค่น และจากสวิสเข้าสู่ฝรั่งเศสแล้วครับ.






ลาด้วยภาพยามเย็นที่ Interlaken .... ไกลๆนั่นคือยุงเฟรา






Phil Collins - Another Day In Paradise



______________







Create Date : 10 มกราคม 2556
Last Update : 4 มิถุนายน 2557 22:23:51 น. 27 comments
Counter : 7185 Pageviews.

 

เจิมมมมมมมมมมมมมมมม แหล่ม
แวะมากด LIKE ให้เลยค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:8:02:17 น.  

 
นับเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับตัวเองเลยนะค่ะ
น่าเที่ยวมากๆค่ะทั้งตื่นเต้นกับเส้นทางและวิวหิมะขาวๆสวยๆ(พายุหิมะด้วย)
ดูภาพสวยๆไปก็อดตื่นเต้นไปด้วย อยากรู้เพิ่มว่าจะได้ชมอะไรต่อ
ขอบคุณค่ะที่มาแชร์ อยากไปแบบนี้บ้างจัง ไลค์ๆคร้าคุณ wicsir


โดย: tui/Laksi วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:8:31:31 น.  

 
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ ปกติแม่บุญจะไปเที่ยว ไปเยี่ยมพี่สาวช่วงหน้าร้อน เที่ยวแล้วได้กำไลเพราะตะวันตกดินช้าหน่อย อิ อิ เคยไปที่นี่เมื่อนานนนนน มากทีเดียว ตอนนั้นค่าขึ้นไปยังไม่ค่อยแพง ไปตอนนี้ไม่ไหวค่ะ แพงมาก เห็นแล้วก็คิดถึง...


โดย: Maeboon วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:13:46:40 น.  

 
โชคดีที่คุณ wic ชอบถ่ายภาพ เพื่อนฝูงที่ไม่ได้มีโอกาสไปเลยพลอยได้ดูไปด้วย ภาพสวยๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ ตื่นตาตื่นใจด้วย นี่มังคะ เค้าว่าการเดินทาง ทำให้เราเปิดโลกให้กว้างไกลขึ้น

สาวน้อย 3 / 7 ขวบ เก่งมากเลยลูก

คุณผู้หญิงของคุณ wic ก็เก่งมากเลยค่ะ เราคงสู้อากาศแบบนี้ไม่ไหวแน่ 10 องศา บ้านเรานี่ก็จะแย่แล้ว นี่คงติดลบด้วยมังคะ

ลงภาพเยอะๆ เลยนะคะ แบ่งเป็นหลายตอนก็ได้ค่ะ

อากาศเย็นๆ แบบนี้ ต้องดูแลกล้องเป็นพิเศษหรือปล่าวคะ มีอะไรที่ต้องระวังมั้ย




โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:14:45:47 น.  

 
สวยมาก ดูรุปเพลินเลย โดยเฉพาะรูปสุดท้าย เหมือนภาพฝันเลยค่ะ


โดย: sawkitty วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:16:06:00 น.  

 
เคยไปนานมากแล้ว ไม่เหมือนเดิมเลยค่ะ
ไปพักที่เล้าเธอบรุนเน่น แลัวขึ้นไปเที่ยว สาวน้อย ค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:16:15:18 น.  

 
แม่จ้าว ! เชื่อแล้วว่าบ้านนี้เที่ยวจริง อะไรจริง
มหากาพย์อิตาลีเพิ่งจบ ปล่อยทริปยุโรปมาทำให้อิจฉาเล่นซะงั้น
พลาดไปตั้งสองตอนแน่ะ เดี๋ยวต้องย้อนกลับไปดูค่ะ
ที่สวยๆแบบนี้ ชาตินี้จะมีวาสนาได้ไปกับเขามั๊ยเนี่ย ๆ 555
สวยงามจริงๆค่ะ ธารน้ำแข็งเป็นอะไรที่ใฝ่ฝันอยากจะไปมาก
เคยเห็นในสารคดีท่องโลกกว้าง บอกว่าธารน้ำแข็งทั่วโลกหายไปมากแล้ว
เนื่องจากสภาวะโลกร้อน ต่อไปอาจไม่หลงเหลือให้เห็น

บล็อกสวยมากค่ะ ใช้สีน้ำเงินเป็นพื้น ตัวหนังสือสีขาวเป็นสไตล์ที่โปรดเลย
ดูแล้วให้ความรู้สึกเย็น เหมาะกับบรรยากาศของภาพ เพลงก็เป็นเพลงโปรดซะด้วย
แต่...โหวตหายไปแล้ว
ไม่เป็นไร ยังไลท์ได้


โดย: ฝากเธอ วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:18:31:34 น.  

 
สวัสดีตอนดึกๆ ครับคุณ wicsir .....

คนเมืองร้อนอย่างเรา ได้ไปยืนบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหิมะแบบนี้ คงจะเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจและน่าจดจำมากเลยนะครับ .....

ฝรั่งเขาก็เก่งนะ ทำทางรถไฟขึ้นไปถึงยอดเขาสูงขนาดนั้นได้ สุดยอดจริงๆ เลย .....

