|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
สากมอง - 2 (จบ)
รุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่ สองแม่ลูกก็เดินไปถามถนนในหมู่บ้าน จากท้ายบ้านติดเขาผ่านหัวบ้านที่เป็นบ้านเกิดของคำเอ้ย แล้วผ่านอีกหมู่บ้านหนึ่งก่อนจะถึงปากทางเข้าหมู่บ้านที่สถานีอนามัยตั้งอยู่ ซึ่งถ้าเดินตัดทุ่งนาข้ามลำห้วยสองแห่งก็จะย่นระยะทางให้ใกล้ขึ้น แต่ทางเดินไม่สะดวกเพราะเป็นเนินสูง ๆ ต่ำ ๆ บางช่วงก็มีกอไผ่หน่ามและทุ่งนากว้าง คำเอ้ยจึงเลือกเดินทางที่สบายกว่ากัน ซึ่งบางทีมีรถวิ่งออกจากหมู่บ้านจะได้อาศัยออกไปด้วย
แต่ไม่มีรถให้ขออาศัยเลย กว่าจะถึงสถานีอนามัยก็สายพอดู เอื้องคำแทบจะหมดแรง ลงนั่งดมผิวมะกรูดที่เก็บจากริมรั้วข้างทางพอค่อยยังชั่ว กว่าหมอจะเรียกเข้าไปตรวจพักใหญ่ก็กลับมานั่งข้างแม่
“เด็กหญิงเอื้องคำ รับยา”
คำเอ้ยถลันลุกขึ้นไปรับแทน ถามเจ้าหน้าที่อนามัยด้วยความอยากรู้ว่าเอื้องคำเป็นอะไร แต่พอได้รับคำตอบหล่อนก็ค้านเสียงหลง
“ลูกสาวข้าเจ้ายังบ่ทันมีระดู มันจะท้องได้หยั่งใด เป๋นไปบ่ได้คุณหมอเจ้า”
“หมอเปิ้นตรวจเยี่ยวแล้ว ป้าถามลูกว่าไปนอนกับบ่าวที่ไหนมา” เจ้าหน้าที่อนามัยสาวใหญ่หัวเราะเบา ๆ มองหน้ากร้านแดดของคำเอ้ยอย่างขบขัน
“ยาซองนี้แก้เมาหัวเน้อ ยาซองนี้กิ๋นข้าวได้ กิ๋นยาสักสองสามวันก็จะหายเมาหัวอยากอ้วกเอง”
คำเอ้ยรับซองยามือไม้สั่น หล่อนหันขวับมากระชากแขนเอื้องคำลงจากที่นั่นโดยเร็ว แสนอับอายต่อสายตาชาวบ้านที่มานั่งคอยหมออยู่หน้าห้องจ่ายยา พวกมันมองดูแล้วหัวเราะสนุกสนาน จะโทษใครไม่ได้ทั้งนั้น น่าขันน้อยไปหรือ เด็กผู้หญิงตัวเล็กบางราวกับหน่อไม้หน้าแล้ง นมก็เพิ่งจะเป็นตุ่มนูนขึ้นมานิดเดียว ยังไม่ทันโตเป็นสาวก็ท้องแล้ว มันไปท้องกับใครหนอ เวลาไปทุ่งไปนาถ้าไม่ไปกับแม่ก็ไปกับน้องตั้งสามคน วัยรุ่นที่ขี่รถซิ่งในหมู่บ้านก็ไม่เคยเห็นมาวอแว นอกจากตะโกนทักกันตามถนนโหวกเหวกตามประสาเด็ก มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนหายจากหนามไผ่ตำตีน เอื้องคำขอไปดูเขาตำข้าวเม่าที่บ้านเพื่อนอยู่ติดขึ้นทางดอย ไม่ไกลจากบ้านคำเอ้ยนัก เอื้องคำหายไปสองสามครั้ง พอกลับเข้าบ้านก็มุดเข้ามุ้งนอน หล่อนก็ไม่เคยถามเพราะกลางวันทำงานเหนื่อย ค่ำลงก็อยากหลับอย่างเดียว เอาแรงไว้ก่อน เพราะบางทีอีหล้าก็ลุกขึ้นร้องไห้งอแงตอนดึก ๆ ต้องอดนอนกับมันอีก
ผู้ชายในหมู่บ้านก็มีนับคนได้ ล้วนแต่รู้จักคุ้นเคยกันแบบชาวบ้านทั่วไป คำเอ้ยมองไม่ออกว่าคนไหนแอบมานอนกับเอื้องคำ ลูกหล่อนก็ช่างกระไร จะคอยอีกสองสามปีให้โตกว่านี้สักหน่อยไม่ได้
“มันเป๋นไผ”
หล่อนกัดฟันถามเมื่อมาไกลจนแน่ใจว่าพ้นหูพ้นตาผู้คนแล้ว
“เอื้องบ่ฮู้...”
