เมื่อวานผมแสดงกราฟดูแนวโน้มของหุ้นไทยว่าอาจมีโอกาสขึ้นต่อได้อีกในระยะนี้ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จากกราฟเชิงเทคนิค ( อ่านบทความประกอบ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=topstock&group=4 ) วันนี้ลองมาดูตัวแปรที่สำคัญในตลาดเงินและตลาดทุนรวมถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญบางตัว ที่สามารถใช้พิจารณาสภาพการณ์ว่าแนวโน้มของหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร??

ตัวแปรแรกที่ต้องจับตามอง คือ ดอกเบี้ยของเส้นโค้งผลตอบแทนหรือเส้น Yield Curve (ไม่ใช่ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารนะครับ) สรุปคร่าวๆ ว่า เส้นYield Curve สามารถบอกเราว่าเราควรได้ดอกเบี้ยกี่เปอร์เซ็นต์หากฝากเงินเป็นระยะเวลา xyz ปีดอกเบี้ยในเส้นโค้งผลตอบแทนบ่งบอกถึงความต้องการเงินในระยะเวลาต่างๆ (คล้ายกับฝากประจำกับธนาคาร) ดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของทุนหากประเทศใดมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงและเศรษฐกิจดีย่อมมีแนวโน้มว่าทุนจะไหลเข้าประเทศนั้นๆ เส้นโค้งผลตอบแทนจึงเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ควรจับตามอง

เส้น Yield Curve มีหลายชนิดเช่น เส้น Yield Curve ของพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond Yield Curve : มี 2 ชนิด คือ YTM Curve และ Zero Curve), เส้น Yield Curve การกู้ยืมเงินระหว่างธนาคาร(Interbank Curve) ซึ่งเป็นดอกเบี้ยระยะสั้น จากรูป 1 Interbank Curve ของไทย (Bibor) สูงกว่าเส้นโค้งที่สำคัญ เช่น Libor (เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ), Euribor (เงินกู้สกุลยูโร), SIBOR (เงินกู้สกุลสิงคโปร์ หรืออาจใช้ SOR = Singapore Swap Offer Rate) ชัดเจนว่าดอกเบี้ยระยะสั้นของไทยกับสกุลเงินอื่นๆต่างกันเกือบ 3% ส่วนดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของไทยสูงกว่าประเทศที่สำคัญเช่น สหรัฐ ยูโรโซน อังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่น เกือบ 3% เช่นกันแสดงว่า ภาพรวมในขณะนี้มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นของไทยครับ

ตัวแปรทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่ควรดูเพิ่ม ได้แก่ GDP,เงินเฟ้อ (Inflation), อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และ หนี้สาธารณะ (Public Debt) ซึ่งตัวแปรเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย (รูปที่ 2 และ 3) [แท่งสีแดง หมายถึง ตัวเลขลดลงจากการประกาศครั้งก่อน แท่งสีเขียว หมายถึง ตัวเลขเพิ่มขึ้น แท่งสีน้ำเงิน หมายถึงไม่เปลี่ยนแปลง] เมื่อพิจารณาของประเทศไทยจะพบว่า เงินเฟ้อตัวเลขว่างงาน และหนี้สาธารณะ อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ (ไม่พิจารณาประเทศที่มีค่าสูงมากเป็นพิเศษ เช่น อาเจนตินา และปากีสถานซึ่งมีเงินเฟ้อสูงมาก, กรีซ สเปน และอาฟริกาใต้ ซึ่งมีตัวเลขว่างงานสูงมากๆ, ญี่ปุ่นซึ่งมีหนี้สาธารณะสูงมากเกือบ 250%)

การพิจารณานโยบายการเงินของรัฐบาลในภาพรวมก็มีส่วนสำคัญต่อการไหลของเงินทุนเช่นกันครับ โดยดูจากค่าของ Central Bank Rate (รูปที่ 4 ซ้าย) เปรียบเทียบกับค่าเงินเฟ้อและเส้น Yield Curve ของพันธบัตรรัฐบาล ในขณะนี้ประเทศไทยมีค่า Central Bank Rate (2.75%) ต่ำกว่า Bond Yield Curve (3- 4%) แสดงว่าในขณะนี้ประเทศไทยกำลังดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ครับ

การพิจารณาเปรียบเทียบดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรม (INDUSTRY-GROUPINDEX) และดัชนีหมวดธุรกิจ (SECTORAL INDEX ) [AlternativesIndex (รูปที่ 4 ขวา)] เพื่อดูแนวโน้มกลุ่ม Sector ของหุ้นที่เราสนใจที่จะลงทุนว่า มีกำไรหรือไม่อย่างไรมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร (ในกราฟเป็นข้อมูล Real-time ดัชนีของอเมริกา )

สรุป เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นของไทยในขณะนี้น่าจะเป็นประเทศในแถบเอเชียที่น่าสนใจในการเคลื่อนย้ายทุนเข้ามา (ท่านทราบดีครับว่าเงินเข้ามาแล้วไปไหนบ้าง??) แต่โดยปกติดอกเบี้ยและตัวเลขทางเศรษฐกิจจะไม่ขยับมากดังนั้นจึงควรมองเป็นภาพระยะกลางขึ้นไป เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการคาดเดาการไหลของทุน นักลงทุนควรตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ต่างๆ ประกอบด้วย (รูปที่ 5) เช่น ดัชนี้หุ้น (Stock Index) ดัชนีตราสารหนี้ (Bond Index) อัตราแลกเปลี่ยน กลุ่มของสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำมัน ทองคำ พลาตินัม แพลลาเดียม (Palladium) จากทั่วโลกในลักษณะ เรียลไทม์หรือกึ่งเรียลไทม์ (Real-time) ประกอบการพิจารณาการลงทุนด้วยครับ

** โดยปกติ Software BullWing จะประมวลผลใน Function Financial News ของกราฟทั้งหมดแบบเบ็ดเสร็จใน 1 หน้าจอครับ ทำให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ผลเชิงเปรียบเทียบของการไหลของเงินทุนได้ง่าย แต่ผมไม่สามารถนำมาลงในบทความได้เพราะไฟล์ขนาดใหญ่ แต่สามารถขอภาพกราฟฉบับเต็มหน้าจอได้ครับ**

Create Date : 10 มกราคม 2556
Last Update : 12 มกราคม 2556 14:56:03 น.		0 comments
Counter : 2784 Pageviews.
Share Tweet