ชอบภาพแท่งน้ำแข็งมองจากหน้าต่างร้านอาหารครับ สวยแปลกตาดี .....



โดย: NET-MANIA วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:23:58:53 น.  

 
ตามมาเที่ยวอีกแล้วค่า....
มีความสุขกับการดู blog ของคุณ wicsir เสมือนกับไปเที่ยวด้วยแบบไม่ต้องเสียตังค์...อิอิ
Jungfrau....ทิวทัศน์สุดยอดค่า...สีขาวหิมะและสีเขียวทุ่งหญ้า....บรรยากาศน่าเคลิ้มซะจริง ๆ
นี่ถ้าวิเป็นคนชอบอากาศหนาวคงจะหาโอกาศไปบาง....แต่พอดีไม่คอยถูกกันกับอากาศเย็น ๆ
ฮุฮุฮุ....ความจริงขี้เกียจอาบน้ำ

ปีนี้ขอให้มีความสุขกับการท่องโลกกว้างนะคะ......


โดย: Little My @ Moominland วันที่: 11 มกราคม 2556 เวลา:10:53:27 น.  

 
สวัสดีค่าคุณวิค

ภาพในบล็อกนี้สื่อให้เห็นถึงความหนาวเย็นสุด ๆ ไปเลยค่า
ทั้งหิมะที่กำลังตกลงมา รวมทั้งมองออกจากหน้าต่างร้านอาหารเป็นแท่งน้ำแข็งเลยเป็นภาพที่สวยแปลกมากเลยค่า


หิมะสีขาว ถ้าใส่เสื้อสีสด ๆ ไปยืนถ่ายรูป จะเด่นจริงๆ นะคะ อิอิ ชอบๆ

รถไฟมีฮีตเตอร์ให้ไออุ่นด้วย สร้างไปถึงภูเขาทึ่งจริงๆค่า





โดย: Rinsa Yoyolive วันที่: 11 มกราคม 2556 เวลา:11:58:37 น.  

 
ชมเพลินจนจบค่ะ
เห็นภาพที่คุณวิคบรรยายว่าอากาศเลวร้าย มีลมแรงมากแล้ว ทำให้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆค่ะ
ไปเที่ยวแบบนี้นอกจากเครื่องกันหนาว และรองเท้าที่ไม่ลื่นแล้ว
สิ่งสำคัญอีกอย่างน่าจะเป็นแว่นกันแดดนะคะ
หิมะสีขาว และแสงสะท้อน หากไม่มีแว่นตากันแดดติดไปด้วย
คงมองลำบากนิดนึงค่ะ

ขอบคุณสำหรับภาพสวยที่นำไปฝากต๋า
ชอบภาพที่หยดลงมากลายเป็นน้ำแข็งด้วยค่ะ สวยมาก
มีความสุขตลอดวันนะคะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 11 มกราคม 2556 เวลา:13:17:00 น.  

 
สวัสดีค่ะ ตามมาเที่ยวด้วย
โห ทุกที่เต็มไปด้วยหิมะ ขาวโพลนไปหมด
แค่นึกก็ยะเยือกแล้วค่ะ อิอิ หนาวแทน
คนที่ไปเที่ยวเมืองหนาวจัดๆได้ เก่งน่ะค่ะ
ที่พูดแบบนี้เพราะว่า ตัวเองทนความหนาวจัดๆไม่ได้
ทำอะไรไม่ถูกเลย ทรมานค่ะ

คุณวิคไปเที่ยวแถบสเปนบ้างรึป่าวคะ
อยากเห็นบ้านเมืองเค้าจังเลย
เพราะมีโครงการจะไปเที่ยวค่ะ เลยอยากดูไว้ก่อน

ปล.ดาวกระจายหรือสมัยนี้เรียกกันว่า cosmos ค่ะ

เอามาฝากด้วย






โดย: mambymam วันที่: 11 มกราคม 2556 เวลา:14:06:39 น.  

 
สวัสดีวันศุกร์ค่าพี่วิก

น่าเที่ยวมากเลยค่า แต่คงไม่มีโอกาสได้ไป แน่ๆ

ขอตามพี่วิกมาเที่ยวที่นี่แล้วกันน้าค้า

หิมะเยอะมากเลยค่า น่ากระโดดใส่สุดๆเลย


โดย: tayya tatar วันที่: 11 มกราคม 2556 เวลา:14:15:16 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ ความรู้เพิ่มเติมเรื่องกล้องใช้ในเมืองหนาว พูดก็พูด คงไม่มีโอกาสไปหรอกค่ะ อยากรู้ไว้เป็นความรู้ แต่ว่าแบตจะหมดเร็วจริงหรือปล่าวคะ ตอนไปดอยอินทนนท์แบต D3100 โลว์ฮวบฮาบ ไม่น่าคิดไปเองค่ะ เพราะเพิ่งถ่ายไปได้ไม่กี่ภาพเอง ดีว่าเสียบชาร์ตในรถตลอด อีกอย่างเรานอน อช. ด้วยไงคะ หาที่ชาร์ตแบตยากเหมือนกัน

สุขวันศุกร์ค่ะ

ภาพคุณ wic เซ็ตนี้น่าเอามาทำโปสการ์ดนะคะ


โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 11 มกราคม 2556 เวลา:18:53:18 น.  