“อีหน้าด้าน...” คำเอ้ยฟาดฝ่ามือลงที่ปากลูกสาว ความแค้นแน่นอกใจไปหมด
“ให้มันนอนด้วยจนท้องแล้วยังบอกบ่ฮู้”
แล้วหล่อนก็ใจหายวับเมื่อร่างผอมบางทรุดลงไปกองกับพื้นดิน คำเอ้ยตามไปหิ้วซอกรักแร้สองข้างของเอื้องคำขึ้นมา
“แม่... เอื้องกลัวแล้วเจ้า... อย่าตีเอื้อง... กลัวแล้วแม่...”
คำเอ้ยไม่ตอบ ได้แต่ครึ่งลากครึ่งประคองร่างอ่อนปวกเปียก ฝ่าเปลวแดดใกล้เที่ยงไปจนถึงละเมาะไม้ริมคูน้ำเล็ก ๆ ทิ้งลูกไว้ใต้เงาไม้นั้นแล้วดึงผ้าโพกหัวออกจุ่มน้ำในคูน้ำตื้นที่ไหลริน บิดพอหมาดแล้วเอากลับไปเช็ดหน้าให้เอื้องคำ เห็นปากบวมเจ่อมีเลือดซึม กับรอยนิ้วมือที่พาดครึ่งปากครึ่งแก้มลูกแล้วใจหายเพราะเวทนา นี่ผีป่าตนใดสิงใจหล่อนให้ตบตีลูกได้ลงคอ ก็เอื้องคำคนนี้มิใช่หรือที่ช่วยแม่ทำงานบ้านเลี้ยงน้องตัวเป็นเกลียว เมื่อหล่อนออกลูกคนหล้านอนอยู่ไฟข้าวสารไม่พอกิน ผัวหล่อนเขานอนหลับไม่สนใจว่าลูกเมียจะอดตาย แต่เอื้องคำฝ่าฝนไปขุดเผือกขุดมันมานึ่งปนข้าวป้อนน้อง และเผื่อแผ่พ่อแม่กินอิ่มกันทั้งบ้าน คำเอ้ยไม่น่าจะทำร้ายลูกถึงเลือดตกยางออกเลย กะแค่เอื้องคำท้อง สาว ๆ บ้านนอกอายุ 13-14 มีผัวมีท้องออกถมไป
“แม่บ่ว่าละที่เอื้องคำท้อง กลับไปก็บอกผู้ชายคนนั้นให้มาสุมาลาโทษพ่อแม่ก็แล้วกัน”
“แต่เอื้องบ่อยากท้อง เอื้องชัง... ชังพ่อมัน”
“ชังพ่อมัน จะชังอย่างไดก็มีลูกมีท้องแล้วนี่ เอื้องคำเอ๊ย อยู่กินเป๋นผัวเมียกันเต๊อะ”
“แม่บ่ฮู้ บ่เข้าใจ๋เอื้อง” เอื้องคำสะอื้นไห้น้ำตาพรายพรู “เอื้องบ่ได้รู้เห็นเป็นใจสักน้อยเดียว เปิ้นเอามีดจ่อคอหอยบังคับเอื้อง ถ้าบ่ยอมเปิ้นจะปาดคอน้องหล้า”
“เมื่อใด”
“เมื่อเอื้องเจ็บตีนไปไหนบ่ได้ พอแม่พาน้องลงเรือนไปไร่ เปิ้นก็ขึ้นบ้านมาเอามีดขู่ ฮื้ออุ้มน้องหล้าเข้าห้อง... ทุกวัน... เอื้องเจ๊บจะต๋าย...”
“ธัมโม สังโฆ ยะหยังบ่บอกพ่อแม่หา...”
“เปิ้นห้ามบ่ฮื้อบอกไผสักคน ถ้าคนอื่นฮู้เมื่อใดเปิ้นจะปาดคอน้องหล้า ตอนแม่บ่ไปไหนเปิ้นก็บังคับฮื้อเอื้องลงไปนอนกับเปิ้นที่ริมห้วยตอนกลางคืน เปิ้นว่าถ้าบ่ไปฮื้อเปิ้นนอนโตย เปิ้นจะฆ่าฮื้อต๋ายหมดบ้าน แล้วจุดไฟเผาบ้านเฮา”
“โอ๊ย แม่ลมขึ้น” คำเอ้ยเดือดดาลสุดขีด นี่มันไม่ใช่รักใคร่ใยดีแบบหนุ่มสาวรักกันเสียแล้ว มันเข้าขั้นข่มเหงขืนใจอย่างไม่เกรงใจพ่อแม่สักนิดเดียว เอื้องคำก็กลัวมันหัวปักหัวปำ ยอมให้มันทำย่ำยีอยู่ได้
“มันเป๋นไผหา... บอกแม่มาเดี๋ยวนี้ หยังมาดูถูกดูแคลนข่มเหงลูกเหมือนบ่มีพ่อบ่มีแม่ มันชื่ออะหยัง บอกมา แม่จะแจ้งผู้ใหญ่บ้านเอามันเข้าตะรางเอง”
“บ่ได้แม่... บ่ได้... “ เอื้องคำสั่นหัวพลางสะอื้น “เขาฆ่าเฮาแน่... เขามีมีด... มีปืน...”
คำเอ้ยหันขวับไปหาลูก หล่อนร้อนรุ่มทั้งตัวราวกับตกอยู่ในกองไฟ หูหล่อนฝาดไปหรือเปล่าที่ได้ยินเอื้องคำพูดว่าชายคนนั้นมีมีด มีปืน
“เอื้องคำ... ในหมู่บ้านเฮามีพ่อคนเดียวที่มีปืน... แม่นบ่... มัน”
ลูกสาวมองสบตาแม่นิ่งอยู่นานแล้วพยักหน้า คำเอ้ยแข้งขาอ่อนเปลี้ยลงนั่งกอดเข่านิ่งงันไปทันที นี่หล่อนทำเวรกรรมไว้แต่ชาติใดหนอจึงมีเรื่องราวชั่วช้าเกิดขึ้นในบ้านในเรือนเช่นนี้ รู้ไปถึงไหนก็อับอายขายหน้าไปถึงนั่น ที่ว่าจะแจ้งผู้ใหญ่ให้จับผู้ชายคนนั้นใส่ตะรางก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวเรื่องดังไปทั้งตำบล สงสารเอื้องคำจะมองหน้าผู้คนไม่ได้ เวลานี้ลูกหล่อนก็ช้ำชอกทั้งกายทั้งใจแสนสาหัสแล้ว ดูรึ ตัวลูกเล็กบางแค่นี้มันยังทำได้ลงคอ ยิ่งคิดคำเอ้ยยิ่งเจ็บปวดราวกับมีเข็มเป็นร้อยเป็นพันเล่มทิ่มแทงหัวใจ
“แม่... เอื้องบ่กลับบ้านเน้อ... เอื้องกลัว...”