 
เขาค้อวัลเลย์ ที่พักอันดับต้นๆ ที่ใครก็อยากไปพัก เปิดแค่หน้าต่างหมอกก็ลอยมาให้เชยชมตรงหน้า...คนแน่นเลยสิคะ ช่วงปีใหม่



โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 11 มกราคม 2556 เวลา:19:59:23 น.  

 
WOW! สุดยอดค่ะ คงจะเย็นมากๆเลยนะคะ
ภาพสวยตลอดทริปเลยค่ะ ยังไม่มีโอกาสไปเที่ยวแบบนี้เลยค่ะ
สักวันอาจจะได้ตามไปเที่ยวบ้างค่ะ แวะมาทักทายคุณWICยามค่ำ
มีความสุขมากๆนะคะ ^_^


โดย: andrex09 วันที่: 11 มกราคม 2556 เวลา:20:21:19 น.  

 
แวะมาดูค่ะ ว่าปล่อยตอนใหม่หรือยัง

ขอบคุณที่ไปชมดอกการะเวกที่บล็อกนะคะ
มีความสุขกับวันหยุดพักผ่อนค่ะ


โดย: ฝากเธอ วันที่: 12 มกราคม 2556 เวลา:20:12:08 น.  

 
เห็นชื่อจั่วหัวบล็อกก็หนาววววแล้วค่ะ
แต่พอขึ้นไปก็สวยคุ้มค่ามากๆ แบบนี้ยอมหนาวค่ะ :)


โดย: AdrenalineRush วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:0:59:30 น.  

 
ชอบค่ะ สวยมาก ดูกี่ครั้งก็เพลิดเพลินทุกครั้ง


โดย: sawkitty วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:21:03:27 น.  

 
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่าพี่วิก

ได้ยินพี่วิกพูดแบบนี้แล้ว

ทำให้รู้สึกว่า สักวันนู๋ต้องได้ไป

สวยมากๆเลยค่าพี่วิก


โดย: tayya tatar วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:12:09:38 น.  

 
สวัสดียามบ่ายค่ะ
ขอตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ
เห็นแล้ว หนาวจนสะท้าน จริงๆ
บรรยากาศดี มากๆค่ะ
ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันค่ะ
ขอให้มีความสุขนะคะ


โดย: iamorange วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:13:45:43 น.  

 
ชอบภาพชุดแรก ๆ สวย น่าอยู่ พอเห็นน้ำแข็งหิมะ เยอะขนาดนั้น ชักกลัว 555
เวลาใช้กล้อง มีปัญหาด้านความเย็นหรือเปล่าครับ (ยกเวันนิ้วนะครับ) 555


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:13:59:34 น.  

 
สวยงาม ลงตัวมากๆ ค่ะคุณอ๊อด
อากาศดี แดดปิ้ง แถมยังไม่มีแต่ขาวๆ อย่างเดียว
ยังมีบรรยากาศของสีสันต้นไม้ให้ได้ชมกันด้วย




โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:18:16:42 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ wic

แถวบ้านติดป้าย เทคโนฯ จะรับปริญญาอีกแล้วค่ะ เหมือนคุณ wic เพิ่งมารับของหลานสาวเมื่อเร็วๆ นี้เองค่ะ


โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:20:53:50 น.  

 
อ่านเพลินรูปสวยๆมากๆเลยค่ะ
เป้นรีวิวที่ดีมากๆเลยได้ความรู้เพิ่มเยอะแยะเลยค่ะ
รอดูตอนต่อไปนะคะ
กะลังจะไปกับd star สงกรานต์นี้ค่ะ
เค้าดูแลดีมั้ยคะ อาหารที่พัก รวมๆเเล้วเป้นไงบ้างคะ


โดย: Kellyyui IP: 27.55.13.128 วันที่: 15 มกราคม 2556 เวลา:5:45:34 น.  

 
คุณ Kellyyyui

โดยรวมแล้วถือว่าดี ผมให้คะแนน B+ ครับ
ลองเข้าไปอ่านที่ผมรีวิวไว้ในกรุ๊ป "ตามรอยอารยธรรม..อิตาลี" ตอนแรกๆครับ

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ.


โดย: wicsir วันที่: 15 มกราคม 2556 เวลา:12:25:31 น.  

 
ปีหน้าแพลนว่าจะไปเหมือนกัน ขอบคุณสำหรับรูปสวยๆ ที่นำมาแบ่งปันกันนะค่ะ ดูแล้วมีความสุขมากค่ะ ^____^


โดย: RaT IP: 125.25.0.58 วันที่: 28 กรกฎาคม 2556 เวลา:13:25:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wicsir
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]











...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......


อยากจะบอกว่า

@ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว

@ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ.

@ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก...


ด้วยจริงใจ
นาย wicsir.




Rec. 11.06.08
New Comments
Group Blog
 
 
มกราคม 2556
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
10 มกราคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add wicsir's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.