เสียงลูกสาวปลุกคำเอ้ยให้เข้มแข็งขึ้น เสียใจน่ะแน่ละต้องมีแน่เพราะอยู่กินกันด้วยความรักมานานปี ยังจำได้ว่าตอนอยู่กินด้วยกันทีแรกนั้นหวานชื่นนัก ไปไหนไปด้วยกันไม่เคยห่างและไม่เคยว่างเว้นรักใคร่ แม้กระทั่งคำเอ้ยท้องเอื้องคำได้สี่ห้าเดือน กลับจากตำข้าวด้วยกันมาแวะอาบน้ำที่ลำห้วยท้ายบ้าน หนานสุขมันก็จะรักใคร่กลางฟ้ากลางดินไม่อายผีสางเทวดา มิใยคำเอ้ยจะปัดป้องกลัวใครเดินมาเห็น กลัวมดแมงในดินจะกัดเอา ผัวหล่อนไม่ฟังเสียง มันหน้ามืดปลุกปล้ำนอนใต้เงาไม้นั้นจนได้ ที่ตรงนั้นแหละที่มันบังคับให้เอื้องคำลงไปหา ลูกหลอกคำเอ้ยว่าไปดูเขาตำข้าวเม่ากัน หนานสุขมันรู้ว่าที่นั่นไกลหูไกลตาคน ไหนจะทั้งมืดทั้งเปลี่ยว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นแน่นหัวอกหัวใจไม่อยากกลับบ้านไปพบเห็นหน้ามัน ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะแสนจะเกลียดชังขยะแขยงมันเป็นที่สุด ไอ้ผู้ชายที่ตัวเป็นคนแต่ใจเป็นหมาพรรค์นั้น
“แม่จะพาเอื้องไปบ้านพ่อเฒ่าแม่อุ้ย เดินไหวก่ ยังอีกไกล”
“เอื้องเดินไหวแม่ ไกลถึงไหนก็ได้ที่บ่มีพ่อ”
คำเอ้ยนิ่งอึ้ง มองหน้าลูกสาวอยู่นาน แล้วออกเดินนำไปเงียบ ๆ
ไปถึงบ้านพ่อแม่เมื่อตะวันบ่ายคล้อย พอเย็นลงอีกหน่อยพี่น้องที่ไปรับจ้างทำงานในเมืองก็ขี่รถเครื่องเข้าบ้านมา บางคนก็กลับจากไร่นามา ทุกคนต้อนรับขับสู้คำเอ้ยกับลูกเป็นอันดี พอรู้ว่าเอื้องคำเป็นโรคกระเพาะและเป็นไข้ก็ต้มข้าวให้กิน ค่ำคืนนั้นพี่น้องที่มีบ้านอยู่ต่างหากกับคู่ผัวตัวเมีย ทำกับข้าวนึ่งข้าวมากินรวมกันที่บ้านพ่อแม่ คุยกันไปถามกันมาก็วกกลับมานินทาค่อนขอดผัวคำเอ้ย เรื่องงัดไม้ฝาบ้านไปขายซื้อเหล้าซื้อหวยกินรวบหมด และต่อมาก็เอาพื้นบ้านไปขายหาฟากมาปูแทน ผัวเมียคู่อื่นเขาอยู่กันนาน ๆ เปลี่ยนจากพื้นฟากฝาฟากเป็นพื้นไม้ฝาไม้ ตรงข้ามกับหนานสุข และเมื่อไม่นานมานี้มันเอาปืนที่รักที่หวงนักหนาออกเร่ขาย บอกกับใคร ๆ ว่าจะเอาเงินไปอยู่กับเมียใหม่ที่อื่น แต่คนเขารู้กันทั่วว่าเป็นปืนเก่าแก่สนิมกินจนใช้การไม่ได้ ทำได้แค่สะพายขึ้นล่องทำท่ากร่างกวนตีนชาวบ้านว่ากูมีปืน เมื่อขายปืนไม่ได้มันก็เลยหมดหวังไปอยู่กับเมียใหม่อย่างที่คุยโม้โอ้อวดไว้
คำเอ้ยรู้แล้วว่าเมียใหม่ที่ผัวหล่อนคุยโวกับชาวบ้านเป็นใคร หล่อนเก็บปากเก็บคำไม่แก้ตัวแทนเหมือนทุกครั้ง ก็รู้เช่นเห็นชาติแล้ว ว่ามันชั่วช้าไม่มีใครเหมือน นิ่งฟังพี่น้องพ่อแม่คุยกันอีกพักใหญ่แล้วทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน คำเอ้ยปฏิเสธคำชักชวนของพ่อแม่ที่ให้ไปนอนในห้อง อ้างว่าเอื้องคำจะเอาไข้ไปติดพ่อเฒ่ากับแม่อุ้ยเข้า ขอนอนที่ระเบียงหน้าห้องดีกว่า
พอแม่ปูที่นอนกางมุ้งเสร็จเอื้องคำก็มุดเข้ามุ้งหลับผล็อย ทั้งด้วยฤทธิ์ยาและความเหนื่อยเพลียที่ต้องเดินไกล แต่คำเอ้ยสิกลับนอนไม่หลับ ยิ่งได้ยินเสียงลูกละเมอสะอื้นเป็นครั้งคราวยิ่งร้อนรุ่มใจราวกับไฟสุม นับแต่รู้เรื่องผัวทำกับลูกน้ำตาหล่อนไม่ได้หยาดออกมาสักหยดเดียว แต่มันไหลอยู่ข้างในกัดกร่อนความรู้สึกดีงาม ความใจบุญสุนทานที่มีอยู่แต่เดิมจนหมดสิ้น
เอื้องคำสะดุ้งตื่นเมื่อแว่วเสียงไก่ขันและได้ยินเสียงเหมือนคนเดิน หล่อนพลิกตัวไปหาแม่ด้วยใจเต้นระทึก มือป้ายไปถูกตัวคำเอ้ยที่เย็นเฉียบก็ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ คำเอ้ยกำลังปิดมุ้งแล้วล้มตัวลงนอน
“แม่ ไปไหนมาตัวเย็นแท้ว่า”
“ไปขี้ไปเยี่ยวมา” คำเอ้ยตอบเสียงห้วน
“นอนเต๊อะ บ่ถ้าอู้นัก แม่ง่วง”
เอื้องคำหลัยตาลงอย่างว่าง่าย ในใจหล่อนนึกแปลก ๆ ที่ถูกแม่ดุ เสียงแม่หายใจหอบเหมือนไปวิ่งมา บางทีแม่คงจะไปขี้ไปเยี่ยวกลางทุ่งนาแล้วกลัวอะไรเลยวิ่งหนีมากระมัง
รุ่งขึ้นต่างก็ลุกขึ้นช่วยกันทำกินเป็นโกลาหล ยกมากินกันที่บ้านพ่อแม่เหมือนเคย วันนี้พี่คนโตของแม่ทำลาบมาเลี้ยง เอื้องคำกินได้หน่อยหนึ่งแล้วรีบกินยาตามเข้าไป เพราะกลัวโรคเวียนหัวคลื่นใส้จะกำเริบให้ญาติของแม่จับได้ หล่อนรู้สึกสดชื่นแข็งแรงอาสาช่วยแม่เก็บสำรับกับข้าวล้างจาน ยังไม่ทันเช็ดมือก็มีเสียงรถเครื่องวิ่งเข้าบ้านพร้อมกับเสียงถามหาคำเอ้ย
“ชาวบ้านเขาว่าคำเอ้ยพาลูกไปหาหมอที่สถานีอนามัยเมื่อวานนี้ มันบ่กลับบ้านเตื้อ”
“เออ คำเอ้ยกับลูกสาวมันนอนบ้านพ่อแม่นี้ละ ถามหามันยะหยัง ผู้ใหญ่” เสียงพี่ชายคนโตคำเอ้ยโต้ตอบซักถามผู้ใหญ่บ้าน คำเอ้ยนั่งลงใกล้เอื้องคำและจับมือลูกไว้แน่น
“ชาวบ้านมาตักน้ำ เห็นหนานสุขนอนตายอยู่ริมห้วย นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว ให้คนไปที่บ้านมีแต่ละอ่อน”
เอื้องคำกระเถิบไปนั่งเบียดแขนแม่ นิ่งอึ้งตกตะลึงทั้งแม่ทั้งลูก เสียงผู้ใหญ่บอกว่าเจ้าหน้าที่ไปชันสูตรพลิกศพแล้ว หนานสุขถูกตีด้วยของแข็งจนหัวน่วม ตายมาหลายชั่วโมงจนตัวแข็งและมดขึ้นแล้ว ให้ญาติพี่น้องลูกเมียไปจัดการเรื่องศพ
“มันชอบเมานอนขวางถนน เมาหาเรื่องด่าคนอื่น เขาถ้าจะโกรธมันมานานแล้ว สงสัยคนบ้านอื่นทุบตายแล้วเปิดเลย”
“แบบนี้ก็ตายฟรี”
“เขาเอาอะหยังบุบหัวมัน”
“สากมอง” เสียงผู้ใหญ่บ้านตอบ “สากมองที่ตำข้าวเม่ากินท้ายบ้านนั่นละ”
นิตยสาร ช่อการะเกด พฤษภาคม – มิถุนายน 2540
Create Date : 21 กรกฎาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 21 กรกฎาคม 2552 12:05:04 น. |
Counter : 1166 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พี่นิ IP: 124.122.156.249 1 พฤศจิกายน 2553 11:55:38 น. |
|
|
|
|
|
|
|